playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว A Classic Horror Story หนังไล่เชือดยุคใหม่จากอิตาลีที่รวมสไตล์อเมริกันมาปั่นเป็นของตัวเอง (ไม่มีสปอยล์)

สรุป

หนังสยองขวัญจากอิตาลีที่ตั้งใจรวมความสยองคลาสสิคของหนังอเมริกันมาไว้ในตัวเอง (ยุคใหม่ก็มีด้วย) แต่ก็มีอะไรแปลกใหม่ชวนว้าวมาให้คนดูได้อึ้งกับไอเดียของผู้สร้างจากอิตาลีนี้ได้เช่นกัน

ปล.คนดูเรื่องนี้สนุกต้องมีพื้นฐานภูมิความรู้ความจำพวกหนังสยองขวัญมาหลายๆ เรื่องมาก่อนถึงจะเก็ทหลายฉากในเรื่องที่ตั้งใจหยิบมาดัดแปลงตรงๆ ให้คนจำได้เป็นกิมมิคสำคัญของเรื่อง

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (3 votes)

Pros

  • มีความเหมือนหนังสยองขวัญหลายเรื่องราวกัน แต่ก็มีอะไรเป็นของตัวเองมากพอด้วย
  • ได้บรรยากาศแบบหนังไล่เชือดอเมริกัน แถมยังทำได้ถึงด้วย
  • จุดเฉลยมี 3 ก็อก ค่อยๆ คลายจนถึงช่วงเอนด์เครดิต
  • ความโหดแบบไม่แหวะ แต่ลุ้นเสียวสยองมากกว่า
  • การถ่ายทำภาพสวยกว่าหนังแนวนี้โดยทั่วไป
  • ขายความเป็นอิตาลีในแบบที่เสียดสีกันเจ็บๆ
  • เสียดสีสังคมที่ชื่นชอบความรุนแรงในปัจจุบัน

 

Cons

  • ใครชอบแหวะๆ เรื่องนี้ไม่ได้แหวะมาก ฉากตายโหดมักโดนตัดฉากก่อน
  • ขาดฉากไล่ล่า มีแต่ฉากฆ่าเป็นหลัก
  • ยังมีตัวละครทำอะไรโง่ๆ อยู่บ้างตามสูตร
  • ฉากจบของเรื่องราวออกแนวปลายเปิดไม่เคลียร์ให้หมด (อาจจะเผื่อไว้ภาคต่อก็ได้)

ADBRO

A Classic Horror Story หนัง Netflix แนวสยองขวัญจากอิตาลี ที่หยิบไอเดียกลิ่นอายคลาสสิคในหนังสยองขวัญอเมริกันมาปั่นรวมกันจนเป็นแนวทางของตัวเอง

 A Classic Horror Story (2021) on IMDb

ตัวอย่าง A Classic Horror Story

ขึ้นชื่อว่าหนังสยองขวัญแนวสแลชเชอร์ (slasher film) หรือเรียกแบบไทยๆ ก็แนวไล่เชือด เชื่อว่าทุกคนต้องนึกถึงพวกหนังคลาสสิคในตำนานจากอเมริกากันทั้งนั้น อย่าง เจสัน สิงหาสับ (Leatherface) Wrong Turn ถ้ายุคหลังหน่อยก็ scream, The purge หนังพวกนี้มีจุดร่วมกันอย่างหนึ่งที่คนดูอาจจะไม่ทันคิด นั่นคือหนังดังพวกนี้มาจากอเมริกาทั้งหมด ไม่มีชาติอื่นทำแนวนี้แล้วดังจนกลายมาเป็นมาสคอตไอเดียให้หนังหลายๆ เรื่องเอามาล้อหรือหยิบยืมมาใช้ได้เลย อย่างชุดหน้ากากสครีม หน้ากากเจสัน เป็นต้น ซึ่งก็มีหนังหลายเรื่องเหลือเกินที่พยายามไล่ทำตามแนวทางพวกนี้เพื่อแจ้งเกิดเป็นรุ่นใหม่ให้ได้ แต่ก็แทบไม่เคยมีโผล่ออกมาเลยในระยะหลังๆ แม้แต่หนังเน็ตฟลิกซ์เองอย่างเฟียร์สตรีทที่บอกตัวเองว่าเป็นงานหนังสยองขวัญที่คาราวะต้นตำหรับเหล่านั้น แต่พอดูจริงๆ กลับกลายเป็นก็อปปี้ไอเดียเขามาทั้งนั้นจนแทบไม่มีอะไรใหม่เป็นของตัวเอง แต่สำหรับ A Classic Horror Story หนังจากอิตาลีเรื่องนี้กลับทำออกมาคาราวะหนังคลาสสิคอเมริกาเหล่านั้นได้จริงๆ มากกว่า แถมยังมีไอเดียสดใหม่เป็นของตัวเองในแบบที่ดูจบยังไงต้องก็แอบว้าวกันบ้างล่ะน่า

