playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Star Wars The Rise of Skywalker ตำนานแฟรนไชส์ที่อาศัยขุดบุญเก่ามากินจนหมด…

สรุป

ภาคที่ทำได้แค่ประคองตัวให้รอดหากินกับบุญเก่าเดิมๆ ซึ่งคงไม่เหลือให้ตักตวงได้สักเท่าไหร่แล้วเหมือนกันครับ แต่ถึงรีวิวบอกว่าแย่แค่ไหน ยังไงคุณก็ต้องไปดูอยู่ดี

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • คู่จิ้นเรย์ไคโลเรนต่อจากภาคก่อน
  • ช่วงใช้พลังฟอร์ซยังดูสนุก (แต่ไม่สดใหม่)
  • มีตลกแทรกนิดหน่อยพอขำได้

Cons

  • ไร้ซึ่งความแปลกใหม่ เต็มไปด้วยเรื่องราวเดิมๆ จนน่าเบื่อ
  • ครีเอทบทสรุปของเลอาไม่น่าประทับใจ
  • ฉากสงครามวุ่นวายไม่มีอะไรน่าจดจำ
  • วนอยู่กับสกายวอล์คเกอร์ต่อไป

 

 

ADBRO

Star Wars The Rise of Skywalker ภาค 9 ไตรภาคบทสุดท้ายของหนังแฟรนไชส์ชุดนี้ที่ยังไงคนที่ดูมาก่อนก็ต้องตามดูจนจบ ดังนั้นรีวิวนี้จึงไม่ขอเกริ่นอะไรน้ำท่วมทุ่ง แต่ขอพุ่งเข้าประเด็นหลักเลยว่า คิดว่านี่เป็นภาคที่แย่ที่สุดของไตรภาคชุดใหม่นี้ (ไม่ขอเทียบย้อนไปกว่านั้นเพราะงานสร้างกับยุคสมัยต่างกันมากครับ)

เกริ่นให้เข้าใจก่อนว่า ถึงแม้ผมจะไม่ใช่แฟน Star Wars ตัวยงอะไร แต่ก็เรียกว่าได้ดูมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยม้วนเทป VHS นั่นเลย (ไม่ได้ดูโรงเพราะเด็กไปอยู่ต่างจังหวัดด้วย) และก็รู้จัก Star Wars มาตั้งแต่ยุคแรกฉายเลยเพราะพี่ชายบ้าคลั่งหนังเรื่องนี้มากจนเอามาตั้งเป็นชื่อร้านเพลงดังย่านบางกะปิ (ถ้าใครฟังเพลงเก่าพอคงนึกชื่อร้านออก) แต่ถึงจะดูมาหมด และมีความรู้กับ Star Wars พอตัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าชอบคลั่งไคล้ขนาดเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนได้ แค่เหมือนเป็นหน้าที่ตามดูตลอด อันนี้คือปูเพื่อให้เข้าใจก่อนว่าตัวผู้เขียนจัดอยู่ในประเภทไหนกับสตาร์วอร์ที่มีแฟนๆ ทั่วโลกนะครับ

