รีวิว Uncorked บ่มรักสู่ฝัน “ซอมเมอลิเยร์” ผู้เชี่ยวชาญไวน์ที่มีเพียงน้อยนิดในโลก
Uncorked บ่มรักสู่ฝัน
สรุป
นี่เป็นหนังที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นในเรื่องบิ้วอารมณ์อะไรนัก แต่ก็มาพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ของอาชีพซอมเมลิเยร์ที่หาดูได้ยาก ดูจบแล้วอิ่มเอมเบาๆ ลงตัว แถมได้ความรู้เรื่องไวน์ไปอีกเป็นลังครับ
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- เจาะลึกโลกของการเป็นผู้เชี่ยวชาญไวน์
- นักแสดงตัวเอกหลักหล่อสุมขุมนุ่มลึก
- หนังคนดำที่บทเป็นธรรมชาติ ไร้ความรุนแรงใดๆ มาเกี่ยวข้อง
Cons
- เรื่องราวเรียบๆ เป็นธรรมชาติไม่ได้ประดิษฐ์อะไรมากอาจจะไม่ถูกใจคนดูที่ชอบแนวบิ้วอารมณ์ดราม่า
- ตัวละครสมทบบางคนที่โดดเด่นกลับถูกตัดออกจากเรื่องกลางทางจนรู้สึกน่าเสียดาย
Uncorked บ่มรักสู่ฝัน หนังสร้างแรงบันดาลใจจาก Netflix เรื่องราวของของหนุ่มผิวดำผู้ฝันอยากเป็น “ซอมเมอลิเยร์” ผู้เชี่ยวชาญไวน์ที่มีเพียงน้อยนิดในโลก
ตัวอย่าง Uncorked บ่มรักสู่ฝัน
หนุ่มวัยรุ่นผิวดำ เอไลจาห์ (มาโมดู เอธี) ที่หันเหตัวเองออกจากการเรียนมหาวิทยาลัย ไปสู่เส้นทางความฝันในการเป็น “มาสเตอร์ ซอมเมลิเยร์ (Sommelier Master)” ผู้เชี่ยวชาญไวน์ที่มีเพียงน้อยนิดในโลกให้เป็นจริง ในขณะเดียวกันก็ต้องแบกความหวังของพ่อในการรับช่วงต่อร้านบาร์บีคิวชื่อดังของครอบครัวในเมมฟิสไปด้วย
พล็อตหนังวัยรุ่นสร้างแรงบันดาลใจไปสู่เส้นทางฝัน ในอาชีพที่ต้องเรียกว่าแปลกใหม่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน อย่างการเป็น “มาสเตอร์ ซอมเมลิเยร์” ซึ่งนอกจากจะเจาะลึกเรื่องราวของอาชีพนี้ไว้ดีพอสมควรแล้ว ก็ยังเป็นหนังของคนผิวดำที่ไม่มีความรุนแรง ไม่มีแก๊ง ไม่มียาเสพติด ไม่มีเรื่องของอาชญากรรมมาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหาได้ยากเหมือนกันกับการทำหนังคนผิวดำที่บทดูเรียบง่ายเรียลๆ มีความเป็นธรรมชาติในเรื่องราวที่แทบจะไม่ปรุงแต่งอะไรให้เป็นหวือหวา แต่พุ่งเป้าเจาะลึกการก้าวเข้ามาสู่โลกของอาชีพที่มีคนรู้จักน้อยมาก และก็มีคนที่เป็นได้เพียงน้อยนิดในโลก ซึ่งในเรื่องระบุไว้แค่ 230 คน
