รีวิวซีรีส์ V-Wars เปิดโลกแวมไพร์แบบใหม่จากมหันตภัยโลกร้อน!
V-Wars
สรุป
นี่เป็นซีรีส์ที่เซ็ตเรื่องราวใหญ่โตระดับโลก แต่กลับจบมีทุนทำได้แค่ระดับเมือง หนังพยายามเอางบไปถลุงช่วงแรกเล่นเรื่องใหญ่โตจนหมด ก่อนที่จะค่อยๆ ลดระดับลงมาเหลือจนไม่เหลืออะไรให้รู้สึกว่าดีเท่าช่วงแรกเลย หนังป่วยทั้งเหตุผลและตัวละครที่ไม่เมคเซนส์หลายอย่างจนเกินไป แต่ก็ยังพยายามดันทุรังเล่าเรื่องแบบไม่เมคเซนส์นี้ไปให้ดูสมจริงไปเรื่อยๆ จนหมดสนุกในช่วงหลังอย่างน่าเสียดายจริงๆ
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- การไล่ล่าฆาตกรแวมไพร์ช่วงแรกทำได้น่าติดตาม
- เอาประเด็นปัญหาโลกร้อนมาผนวกกับการเกิดแวมไพร์ได้เข้าท่า
- ความโหดสยองเลือดสาดอัดมาเต็มที่มาก
Cons
- เหตุผลตรกะหลายอย่างในเรื่องแย่มาก
- เลยเถิดไปถึงเรื่องการเมืองจนออกทะเล
- ยำโลกกับตัวละครแวมไพร์ในหลายเรื่องมาใช้แบบไม่เข้าท่า
V-Wars สงครามเลือดแวมไพร์ ซีรีส์ Original Netflix เรื่องใหม่ที่เปิดโลกแวมไพร์ในแบบใหม่จากเชื้อโรคโบราณที่มากับภัยโลกร้อน ก่อนจะลุกลามเหมือนโรคระบาดไปทั่วอเมริกา
ตัวอย่างหนัง V-Wars สงครามเลือดแวมไพร์
บอกเลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งซีรีส์หรือหนังจาก Netflix ที่ขึ้นต้นดีแต่จบไม่สวยเหมือนเช่นเคย ก็ไม่รู้ว่าทีมสร้างหนังลง Netflix พวกนี้คิดยังไงกับการผุดโปรเจ็กต์ไอเดียยำเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้าด้วย แล้วก็ทำได้แค่นั้นจบ เหมือนแค่ต้องการเอาโปรเจ็กต์ไปเสนอของบทำแค่นั้นก็พอ ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน
หนังเปิดเรื่องราวมากับเรื่องราวของแวมไพร์ที่พยายามหาทางบิดให้มีที่มาที่ไปใหม่ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ไอเดียเชื้อโรคในยุคน้ำแข็งที่ขั้วโลก หลังนักวิจัยที่นั่นขุดพบซากโบราณ ก่อนจะกลายเป็นการติดเชื้อโรคติดต่อที่ไม่เคยพบมาก่อน คนเริ่มหิวเลือด มีประสาทสัมผัสพิเศษเพิ่ม มีเขี้ยวงอกออกมาจนเหมือนสัตว์ประหลาดที่ถูกนำไปเทียบเคียงกับแวมไพร์ในตำนาน ก่อนจะลามไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสงครามระหว่างเผ่า ที่ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่พวกติดเชื้อก็มีหลายสปีชีส์แยกความแตกต่างออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งหนังก็พยายามอิงตำนานแวมไพร์ที่ต่างๆ อย่างบรามสโตรกเกอร์ที่ยอดฮิตก็ถูกนำมาตีความใหม่ในเรื่องนี้เช่นกันว่าเป็นแวมไพร์อีกพันธ์ที่ปล่อยสารเสพติดผ่านเขี้ยว ทำให้เหยื่อเหมือนติดยาแล้วยอมให้สูบเลือดแต่โดยดี โดยไม่ต้องหิวกระหายขนาดฆ่าแบบเผ่าพันธ์อื่น
