รีวิว Living with Yourself สปามหัศจรรย์ พลิกผันชีวิตในคืนเดียว!
Living with Yourself ชีวิตติดเซลฟ์
สรุป
ซีรีส์นี้ความยาว 8 ตอน ตอนละแค่ 25 นาทีจบ สนุกลื่นไหล ย่อยง่าย แค่ดูการแสดง 2 ตัวตนของพอล รัดด์ก็สนุกมากๆ แล้ว เป็นซีรีส์ Netflix ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Overall
9/10User Review
( votes)Pros
- การแสดง 2 บทบาทของพอล รัดด์ยอดเยี่ยมมากๆ
- บทหนังฉลาดตลกเสียดสีแบบมีกึ๋น พร้อมแทรกด้วยคำคมเก๋ๆ
- เล่นเรื่องราวด้านลบของเทคโนโลยีที่เป็นไปได้
- มีส่วนให้คิดถึงศีลธรรมจริยธรรมไปพร้อมกัน
Cons
- มีช่วงหลุดกรอบออกนอกเรื่องไปนิดๆ ในตอนท้าย
- หนังอาจจะสั้นไปสำหรับคนที่ต้องการดูซีรีส์ยาวๆ
ซีรีส์ Living with Yourself ชีวิตติดเซลฟ์ (กดรับชมผ่าน Netflix ได้ที่นี่) ไมลส์ อิลเลียตต์ (เล่นโดย พอล รัดด์ พระเอกจากหนังมาร์เวล Ant-Man) อดีตนักครีเอทีฟโฆษณามือทองกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำของชีวิตจากทั้งหน้าที่การงาน ชีวิตคู่ หรือแม่แต่ความสัมพันธ์กับคนทั่วไป เขาได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้เข้าไปใช้บริการ “Top Happy Spa” สปาซึ่งอ้างว่าจะทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น แต่แล้วเขาก็ได้พบว่าตัวตนของเขาที่ดีกว่าเดิมเข้ามาแทนที่เขาจริงๆ
Living with Yourself เป็นซีรีส์แนวดราม่าผสมคอมเมดี้ตลกเสียดสีสังคม ว่าด้วยการพยายามเปลี่ยนตัวตนไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิม โดยเป็นผลจากสังคมชีวิตรอบตัวโน้มน้าวให้ต้องหาทางทำอะไรใหม่ๆ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ดีกับชีวิตจริงหรือไม่ หนังตั้งคำถามบอกเล่าเรื่องราวหลายแง่มุมผ่านเรื่องราวของพระเอก ไมลส์ อิลเลียตต์ ที่เรียกว่าชีวิตดูตกต่ำถึงขีดสุด จนทำให้เขาต้องยอมพลิกชีวิตเข้ารับบริการสปามหัศจรรย์ “Top Happy Spa” ซึ่งช่วยพลิกชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในคืนเดียว แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะเขากลับพบว่าตัวเองในแบบที่ดีกว่า เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์ (Doppelgänger)” ที่แทรกเข้ามาแทนที่ชีวิตของเขา ในแบบที่เขาก็ต้องจำใจยอมรับว่าตัวตนใหม่ของเขานั้นพิเศษเด็ดดวงกว่าเขาในทุกด้านจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นคุณจะทำยังไงในเมื่อตัวคุณเองสู้ตัวตนใหม่ไม่ได้เลยในทุกทาง
หนังใช้เรื่องราวไซไฟนิดๆ มาผสมให้เกิดเป็นเรื่องมหัศจรรย์ล้ำยุคเล็กๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตรงนี้ขอไม่สปอยล์ อยากให้ผู้อ่านได้ลองดูกันเอาเองว่าหนังทำให้เกิดพระเอกที่มี 2 ตัวตนได้อย่างไร (ถ้าอยากอ่านก่อนกดที่นี่ครับ) ซึ่งเป็นพล็อตที่ง่ายๆ แต่ทำให้เรื่องราวมีมิติหลายแง่มุมกลับมาคิด แม้หนังจะละทิ้งความสมจริงตรงนี้ด้วยการให้เป็นเรื่องตลกเสียดสีเชิงธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้จินตนาการพาเรื่องราวไปไกลจนเกินกว่าสังคมปัจจุบัน แถมยังลงลึกสำรวจถึงความเป็นไปได้ถ้าเกิดมีเรื่องราวแบบนี้ขึ้นจริงในอนาคต จะมีผลกระทบกลับมายังไงในหลายแง่มุม?
