รีวิว Soundtrack ดนตรี รัก จังหวะ ชีวิต หนังเพลงที่มีพล็อตเล่าเรื่องสุดเฉียบไม่เหมือนใคร!
Soundtrack ดนตรี รัก จังหวะ ชีวิต
สรุป
ซีรีส์ 10 ตอนจบที่เล่าเรื่องไปพร้อมกับตัดสลับเพลงเปลี่ยนอารมณ์ที่สนุก ตลก แบบมิวสิควิดีโอ เพลงที่เลือกมาก็เข้ากันได้ดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ตัวละครใช้ลิปซิ้งไม่ได้ร้องเองถ้าไม่ชอบตรงนี้อาจจะขัดตาขัดใจ แต่ส่วนที่เป็นจุดเด่นของเรื่องจริงๆ คือ พล็อตและวิธีเล่าเรื่องพร้อมจุดหักมุมคนดูอย่างน่าทึ่งตั้งแต่ตอนแรกเลย และก็กลายเป็นวิธีการเล่าเรื่องหลักไปในตัว (ถ้าสนใจอ่านในสปอยล์) แต่จุดที่ผิดพลาดก็คือ การเล่าเรื่องตัวละครสมทบมากเกินไปจนแทบไม่เหลือเวลาเอามาเล่าเรื่องตัวหลักในตอนหลัง ทำให้หนังกลายเป็นขึ้นต้นช่วงแรกดีมากๆ ก่อนจะพลาดเบาลงในช่วงหลัง จนจบลงอย่างน่าเสียดาย
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- นักแสดงเล่นได้สมบทบาท
- ฉากเต้นร้องเพลงที่สนุก ตลก ครีเอทได้เข้ากับเรื่องได้ดี
- พล็อตเรื่องที่ดีมาก
- นางเอกจาก Step up ภาคแรกที่ยังเต้นเก่งและสวยเหมือนเดิม
Cons
- เนื้อเรื่องช่วงหลังขาดรายละเอียดที่ควรจะมีจากที่ปูไว้ตอนแรก
- ใช้เวลาไปกับการเล่าเรื่องนอกเส้นหลักมากจนเกินไป
- ตัวละครบทสมทบใส่มาพร้อมกับให้เวลาเยอะกว่าตัวละครหลัก
Soundtrack ดนตรี รัก จังหวะ ชีวิต ซีรีส์รวมทีมงานที่เกี่ยวข้องกับหนังเพลงในอดีตจนถึงปัจจุบัน มาสร้างเป็นเรื่องเล่าความรักในแบบที่ไม่เหมือนใคร ระหว่างความฝันกับชีวิตจริงๆ ของศิลปินที่มีความสามารถ แต่ไม่อาจจะประสบความสำเร็จได้ในชีวิตจริง
ตัวอย่าง Soundtrack ดนตรี รัก จังหวะ ชีวิต
นี่เป็นซีรีส์ที่รวมดาราและทีมงานจากหนังเพลงหลายๆ เรื่องมารวมกัน ซึ่งที่บ้านเราคุ้นเคยกันดีก็คือ Jenna Dewan นางเอกจาก Step Up ภาคแรกปี 2006 ที่ยังสวยไม่สร่าง Callie Hernandez จาก La La Land หนังเพลงเจ้าของรางวัลออสการ์ปี 2560 ผู้กำกับ Joshua Safran จากซีรีส์ Smash ซีรีส์แนวละครเพลงบอร์ดเวย์ชื่อดัง มารวมกันสร้างเป็นซีรีส์แนวดนตรีเรื่องใหม่ ที่พล็อตสดใหม่แปลกแตกต่างและดีมากอย่างน่าทึ่ง แต่ก็มีข้อเสียแบบที่ว่าทำเอามึนไปเหมือนกันว่าทำไมผู้สร้างถึงทำออกมาแบบนี้
ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้มีจุดหักมุมคนดูตั้งแต่ตอนแรกที่น่าทึ่งเอามากๆ และยังมีหักมุมปลีกย่อยตามต่อมาเรื่อยๆ ในแต่ละตอน จึงขอเล่าเรื่องแบบคร่าวๆ สั้นๆ แต่ถ้าใครคิดว่าต้องการอ่านละเอียดและรับกับสปอยล์ได้ ก็กดอ่านท้ายงานครับ (แต่ก็จะสปอยล์กว้างๆ ไม่ลงลึกครับ)
เรื่องราวของซาวด์แทร็ค
หนังเล่าเรื่องราวของหนุ่มสาวผู้มีความฝันในทางศิลป์ การเล่นดนตรี แต่งเพลง วาดภาพ แต่งนิยาย การเต้น มาเจอกัน โดยที่แต่ละคนทิ้งความฝันเหล่านั้นไปแล้วด้วยสาเหตุต่างๆ กัน