ต้องเตือนกันก่อนว่ารีวิวนี้พยายามจะไม่สปอยล์อะไรเลยสักอย่าง จนอาจจะอ่านแล้วงงๆ อยู่บ้าง เพราะเอาจริงๆ แล้วการดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกคือต้องหัวว่าง นึกว่าตัวเองกำลังนั่งดูหนังไล่เชือดเกรด B ทั่วไปเรื่องหนึ่งเท่านั้นเองดีกว่า เรียกว่าผู้เขียนแนะนำให้ปิดรีวิวนี้แล้วไปดูเลยจริงๆ จะดีที่สุด แต่ถ้าใครยังอยากอ่านต่อก็ตามใจเลยครับ แม้จะไม่สปอยล์อะไรก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าคงลดความสนุกของหนังลงแน่ๆ เมื่อผู้อ่านพยายามจับจ้องเดาทางหนังเรื่องนี้มากเกินไปครับ

พล็อตเรื่องก็ยังคงง่ายๆ แบบหนังแนวนี้ เมื่อกลุ่มคนหนึ่งเดินทางผ่านรถแชร์ริ่งร่วมกันไปยังเส้นทางผ่านป่าอิตาลี แต่กลับเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางจนสลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็เจอกับฆาตกรที่ไล่ล่าตัวพวกเขามาเชือดในบ้านร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องบอกว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรที่พล็อตจะโหลสุดๆ เพราะหนังแนวนี้กลุ่มที่มักจะต้องการฉากเชือดโหดๆ ฉากไล่ล่าสุดระทึก การเอาคืนแบบเจ็บแสบของผู้รอดชีวิต หรืออาจจะไม่มีใครรอดเลยก็ได้เป็นการไล่ฆ่าของตัวร้ายในเรื่องเพียงอย่างเดียว แต่ในความโหลของเรื่องนี้นั้นเป็นไปแบบตั้งใจตามชื่อเรื่อง เรียกว่าเป็นการรวมองค์ประกอบของหนังสยองขวัญคลาสสิกหลายอย่างมาไว้ด้วยกัน อย่างฆาตกรใส่หน้ากาก บ้านไม้ร้างสกปรก หัวสัตว์สตาฟฟ์ เครื่องมือฆ่าแบบพิเศษ ตำนานโยงเรื่องเล่าที่มาที่ไปของตัวร้าย สาวสวยผมทอง พร้อมทั้งรวมเอาแนวสยองขวัญชื่อดังใหม่ๆ มาไว้ด้วยกันด้วย อย่าง Midsommar ที่เป็นสยองขวัญสไตล์ภาพศิลป์ผ่านพิธีกรรมโบราณ แต่ก็ไม่ใช่การก็อปมาตรงๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่องค์ประกอบกับกลิ่นอาย โดยมีจุดเด่นเป็นแสงสีแดงสาดส่องย้อมฉากจนแดงโพลนไปหมด กับเสียงหวูดดังก่อนตัวร้ายจะออกมาทุกคืน ช่วยให้บรรยากาศของเรื่องดูเป็นหนังสยองขวัญคลาสสิคตามชื่อเรื่องเป๊ะๆ และมันก็ยังได้ผลดีในการทำให้คนดูอึดอัดพร้อมกับสงสัยไปในตัวว่า ทำไมต้องมีแสงสีแดง ทำไมต้องมีเสียงหวูดสัญญาณเตือนภัยดังลั่นพร้อมกัน ซึ่งโดยปกติหนังแนวๆ นี้มักไม่ค่อยมีคำตอบอะไรให้ แต่เรื่องนี้คือมี และเป็นคำตอบที่เป็นเหตุผลให้เข้าใจได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจด้วย