แม้ซีรีส์เปิดเรื่องมาเป็นแนวลึกลับ แต่ก็ไม่ได้เน้นหนักไปที่การหักมุมให้อึ้งตามสูตรหนังซีรีส์ทั่วไปแต่อย่างใด หนังเลือกใช้แนวทางการเล่าเรื่องดราม่าสำรวจชีวิตตัวละครหลัก 3 ตัวคือ ไมลส์เก่า ไมลส์ใหม่ และเคต ภรรยาของเขา ซึ่งเรื่องราวจะเป็นการตัดสลับมุมมองความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ตัวละครที่เวลาทับซ้อนกันตลอดทุกเหตุการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องราวทั้งด้านบวกและลบจากการที่คนๆ หนึ่งได้พลิกชีวิตเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แต่นั่นใช่สิ่งที่ควรจะเป็นหรือเปล่า ยิ่งถ้าตัวตนจริงเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีความสมบูรณ์แบบก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิตเสมอไป
หนังเล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดกับความเป็นไปได้จริงของการใช้ชีวิตเดียวแต่มี 2 ตัวตนว่าจะเป็นยังไง รวมถึงใส่มุมมองที่ละเอียดถี่ถ้วนหลายๆ อย่างทั้งกับการงาน ชีวิตคู่ ตัวตนของเรา ไม่เว้นแม้แต่มุมมองของไมล์คนใหม่ ที่เป็นเหมือน “ดอปเปลแกงเกอร์” ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับชีวิตที่มีประสบการณ์ความจำเหมือนจริง แต่กลับไม่ใช่ของจริง ซึ่งหนังสำรวจล้วงลึกไปถึงอารมณ์ความนึกคิดของเขาอย่างละเอียด แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ถูกออกแบบมาใหม่ให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่พื้นฐานของมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตปกติที่มีข้อบกพร่องอยู่ในตัวทุกๆ คน ไม่ได้จำเป็นต้องไร้ที่ติจนกลายเป็นดีเกินกว่ามนุษย์ไป ซึ่งหนังทำออกมาเป็นแนวดราม่าไซไฟนิดๆ ไม่เหนือจริงจนเกินไป ทำให้คนดูรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจเขาได้ไม่ยากเลย
นอกจากบทหนังที่เล่นเรื่องราวได้อย่างฉลาดเฉียบคมแล้ว (เขียนบทและสร้างโดยทิโมธี กรีนเบิร์ก เจ้าของรางวัลเอมมี่) ก็ต้องยกให้การแสดงไร้ที่ติของ “พอล รัดด์” ในบทเล่นเป็นตัวเอง 2 คนที่แตกต่างกันสุดขั้ว แบบดูปุ๊บก็แยกออกได้เลยว่าใครเป็นไมลส์คนเก่ากับคนใหม่ ซึ่งเป็นบทที่หนักเอาการเพราะต้องถ่ายทำสองรอบในฉากเดียวกัน แถมตัวละครทั้งคู่ก็ยังมีบทดราม่าหนักๆ ส่งอารมณ์ไม่แพ้กันอีกด้วย
หนังใช้บทพิสูจน์จากอุปสรรคความรักหลายรูปแบบ ทั้งจากความจำเจในการใช้ชีวิตคู่ ฐานะความมั่นคงในอนาคต การหึงหวง นอกใจ รวมถึงความบกพร่องเรื่อง Sex มาใช้เป็นเรื่องราวผลักดันความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน ไปสู่ช่วงสุดท้ายของซีรีส์ ที่ทำออกมาปลายเปิดให้จินตนาการต่อไปเอง โดยไม่ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะมีซีซั่น 2 หรือไม่
“รักแท้เริ่มต้นด้วยการมี SEX” หนึ่งในคำคมบาดใจของเรื่องนี้
ซีรีส์นี้ความยาว 8 ตอน ตอนละแค่ 25 นาทีจบ เล่าเรื่องด้วยเส้นเรื่องที่ทับซ้อนไปมาในเหตุการณ์เดียวกันแต่คนละมุม แต่มีความสนุกลื่นไหล ย่อยง่าย แค่ดูการแสดง 2 ตัวตนของพอล รัดด์ก็สนุกมากๆ แล้ว แต่หนังยังเล่นแง่มุมกระตุกต่อม จริยธรรม ศีลธรรม ตั้งคำถามกลับมายังคนดูให้คิดถึงเรื่องราวด้านลบของเทคโนโลยีแบบซีรีส์แบล็คมิเรอร์อีกด้วย แนะนำว่าเป็น 1 ในซีรีส์ Netflix ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
ตัวอย่างซีรีส์ Living with Yourself ชีวิตติดเซลฟ์ ซับไทย Netflix