“แซม” หนุ่มผิวดำที่มีความสามารถทางเปียโน ได้เรียนมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าด้านดนตรี แต่ทิ้งการเรียนออกมาแต่งเพลงตามฝัน ก่อนที่จะกลายเป็นพ่อหม้ายลูกติดที่มีภาระหนักในชีวิตจนไม่อาจสานฝันต่อได้ แต่มาวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับการนำความฝันนี้กลับมาในชีวิต
“เนลลี่” (เอเลเนอร์) หญิงสาวที่มีแม่เป็นดาราดังบ้านรวยมีฐานะ ตัวเองสนใจวาดภาพกับเขียนหนังสือนิยาย แต่กลับถูกแม่ตีกรอบว่าเธอควรเบนเข็มไปเรียนต่อเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมากกว่าจะเสี่ยงเป็นศิลปิน
นี่คือตัวเอกหลักในเรื่องราวชีวิตที่ต้องฝันฝ่่ากับการเอาตัวรอดในสังคมจริงๆ แบบปากกัดตีนถีบ คือต่อให้มีความสามารถมากแค่ไหน ถ้ายังทำเงินเป็นอาชีพไม่ได้ก็กลายเป็นความฝันที่ฉุดความเป็นจริงจนเอาตัวรอดไม่ได้ ซึ่งหนังก็พยายามถ่ายทอดจุดนี้ออกมาให้ผู้ชมได้เห็นว่า นี่เป็นหนังที่เรียลกับชีวิตมากกว่าจะเป็นหนังแบบที่เขียนบทให้ไปตามฝันจนสำเร็จแบบปกติทั่วไป โดยเฉพาะแนวหนังเพลงที่มักจะต้องให้ตัวเอกตกอับต้องลุกมาทำตามฝันให้สำเร็จ ซึ่งถ้าอ่านจากพล็อตเรื่องด้านบนก็คงคิดว่าเป็นแบบนั้นแน่ๆ แต่ซีรีส์เรื่องนี้มีซ่อนแอบอะไรไว้มากกว่านั้น แถมการเล่าเรื่องที่แปลกแตกต่างมากๆ
ฉากเต้นและร้องเพลง
ในส่วนของเพลงในเรื่องนี้จะใช้การลิปซิ้งของนักแสดงประกอบเพลงแบบเป็นฉากแฟนตาซีเหมือนมิวสิควิดีโอ พร้อมท่าเต้นกับตัวแสดงในฉาก แต่ว่ามักจะใช้เพลงตัดอารมณ์ให้แตกต่างกับเรื่องราวทันที ไม่ได้เป็นโทนต่อเนื่องตามอารมณ์ในหนังนัก อย่างเครียดก็ตัดเพลงกลายเป็นตลก เศร้าตัดเป็นเพลงป๊อบเศร้าๆ แต่เร้าอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่กลับเข้ากันได้ดีมาก คือดูแล้วจะขำสนุกไปกับความเว่อร์ๆ ท่าทางนักเต้นประกอบเรื่องมากกว่า นึกถึงหนังอินเดียก็แบบนั้นครับ คือถ้าเป็นคนชอบเพลง ชอบหนังเพลง เรื่องนี้อิ่มมากๆ เพราะจัดมาเยอะจัด จนบางทีคิดว่าเยอะเกินไปเหมือนกัน แต่จะอยู่ช่วงแรกๆ มากกว่าหลังๆ ซึ่งน้อยลงมาก เน้นเล่าเรื่องปกติ อาจจะเพราะเรื่องราวเครียดขึ้นกว่าตอนแรกเยอะก็ได้ แต่การที่หนังใช้เพลงตัดอารมณ์บางทีคนดูก็ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน ทำให้หลายฉากจากที่ดูบิ้วได้ดีๆ ตัวเพลงกลับมาเปลี่ยนอารมณ์ที่ควรจะเป็นมากไปเหมือนกัน ทำให้สะดุดและไม่เข้ากับเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ก็เข้ากันได้สัก 70/30 ครับ ทำให้เรื่องราวดูสมูธไม่ได้ติดขัดอะไร