มนต์ขลังประวัติศาสตร์ก่อนดู Star Wars The Rise of Skywalker


ส่วนตัวดู Star Wars มากี่ภาคก็เหมือนเดิมเกือบหมดแทบทุกภาค เพราะว่าเฟรนไชนส์นี้ชอบคงเรื่องราวเก่าๆ ไว้เป็นจุดขาย มีสดใหม่ก็พวกภาคแยกอย่าง Rogue One ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากเลย ที่ชอบที่สุดก็คือภาค 8 (Star Wars: The Last Jedi) ซึ่งก็กลายเป็นภาคเสียงแตกที่แฟนๆ จำนวนมากก่นด่า แต่คนที่ชอบความแตกต่างแนวทางใหม่ๆ จะชอบไปเลย ผมก็คือหนึ่งในนั้นที่ดูจบแล้วนอกจากจะฟินกับบทสรุปของลุคที่ทำออกมาดีมาก และยังได้เห็นการปฏิวัติแนวทางเจไดใหม่ที่แทบจะรื้อของเก่าไปหมด และก็คาดหวังว่าภาคนี้อาจจะไปต่อในทิศทางนี้ได้อยู่ แต่แล้วกลายเป็นว่าภาคนี้วนลูปเอาบทสตอรี่เก่าๆ กลับมาใช้ซ้ำอีก แต่หนักข้อกว่าเดิม บทแทบจะถอดแบบเดิมๆ จาก Star Wars ไตรภาคชุดก่อนมาเลย (4-6) โดยไม่ได้มีการลงลึกให้มีความสดใหม่เพิ่มอะไร ซึ่งกลายเป็นอะไรที่น่าผิดหวังมาก บทเหมือนเอาคนเขียนนิยายแฟนฟิคลงอินเตอร์เน็ตมาเขียน แบบอยากให้แฟนๆ จิ้นก็ยัดไปจัดให้เลย ซึ่งฟินไหมก็ฟินในมุมนั้น แต่หนังไม่มีความลุ่มลึกในรายละเอียดอะไรสักอย่างจนน่าผิดหวัง แถมยังจับเรื่องเยอะแยะมาใส่ให้ดูจับฉ่ายจนน่าเบื่อ ซึ่งคนก็รอดูแค่ว่าเรื่องราวของเจไดผ่านเรย์กับไคโลเรนจะออกมาตอนไหนเท่านั้น…ส่วนอื่นๆ คือตัวประกอบเรื่องราวทั้งหมดที่ไม่น่าจดจำเลย

ปมพัลพาทีนเฉลยอย่างง่ายตอนแรก ไม่ต้องเดาอะไรให้ซับซ้อนครับ -Star Wars The Rise of Skywalker

ปมการกลับมาของพัลพาทีนจากก่อนดูเหมือน โหย… มันต้องมีอะไรลึกลับซับซ้อนมากแน่ๆ กับการดึงตัวละครนี้กลับมา พอมาได้ดูจริงๆ หนังใช้เวลาอธิบายตอนแรกรวมๆ ไม่น่าจะเกิน 5 นาทีต่อจากตัวบรรยายคลาสสิคเริ่มต้น ซึ่งก็เล่นง่าย แถมมีความแถกันดื้อๆ ในแบบที่ทำเอาทฤษฎีต่างๆ โยนทิ้งน้ำไปได้เลย

สปอยล์จักพรรดิ์พัลพาทีน

พัลพาทีนอยู่มาตลอดบนดาวนอกระบบกาแลกซี่เลยไม่มีใครพบเจอ

 