คนดูจะได้เห็นตั้งแต่จุดเริ่มของอาชีพซอมเมลิเยร์ ที่พระเอกทำงานในร้านขายไวน์แล้วมีเจ้าของร้านเป็นซอมเมลิเยร์คนหนึ่งที่มีหน้าที่เลือกซื้อไวน์จากทั่วโลกมาขาย ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันมากมายหลายพันชนิด แล้วก็ได้เห็นเรื่องราวการก้าวขาเข้าไปในโลกของซอมเมลิเยร์ที่ต้องสอบเข้าโรงเรียน Sommelier school ที่ค่าเรียนก็แพง แถมยังต้องมีการเดินทางไปปารีสเมืองแห่งไวน์ด้วยค่าใช้จ่ายที่เกินตัวไปมาก จนเกิดความขัดแย้งกับพ่อที่หวังให้ลูกสืบทอดร้านของตระกูลมาตลอด ในขณะที่แม่สนับสนุนให้ลูกไปตามฝัน แต่หนังก็ไม่ได้เน้นปมขัดแย้งดราม่าจนเกินเลยไปนัก เรื่องยังอยู่ในระดับพอดีๆ ที่ทั้งสองฝ่ายพอจูนกันได้ แม้ว่าพ่อจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกฝันไว้ก็ตาม
หนังไล่ลำดับเรื่องไปแบบเรียบๆ ให้เห็นว่าการเป็นซอมเมลิเยร์ไม่ใช่แค่ไม่ง่าย แต่ต้องบอกว่ายากในระดับที่สมกับมีเพียง 230 คนในโลก ต้องถือว่าตัวเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวของการมาเป็นซอมเมลิเยร์ได้ละเอียดมาก ซึ่งทั้งเรื่องมีแต่ชื่อไวน์แปลกๆ สถานะเคมี การรับรู้รส จุกไม้ก๊อก และอะไรอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบมากมายเกินกว่าเราคนดูหรือแม้แต่คนกินไวน์จะเคยรับรู้กัน คนที่จดจำและแม่นยำกับการจำแนกไวน์ขนาดนั้นจึงเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่หาได้ยากมากของอาชีพนี้ ซึ่งต้องมีการสอบสุดหินที่ห้ามผิดพลาดเลยแม้แต่นิดเดียวถึงจะได้รับสิทธิการเป็น “มาสเตอร์ ซอมเมลิเยร์” ได้ ซึ่งถ้าถามว่าอาชีพนี้สำคัญยังไง ในเรื่องมีคำตอบไว้โดยละเอียดอยู่แล้วว่า เป็นเหมือนบ๋อยชั้นสูงของร้านอาหารที่มีไวน์ไว้บริการ ซึ่งไม่ใช่แค่การแนะนำไวน์ให้เข้ากับอาหาร แต่ยังรวมถึงวิธีการดูแลเสิร์ฟ และจิตวิทยาในการรับมือกับลูกค้าที่อาจจะวีนไม่พอใจได้ทุกเมื่อถ้าแนะนำไม่เข้าหู แม้แต่การอ่านที่มาเชื้อชาติของแขกให้เข้ากับไวน์ก็รวมอยู่ในความสามารถของซอมเมลิเยร์ด้วยเช่นกัน
ดาราในเรื่องอย่างที่รับบท เอไลจาห์ ก็แสดงได้ดีมาก ดูเป็นหนุ่มผิวดำที่สุภาพเรียบร้อย มีความลุ่มลึกละเมียดละไมเวลาสนใจไวน์จริงจัง ในขณะเดียวกันก็เป็นลูกที่แอบขบถต่อพ่ออยู่เนืองๆ ซึ่งดราม่าระหว่างพ่อกับลูกก็มีบทสรุปที่ลงตัวแบบไม่ต้องบิ้วอะไรมากมาย หนังทำอารมณ์ออกมาได้เรียบง่ายแต่เป็นไปตามจริงที่ควรจะเป็นจนจบเรื่อง ที่แม้อาจจะเรียบๆ แต่กลับให้ความรู้สึกสร้างฝันได้แรงบันดาลใจไม่น้อยเลย
นี่เป็นหนังที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นในเรื่องบิ้วอารมณ์อะไรนัก แต่ก็มาพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ของอาชีพซอมเมลิเยร์ที่หาดูได้ยาก ดูจบแล้วอิ่มเอมเบาๆ ลงตัว แถมได้ความรู้เรื่องไวน์ไปอีกเป็นลังครับ