ตัวเรื่องมีความลึกลับเหนือธรรมชาติโผล่มาให้คนดูสงสัยกันตั้งแต่แรก ในแบบ in the tall grass (พงหลอนมรณะ)  นิดๆ ด้วย เมื่อกลุ่มตัวละครในเรื่องติดอยู่ในป่าลึกลับที่หาทางออกไม่ได้ เดินไปไหนก็วนกลับมาที่บ้านไม้นี่ตลอด บวกกับตำนานเรื่องเล่าของตัวร้ายสามตัวในเรื่อง ที่ใส่หน้ากากไม้ มีค้อนขนาดใหญ่เป็นอาวุธ และฆ่าโดยการควักลูกตา ตัดหู ตัดลิ้น ตามอวัยวะที่พวกมันขาดไป และไม่ใช่คนจากในโลกปกติ ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างพวกนี้ชวนให้เรื่องนี้ดูมีปริศนามากกว่าหนังไล่ฆ่ากันทั่วไปตั้งแต่แรก และมันก็ทำหน้าที่ดึงให้คนสนใจใคร่รู้ว่าจะเฉลยออกมาแบบไหนยังไง แม้คนดูแนวนี้อาจจะไม่คาดหวังอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่ก็ตาม

ฉากโหดของเรื่องก็ยังมีเป็นจุดขายตรงๆ ของแนวนี้ที่ขาดไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าให้คะแนนดีกรีความโหดก็ต้องบอกว่ายังไม่เต็ม 10 หรอก คงได้สัก 7-8 พอ เพราะฉากโหดในเรื่องมักมาแนวหวาดเสียวแบบของแหลมจ่อลูกตา ฉากมีดจะตัดลิ้น ซึ่งอะไรพวกนี้ถูกบิ้วสุดๆ แต่กลับตัดฉากหรือบังมุมกล้องไปไม่ให้เห็น จนกลายเป็นศพไปแล้ว ซึ่งอาจจะมองได้อีกอย่างคือตัวเรื่องไม่ได้ต้องการขายความแหวะกันตรงๆ แต่ใช้การบิ้วให้คนจินตนาการต่อกันเองจะได้ผลกว่า แต่ก็ไม่ใช่ไม่โหด เพราะพวกฉากทุบด้วยค้อน ปาดคอ ยิงจ่อๆ อะไรพวกนี้ก็ยังคงมีอยู่ พร้อมเลือดสาดถือว่าเยอะแล้วล่ะ เรียกว่าตอบสนองคอหนังโหดได้แน่นอน แต่แค่ไม่แหวะเท่านั้นเอง

อีกอย่างที่ขาดหายไปคือฉากไล่ล่า ในเรื่องมีแต่ฉากฆ่าเป็นหลัก เรียกว่าตัวฆาตกรโผล่มาก็จับคนมาฆ่าได้เรื่อยๆ ทันที ก็เลยทำให้ตัวเรื่องดูขาดตกบกพร่องสิ่งที่ควรมีไป แต่ฉากแก้แค้นเอาคืนยังมีอยู่ และก็ทำได้ดีสะใจคนดูได้แน่นอนครับ

และที่ขาดไม่ได้คือความโง่ของตัวละครในหนังแนวนี้ที่ชอบหาเรื่องให้ไปโดนฆ่า แบบเดินออกไปฉี่คนเดียวอะไรแบบนี้ การทำอะไรแบบไม่สมเหตุผลแปลกๆ ในเรื่องนี้ก็ยังมีอยู่ ซึ่งเอาจริงๆ ผู้ชมหนังแนวนี้คงชินกับเรื่องอะไรแบบนี้ไปแล้ว แบบว่าของมันต้องมี ถ้าฉลาดกันหมดเรื่องคงเดินต่อไปลำบาก แต่ยังดีที่เรื่องเหล่านี้พอหนังเฉลยเราจะเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น ในความโง่ของเรื่องนี้ก็ไม่ใช่โง่ตามสูตรสักทีเดียวนักครับ มันมีเหตุผลมาประกอบในภายหลังด้วย