คือตั้งแต่เริ่มเรื่องนี้หนังก็ดูไม่น่าไว้ใจว่าจะเล่าเรื่องราวได้ลุ่มลึกอะไรอย่างที่คิดแล้ว และก็เป็นจริงๆ กับทุกประเด็นในภาคนี้ ที่หนังใช้เหตุผลแบบเหมือนให้เด็กเขียนบท สร้างเรื่องราวให้มีสถานการณ์คับขันขึ้นมา แต่ก็กลับผ่านแบบง่ายดายไปหมด ผ่านตัวละครหลักคนปกติที่จู่ๆ ก็มีซิกเซนส์แบบ “ฉันว่าต้องทำแบบนี้ ฉันว่าต้องไปทางนี้” แล้วก็ผ่านได้เฉย คือแบบดูไปนี่ต้องทำใจ หนังเหมือนลดอายุให้สมองคนดูกลายเป็นหมวด Kid แบบไม่ต้องการอะไรให้รกสมอง คือผมก็เข้าใจนะว่า Star Wars ไม่ได้เป็นหนังที่ต้องมาตีความอะไรแบบขั้นสุดยอด แต่ที่ผ่านๆ มาหนังก็มีอะไรให้ขบคิดพูดคุยได้เยอะเหมือนกัน ถ้าดูแบบคิดวิเคราะห์จริงๆ นะ อย่างภาคก่อนก็มีหลายเรื่องมากมายให้ถกกัน แม้กับตอนจบเด็กถือไม้กวาดก็ยังเปิดกว้างให้คิดได้มากมาย แต่ภาคนี้แทบทุกเรื่องคือจบแบบเคลียร์ง่ายๆ ในตัวมัน แถมเป็นการจบในแต่ละเรื่องแบบไม่ต้องสนหลักการอะไรแล้ว จะเอาแบบนี้ก็ต้องแบบนี้ อย่างเรื่องความลับชาติกำเนิดเรย์ที่ถูกขุดมาเล่นใหม่อีกแล้ว ซึ่งพอรู้แล้วก็ทำเอาส่ายหน้าได้เหมือนกัน แต่คือก็เข้าใจล่ะครับว่าหนังยังต้องการให้เรื่องราววนอยู่กับสายเลือดชาติตระกูล ซึ่งผู้กำกับในภาคที่แล้วพยายามฉีกแตกต่างให้แล้ว แต่สุดท้ายก็โดนจับมาวนในอ่าง Skywalker อยู่ร่ำไป…

สปอยล์ชาติกำเนิดของเรย์

เรย์เป็นหลานพัลพาทีน พ่อแม่เป็นคนเก็บขยะเพราะต้องการหนีจากเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งก็เป็นชะตากรรมที่ต้องมาอยู่ฝ่ายเจได ถูกฝึกโดยสกายวอร์คเกอร์ทั้งลุคกับเลอา (ที่บอกว่ารู้เรื่องชาติกำเนิดเรย์มาก่อนแล้ว)


Star Wars The Rise of Skywalker
คู่จิ้นที่ทุกคนคงตามดูกันมากที่สุดกว่าเรื่องราวอื่นๆ แล้วในหนัง

สิ่งเดียวใน Star Wars The Rise of Skywalker ที่ผมรู้สึกว่ามีอารมณ์ร่วมได้บ้างคือคู่จิ้น “เรย์กับไคโลเรน” ที่ต่อมาจากภาคเก่า ซึ่งภาคนี้ไม่ต้องมาเหนียมๆ กันแล้ว พลังก็แบบว่าแทบจะวาร์ปข้ามมาหากันได้เลย แล้วก็ไม่ต้องมาจิ้นอะไร เพราะหนังจัดให้อยากได้แบบไหนเอาไปเลย ซึ่งถ้าเรื่องนี้เดินเรื่องโดยสองคนนี้เป็นหลักไม่มีเรื่องราวจากตัวละครอื่นมาแทรกให้สะดุด หนังอาจจะลงลึกในเรื่องราวตรงนี้แล้วทำได้ดีกว่า อินกว่าการที่หนังเล่าเรื่องนี้ผสมกับเรื่องอื่นไปมา แถมมาไวไปไว จู่ๆ จะบอกความในใจก็บอก ซึ่งโอเคชอบครับ แต่มันก็เป็นการชอบเพราะบทยัดเข้ามาเท่านั้น ไม่ได้มีการส่งอารมณ์ให้รู้สึกว่าต้องอินจริงจัง ซึ่งพอหลังจากนั้นหนังก็รีบยัดหตุผลให้ตัวละครหลักเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จนไวเกินไปที่จะทำให้คนอินได้จริงจัง (อ่านในสปอยล์ต่อไปได้ครับ) แต่ก็เป็นส่วนที่เรียกว่าฉากเดียวในหนังจริงๆ ที่ทำให้ผมมีอารมณ์ไปกับเรื่องราวมากกว่ามาดูหากินบุญเก่าเดิมๆ แบบไร้อารมณ์ร่วมทั้งเรื่องแบบนี้ครับ