ด้วยความที่เป็นซีรีส์จึงมีตัวละครหลายตัวมากกว่าตัวหลัก หนังจึงมีตัวละครสมทบมากมายที่เป็นครอบครัวและเพื่อนของตัวหลักทั้งคู่ ซึ่งดารานักแสดงในเรื่องนี้ก็สอบผ่านกันทุกคน โดยตัวหลักอย่างแซมที่เป็นหนุ่มผิวสีถือว่าเล่นได้ดีมีเสน่ห์ ไม่ขัดตาเลย และทำให้เราเชื่อได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายอบอุ่นที่พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้อยู่กับลูกชาย ส่วนเนลลี่ก็เป็นผู้หญิงลูกเศรษฐีที่ไม่ได้หัวขบถอะไรตามสูตร แต่เป็นคนที่มักแคร์คนรอบข้างมากไปจนทำให้ความฝันในการเป็นศิลปินของตัวเองมีปัญหา
ซีรีส์เรื่องนี้มีการเก็บรายละเอียด ความเป๊ะต่างๆ แบบหนังเพลงที่ต้องเข้าจังหวะของทั้งนักแสดงลิปซิ้ง ท่าเต้นประกอบอารมณ์การแสดงได้ไม่มีที่ติสักเท่าไหร่ อาจจะแปลกๆ บ้างกับการใช้ลิปซิ้งในบางครั้งที่ไม่เข้ากัน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียด นักแสดงเล่นได้ดีเข้าถึงบท รวมถึงพล็อตเรื่องที่ดีเอามากๆ ในแบบที่หาได้ยาก แต่ว่าสิ่งที่เรื่องนี้พลาดไปอย่างมากคือการทิ้งเรื่องราวที่ควรจะเล่าให้จบต่อเนื่องกัน บ่อยเกินไป แบบที่เปิดมาแล้วคนดูอยากดูต่อ อยากรู้ว่าเรื่องราวต่อจะเป็นไง ผู้สร้างกลับเลือกกระโดดข้ามความต่อเนื่องของเรื่องมากไป แถมยังเลือกเล่าเรื่องราวช่วงท้ายแบบขาดรายละเอียดไม่เท่ากับที่ให้เวลาไปกับเรื่องอื่นๆ นอกเส้นเรื่องหลัก ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ แต่กลับไม่ทำ ทำให้พอดูจบแล้วรู้สึกเสียดายเอามากๆ กลายเป็นจุดนี้จุดเดียวที่ทำให้เรื่องราวที่ปูมาหมดพลัง เบาบางลงไปแบบง่ายๆ
รีวิวสปอยล์ Soundtrack ตอน 1 และภาพรวมของเรื่องราวทั้งหมดจนจบ
หนังเล่าเรื่อง 2 ตัวละครหลัก แซมกับเนลลี่สลับกันไปมา พร้อมกับใส่หญิงสาวตัวละครหลักคนที่ 3 แทรกเข้ามา (ซึ่งรูปร่างหน้าตาก็คล้ายเนลลี่มากด้วย) แบบบังเอิญพบเจอในชีวิตของทั้งคู่หลายครั้ง โดยไม่บอกว่าเป็นใคร ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะเฉลยในตอนท้ายของ EP1 ที่ทำให้เรากระจ่างว่า หนังเล่าเรื่องในอดีตกับปัจจุบันไปพร้อมกันตั้งแต่แรก โดยเรื่องของทั้งคู่ห่างกันเป็น 10 ปี โดยตัวละครที่ 3 จะเป็นคนสำคัญที่เชื่อมต่อกับทั้งคู่ และเป็นคนทำให้โชคชะตาของทั้งคู่เปลี่ยนไปในอดีตกับในปัจจุบัน ซึ่งบอกเลยว่าหนังเขียนบทได้สมูธ และตัดสลับเรื่องราวได้สนุกแนบเนียน ก่อนจะบรรจบกันอย่างทึ่ง
รีวิวสปอยล์ Soundtrack ตอน 2
หลังหนังเผยว่าต้องการเล่าเรื่องแบบตัดสลับข้ามเวลาไปมา ในตอนที่ 2 ถึงค่อยเปิดตัวละครที่ 3 ว่าเป็นใคร ซึ่งเธอก็คือนางเอกอีกคน “โจแอนนา” (แสดงโดย Jenna Dewan นางเอกจากเรื่อง Step up) นักเต้นที่มีความสามารถ แต่กลับถูกมองข้ามไปจนเธอท้อถอยในฝัน และหันไปทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งคราวนี้หนังจะตัดสลับชีวิตของเนลลี่ที่เริ่มทำความรู้จักกับแซม คู่ไปกับชีวิตของโจแอนนาก่อนจะมาพบเจอกับแซมแบบจริงจังในตอนจบ EP1 จากเหตุการณ์ผิดพลาดที่แซมไปรับลูกหลังเลิกเรียนช้า จนทำให้เธอต้องเข้ามาสืบสวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของแซม ที่ดูเหมือนชีวิตจะตกต่ำลงเรื่อยๆ ก่อนที่จะบังคับด้วยกฎหมายเอาลูกของแซมไปอยู่สถาณสงเคราะห์เด็กของรัฐ โดยเรื่องราวเซ็ทให้ตัวละครโจแอนนาให้เป็นสาวที่ตรงเอามากๆ กับงานที่เธอทำ จนทำให้กลายเป็นเรื่องราวความรักที่ขัดแย้งกับหน้าที่ที่ต้องทำ