ช่วงแรก EP1-4 นับว่าเป็นอะไรที่สนุกจากการที่ผู้ติดเชื้อรายแรกกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทางการไล่ล่าจนเป็นข่าวครึกโครม แม้จะไม่แปลกใหม่ซะทีเดียวนักกับพล็อตแนวๆ แวมไพร์ในโลกจริง แต่หนังก็ทำได้ดีน่าติดตามมาก หลังให้ผู้ติดเชื้อ 2 คนจากขั้วโลก คนหนึ่งกลายเป็นแวมไพร์ ไมเคิล เฟย์น (Michael Fayne) ส่วนอีกคนด็อกเตอร์ ลูเธอร์ สวอน (Dr. Luther Swann)ได้รับเชื้อแต่ไม่กลายพันธ์ไป ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนซี้กันมา 30 ปี เรื่องราวดำเนินไปค่อนข้างจริงจังว่า ถ้าเกิดเพื่อนที่คุณรักกลายมาเป็นแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคนที่เป็นหมอ ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะหาทางเอาเพื่อนรักกลับมารักษาให้ได้ ในขณะที่เขาก็กลายเป็นตัวอันตรายทั้งกับทางการและทุกคนที่พบเจอ คือถึงไม่โดนจับดูดเลือดก็จะมีโอกาสติดเชื้อจากตัวเขา ซึ่งในเรื่องก็ไม่ได้บอกว่าติดเชื้อกันจากไหนยังไง แต่เหมือนกับว่าติดกันได้แม้แต่ทางการหายใจ ซึ่งก็ถูกนำไปเทียบเคียงกับไข้หวัดใหญ่ด้วย
ช่วงแรกเรื่องราวดำเนินไปแบบดูเรียลไทม์ระทึกขวัญมาแนวไล่ล่าฆาตกรแวมไพร์ไปจนจบ ซึ่งก็ดูน่าสนใจดีเพราะหนังมีการอ้างอิงโซเชียลมีเดียแพร่ข่าวลือต่างๆ ที่ทางการพยายามปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ดูเหนือธรรมชาติจนคนตื่นตระหนก ซึ่งคอนเซ็ปต์หนังเรื่องนี้ก็เป็นการพยายามจำลองว่าถ้าโลกนี้จะมีแวมไพร์กลับมาในรูปแบบโรคระบาด อะไรจะเกิดขึ้นบ้างกับสังคมมนุษย์ แต่เหมือนหนังหาทางไปต่อจากช่วงแรกไม่ได้ คือหลัง EP4 ไป หนังกลับลำการไล่ล่าฆาตกรแวมไพร์ไปเป็นคนละม้วน
หนังม้วนใหม่ที่ว่านี้คือกลายเป็นว่ามนุษย์จำนวนมากอยากติดโรคระบาดนี้ซะเอง เพราะกลายเป็นมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ แม้จะต้องแลกมาด้วยการกินเลือดคน และเป็นฆาตกรแบบไมเคิล เฟย์น ก็ตามที พวกนี้ก็รวมกลุ่มกันตามหาไมเคิลเพื่อให้มาเป็นผู้นำศูนย์รวมจิตใจของเหล่าแวมไพร์ ที่เรียกตัวเองใหม่เป็นสายพันธ์ “บลัด” พอมาถึงตรงนี้บอกเลย โลจิคของหนังเริ่มก้าวลงเหว Go to Hell หายนะขึ้นเรื่อยๆ ไม่แพ้เรื่องราวในหนังที่เริ่มออกทะเลกลายเป็นเล่นประเด็นหายนะจากการแบ่งเผ่าพันธ์ ซึ่งหนังจับหลายๆ เรื่องที่เคยมีมายำใหญ่แบ่งเผ่าใหม่ และไม่ใช่แค่แวมไพร์เอง หนังยังแบ่งกลุ่มคนเป็นนักล่าแวมไพร์ พวกคนหัวรุนแรง ฝ่ายการเมือง สว. ฝ่ายทหาร ลามไปจนถึงเรื่องการเมืองประธานาธิบดีใหม่ของโลกเลย
ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะไอเดียช่วงแรกเริ่มตันหรือยังไง หนังถึงหักลำให้กลายเป็นแนวที่ยิ่งดูยิ่งไม่สนุก อืดๆ มีแต่บทพูดคุย แตกต่างจากตอนแรกที่เดินเรื่องด้วยแอ็กชั่นไล่ล่าแอบมีพลังพิเศษผสมนิดๆ ซึ่งแนวทางแบบนั้นทำให้หนังดูเรียลกว่าการมาเปิดประเด็นใหม่เป็นเรื่องสังคมการเมืองแบบนี้ที่โลจิควิธีคิดมันไม่เมคเซนส์หลายๆ อย่างมาก และก็เป็นกันทุกฝ่ายในเรื่องด้วย ยกตัวอย่าง “การออกกฎหมายเอื้อให้แวมไพร์มีรัฐธรรมนูญคุ้มครอง” ที่แต่ละข้อพยายามให้ดูเป็นจริงได้มากๆ แต่ด้วยความที่พื้นฐานเรื่องราวเหตุผลในการแบ่งเผ่าพันธ์มันแย่แล้ว ก็เลยกลายเป็นทำให้เรื่องพวกนี้ดูตลกมากกว่าจะเชื่อว่าเรื่องจริงจะเป็นไปในทางนี้ คือหนังพยายามคิดเตลิดไปไกลกว่าความเป็นจริงที่เป็นไปได้มากๆ อาจจะเพราะพอมาเป็นซีรีส์ด้วยเลยต้องพยายามสเกลหนังให้มีประเด็นต่อไปยังซีซั่นต่อไป ทำให้หนังเลือกที่จะขยายขอบเขตปัญหาแวมไพร์ไปซะทุกเรื่องไปหมด จนกลายเป็นจับต้องดีๆ ไม่ได้สักเรื่อง สุดท้ายก็เละตุ้มเป๊ะ
ปกติเราจะได้เห็นเรื่องราวในตอนท้ายๆ ของซีรีส์สนุกแบบน่าติดตามมากๆ หรือมีฉากเรื่องราวใหญ่โตเหมือนหนัง อันนี้คือปกติของหนังซีรีส์ แต่กลับเรื่องนี้ขึ้นต้นยิ่งใหญ่ มีโลเกชั่นไปไกลถึงขั้วโลก เรื่องราวเปิดฉากใหญ่โตน่าติดตาม แต่พอตอนจบกลับแทบไม่มีเป็นอย่างที่เห็นในตอนแรกเลย หนังจบลงแบบเรียบๆ แค่มีทิ้งปมใหม่ แต่ก็ไม่อะไรที่เรียกว่าน่าจดจำเป็นซีนประทับใจได้เลย ถ้าเทียบให้เห็นภาพเป็นตัวเลขคะแนนคือเปิดมา 4 ตอนแรกให้เกือบเต็ม 10 แต่พอตอนจบนี่เหลือไม่ถึง 5 คะแนน หนังป่วยในการเล่าเรื่องราวผลักดันให้สนุกไปตลอดรอดฝั่งอย่างชัดเจนจนน่าเสียดายจริงๆ
นี่เป็นซีรีส์ที่เซ็ตเรื่องราวใหญ่โตระดับโลก แต่กลับจบมีทุนทำได้แค่ระดับเมือง หนังพยายามเอางบไปถลุงช่วงแรกเล่นเรื่องใหญ่โตจนหมด ก่อนที่จะค่อยๆ ลดระดับลงมาเหลือจนไม่เหลืออะไรให้รู้สึกว่าดีเท่าช่วงแรกเลย หนังป่วยทั้งเหตุผลและตัวละครที่ไม่เมคเซนส์หลายอย่างจนเกินไป แต่ก็ยังพยายามดันทุรังเล่าเรื่องแบบไม่เมคเซนส์นี้ไปให้ดูสมจริงไปเรื่อยๆ จนหมดสนุกในช่วงหลังอย่างน่าเสียดายจริงๆ ครับ