สปอยล์ฉากสำคัญของคู่จิ้นในภาคนี้

หนังให้เรย์กับไคโลเรนมาดวลไลท์เซเบอร์กัน (จริงๆ ก็ดวลกันหลายรอบก่อนแล้ว) เรย์พลาดท่า แต่ไคโลเรนกลับชะงักเพราะแม่ (เลอา) ส่งกระแสจิตเรียกเขา แล้วก็สิ้นใจทันที หนังไม่มีช่วงจังหวะบิ้วอารมณ์ก่อนตายให้เลอาเลย แถมยังรวบรัดปิดคลุมผ้าทันที (เข้าใจว่าไม่ยอมใช้ CG ทำเพิ่ม แต่ก็น่าจะมีฉากอะไรที่ช่วยเสริมกว่านี้) ถ้าเทียบกับลุคในภาคก่อนเรียกว่าการตายของเลอาไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย ซึ่งในจังหวะที่ส่งเสียงไปหาลูกนั้น เรย์ก็ได้จังหวะแทงสวนมาที่ไคโลเรนจนทรุด พอสัมผัสได้ว่าเลอาส่งจิตสุดท้ายมาช่วย ก็รีบช่วยรักษาไคโลเรนทันที แล้วก็บอกความในใจอ้อมๆ ว่ารักเขา ก่อนขึ้นยานหนีไป ทิ้งให้ไคโลเรนอึ้งก่อนความทรงจำพ่อของเขาจะกลับมาเสริมอีกแรงว่าให้เขากลับตัวกลับใจ ซึ่งก็ทำให้เขาตัดสินใจย้ายฝั่งทันที 

ฉากไคลแม็กซ์ที่ไร้ซึ่งพลัง

ไม่ใช่ว่า Star Wars ทุกภาคจะทำได้ดีนัก แต่สำหรับ The Rise of Skywalker ที่เป็นบทสุดท้ายของไตรภาคที่เรียกว่าต่อกันจากภาคแรกมาด้วย 1-9 มันจึงเป็นความคาดหวังว่าจะทำได้ดีมากๆ แต่แล้วกลายเป็นว่าคนดูต้องพบกับฉากจบที่ยังวุ่นวายกับการเอายานรบไล่ยิงยานแม่ ที่คราวนี้เพิ่มจำนวนเต็มท้องฟ้า แต่ก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไรนอกจากเป็นยานประดับฉาก ที่ดูไปก็ไม่รู้สึกลุ้นตามอะไรสักนิดว่าพวกฝ่ายกบฎจะเอาชนะไม่ได้ แถมยังมีฉากรวมพลแบบ Avengers assemble ใน Endgame ที่ดูแล้วออกจะตลกๆ แบบเอิ่ม… ค่ายเดียวกันเนาะก็เลยรียูสเอามาใช้เพิ่มซะงั้น

ฉากยานรบจืดไม่พอ ยังพ่วงการต่อสู้กับบอสสุดท้ายที่จืดพอกัน แถมไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไหร่นัก เหมือนหนังหาทางออกให้บอสใหญ่มีพลังอลังการไม่ได้ ก็เอากันง่ายๆ เปลี่ยนมุกให้มีพลังยิ่งใหญ่เหมือนวางแผนมานาน แต่ที่จริงแถกันสดๆ แบบเลือดซิบๆ พอได้มาปุ๊บก็โชว์ออฟซะหน่อยพอให้รู้ว่าข้าเจ๋งระดับจักรวาล แต่ก็มีแค่นั้นแหละครับ จากนั้นก็กลายเป็นฉากต่อสู้แบบไม่ลงทุนอะไรเลย ในขณะที่ปูมาว่าพลังของทั้งสองฝ่ายสูงส่งกว่าที่เคยมีมาทุกภาค ระดับรวมพลังที่เคยมีมาทั้งหมดในกาแลกซี่มาสู้กัน แต่ทำเหมือนย้อนยุคสมัยก่อนใช้เอฟเฟ็กต์ยิงแสงจากมือโต้กันแบบธรรมดา ผิดกับภาคก่อนที่เรียกว่า อึ้ง ทึ่ง ไปกับความสามารถของลุคที่โชว์เหนือตอนจบ ในแบบที่ใครดูก็ต้องยอมรับว่าเจ๋ง แต่สำหรับภาคนี้คือป่วยเอามากๆ จะเรียกว่าเป็นฉากแบทเทิลสุดท้ายที่ไม่น่าจดจำที่สุดภาคหนึ่งใน Star Wars เลยก็ว่าได้ครับ!