สรุปเรื่องราวการเล่าเรื่อง
หนังใช้การเล่าในแต่ละ EP ด้วยการกระโดดข้ามไปไทม์ไลน์ใหม่ๆ ของตัวละครที่เกี่ยวกับชีวิตเนลลี่กับแซม ก่อนจะให้ตอนจบเรื่องเล่าวนกลับมาดูความเป็นไปในปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่าครึ่งแรกของเรื่องหนังจะเล่ากลับไปกลับไปมาแต่ต่อกันได้อย่างน่าสนใจ แต่พอช่วงหลังหนังกลับเล่าเรื่องของตัวละครอื่นเพิ่มอีกหลายตัว ซึ่งกลายเป็นว่าแทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักของทั้ง 3 คน (แซม เนลลี่ โจแอนนา) ทำให้คนดูรู้สึกโดนทิ้ง และเหมือนถูกหลอกให้คิดว่าเรื่องที่เล่าจะสำคัญกับทั้ง 3 คน อย่าง EP8 เรื่องจีจี้เพื่อนเนลลี่กลับไม่เกี่ยวข้องใดๆ เลยกับปมเส้นเรื่องหลัก ซึ่งหนังดันใส่เข้ามาในจังหวะที่ EP7 เรื่องราวยังมีต่อ แต่ถูกค้างเอาไว้ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เสียเวลาไปกับการเล่านอกเรื่องตามใจ เหมือนต้องการโชว์เพลงกับความสามารถการแสดงแยกไปของตัวละครแต่ละตัว จนแทบไม่มีเวลาให้กับเส้นเรื่องหลักอย่างที่ควรจะเป็น
พอถึงตอนจบ EP10 หนังก็เฉลยปมที่เนลลี่ตายแบบง่ายๆ ด้วยคำพูด ไม่มีย้อนกลับไปให้เห็นเรื่องราวจริงๆ ผิดกับตอนที่ผ่านมาที่ย้อนทุกรายละเอียดจนน่าผิดหวัง รวมถึงยังทำเรื่องของ “แซมกับโจแอนนาไว้อย่างค้างคา” เหมือนกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเล่นเรื่องรักใหม่ของเขาอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่ตอนพบกันตอนแรกหนังก็แสดงให้เห็นว่าแซมเองก็ปิ๊งโจแอนนาเหมือนที่ปิ๊งเนลลี่เป๊ะเลย และในส่วนของโจแอนนาเองก็กลายเป็นตัวละครที่แอบรักแซมแบบคนดูคาดเดาได้ แต่มาเฉลยเอาตอน EP10 ตรงๆ ผ่านการตัดฉากเป็นมิวสิควิดีโอของเธอ ซึ่งพอมาเฉลยเอาตอนก่อนจะจบเรื่องก็ทำให้ไม่มีเวลาพอเล่นเรื่องนี้ แล้วก็จบเรื่องราวไปอย่างเงียบๆ และยังมีเวลาให้เธอน้อยกว่าตัวละครสมทบบางตัวซะอีก ทั้งๆ ที่เธอเป็นนางเอกคนปัจจุบันของเรื่องราวนี้
แต่ทั้งนี้เรื่องราวที่เกิดในเรื่องนี้อาจจะเป็นการตั้งใจเล่าให้เรียลที่สุด โดยไม่ได้ไปปรุงแต่งให้เป็นหนังรักแบบต้องมีฉากโมเมนต์หวานๆ มองตาสารภาพความในใจกันอะไรแบบนั้น ซึ่งถ้าใครดูแล้วยังชอบที่หนังเล่นเรื่องราวธรรมดาในช่วงหลังได้ ก็น่าจะโอเคกับการที่หนังเลือกเดินทางนี้ แต่ส่วนตัวก็ยังรู้สึกเสียดายว่าหนังไม่น่าเล่าเรื่องตัวละครอื่นมากจนเกินไปแบบนี้อยู่ดีครับ