ตัวหนังมีจุดเฉลยเรื่องราวอยู่ประมาณ 3 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกที่เห็นคนดูอาจจะว้าวนิดๆ แต่ก็ยังถือว่าเดาได้แหละ แต่พอมีการเฉลยต่อมาอีก เหมือนเรื่องมันงอกออกเส้นทางเดินเรื่องใหม่ขึ้นมาเลย ตรงจุดนี้คนดูคงเริ่มเกาหัวแล้วว่ามันคืออะไร ใช่แนวแบบ Midsommar รึเปล่า? (สำหรับคนที่เคยดูเรื่องนี้มาก่อนคงนึกถึงทันทีที่เห็นฉากโต๊ะอาหารยาวๆ นั่น) แต่เรื่องก็ไม่ได้ชวนงงอะไร เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้ซับซ้อน แต่ความที่เรื่องเลือกเฉลยโดยโยงกับความเป็นอิตาลีตรงๆ ที่คนทั่วไปนึกถึงได้ ก็ถือว่าผู้สร้างเข้าใจปรุโปร่งว่าการลอกสูตรหนังสยองขวัญอเมริกันมามันง่ายๆ แต่ถ้าทำให้ดีต้องผนวกแนวทางใหม่ๆ ของตัวเองไปด้วย ซึ่งผู้เขียนถือว่าว้าวพอควรเลย แถมด้วยการเฉลยครั้งที่ 3 ตรงเอนด์เครดิต เรียกว่าทั้งขำทั้งอึ้งนิดๆ ที่ผู้สร้างขายไอเดียนี้ลง Netflix แบบจิกกัดไปในตัว เอาจริงๆ ถือว่าผู้เขียนซื้อไอเดียนี้เลยดีกว่าว่าผ่าน

นี่เป็นหนังเกรด B ที่ขายไอเดียแหวกแนวทางหนังสยองขวัญได้สดใหม่แตกต่างพอตัวเลย แม้หลายๆ อย่างอาจจะไม่สุดไปบ้าง แต่รวมๆ แล้วก็ไม่ใช่ง่ายๆ ที่จะทำอะไรใหม่ออกมาในแนวนี้ แฟนๆ แนวนี้ปกติก็ไม่พลาดเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้คือยิ่งไม่ควรพลาดมากขึ้นไปอีกครับ แต่ขอให้ดูให้จบ คงต้องมีว้าวกับไอเดียของเรื่องนี้กันบ้างแน่นอนครับ ส่วนจะมีภาคต่อหรือไม่ ตัวเรื่องเปิดโอกาสให้ทำได้ แต่ก็ต้องดูไอเดียว่าสดใหม่กว่านี้ได้หรือเปล่ากับเน็ตฟลิกซ์ถูกใจยอดผู้ชมแค่ไหนครับ

สปอยล์ความลับของเรื่อง

สำหรับคนที่อยากรู้จริงๆ ว่าเรื่องนี้เป็นยังไงกันแน่ ก็กดอ่านสปอยล์ด้านล่างไปเลย แต่ก็ต้องเตือนกันอีกครั้งว่า อ่านแล้วหมดสนุกไปในทันทีแน่นอนครับ

ตัวเรื่องจริงๆ คือแนวสนัฟฟ์ฟิล์ม (Snuff film) ตัวร้ายในเรื่องทำสนัฟฟ์ฟิล์มขายผ่าน บลัดฟลิกซ์ สตรีมมิ่งล้อเลียนเน็ตฟลิกซ์ที่เป็นแนวรวมหนังโหดสนัฟฟ์ฟิล์ม โดยตัวร้ายเข้ามาเล่นเองในเรื่องกำกับไปพร้อมกัน โดยมีอ้างอิงว่านายทุนคือมาเฟียอิตาลีที่ยุคสมัยเปลี่ยนหันมาทำหนังขาย เพราะความรุนแรงขายได้ดีกว่าโคเคนซะอีก ซึ่งทำให้เรื่องราวต่างๆ ในเรื่องดูเหมือนหนังสยองขวัญต่างๆ หลายเรื่องมารวมกัน เพราะเป็นการเซ็ทฉากไว้แบบตั้งใจ
ปล.ชื่อไทยเรื่องนี้ สร้างหนังสั่งตาย ก็สปอยล์คนดูไปเยอะแล้วเช่นกัน

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!