ถ้าจะด่าให้ถูกตัวก็ต้องด่าดิสนีย์!

ถึงภาพรวมทั้งหมดของภาคนี้จะดูแย่ แต่ทั้งหมดนี้คงต้องเจาะจงว่าให้ถูกตัวคือ เป็นความพยายามของดิสนีย์ที่จะเพลย์เซฟแก้ไขเรื่องคนดูเสียงแตกจากภาคก่อน ที่มีความกล้าหลุดกรอบหลักเรื่องราวไปพอสมควร ทำให้ผู้กำกับเจเจกลับมารับงานปรับทิศทางเข้ากรอบที่ดิสนีย์ต้องการด้วยเหตุผลทางธุรกิจเป็นหลัก หนังต้องเดินตามกรอบเดิมๆ แล้วก็ต้องแมสที่สุด อย่าไปเล่นท่ายากอะไรมากกว่านี้ คือต้องบอกเลยว่ากลายเป็นแฟรนไชส์ชุดนี้ถูกครอบงำด้วยเหตุผลการทำเงินชัวร์ๆ มากกว่าการเดินหน้าเรื่องราวไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่มีความเสี่ยงในแบบที่สตูดิโอไม่ต้องการขัดใจแฟนๆ ดั้งเดิม อีกทั้งเฟรนไชนส์ Star Wars ชุดนี้ยังทำต่อไปแน่นอนจากการที่ดิสนีย์ให้หัวเรือใหญ่มาร์เวลขึ้นมาคุมทิศทางในภาคต่อไปจากนี้ ที่ว่ากันว่าจะปรับให้สดใหม่ แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าทำได้ ทำไมไม่ทำเอาตอนนี้ ทั้งๆ ที่ภาคก่อนก็ทำได้แล้วแท้ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลความต้องการเพลย์เซฟของดิสนีย์ล้วนๆ ทำให้เป็นแบบนี้


สรุป

รีวิว Star Wars The Rise of Skywalker นี้เป็นอารมณ์ล้วนๆ ของผู้เขียนที่ติดตามมาเรื่อยๆ เรียกว่าถ้าให้จัดลำดับความไม่ประทับใจสุดก็คงภาคนี้แหละครับ ด้วยความที่หนังมีทั้งเงินทั้งฐานแฟนๆ มากมาย แต่กลับทำได่แค่ประคองตัวให้รอดหากินกับบุญเก่าเดิมๆ มากเกินไป ซึ่งคงไม่เหลือให้ตักตวงได้สักเท่าไหร่แล้วเหมือนกัน เพราะคะแนนนักวืจารณ์ภาคนี้ดิ่งเหวหนักมากในต่างประเทศ ซึ่งถ้าดิสนีย์ยังยืนยันทำภาคต่อๆ ไปแบบเพลย์เซฟอีก ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือแฟนพันธ์แท้ที่พร้อมจะจ่ายตังเข้าไปดูอะไรเดิมๆ แบบนี้ได้อีกนานสักแค่ไหนกันครับ (อัพเดทส่วนคะแนนคนดูกลับข้างนักวิจารณ์)

คะแนน Star Wars The Rise of Skywalker 

รีวิวสับแหลกสตาร์วอร์ 9 (นักเขียนเพิ่มเติม)

Star Wars IX วิเคราะห์เรื่องราวจากตัวอย่างสุดท้าย

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!