playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Abigail อบิเกล โหดเลือดสาดกระจาย แต่บทลึกลงไปไม่ใช่แค่หนังไล่ฆ่ากันเพียงอย่างเดียว

Abigail

Summary

หนังโหดชิ้นส่วนอวัยวะกระจายเลือดสาดท่วมจอได้สมกับเครดิตผู้สร้าง Ready or Not กับ Scream นักแสดงเด็กสาวแวมไพร์เล่นได้อย่างน่าสะพรึงกลัวมาก และบทก็ไม่ได้ทำให้เหยื่อเป็นตัวละครโง่ๆ แต่สู้กลับได้อย่างสนุก ตัวเรื่องก็ไม่ใช่แค่การไล่ฆ่าเหยื่อไปเรื่อยๆ แต่มีบทที่ลึกลงไปกว่านั้น ซึ่งใช้เวลาปูเรื่องช่วงแรกก่อนอบิเกลออกค่อนข้างนาน แล้วก็หักมุมในช่วงหลังเป็นอีกทางที่เมามันส์กว่า แต่ว่าตอนจบอาจจะดูโลกสวยกับพาร์ทดราม่าเล็กๆ สักหน่อยเท่านั้นครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • พล็อตลักพาตัวแวมไพร์ที่แปลกแตกต่าง
  • หนังโหดเลือดสาดมาก
  • บทลึกกว่าหนังไล่ฆ่าทั่วไป
  • นักแสดงเด็กเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมาก
  • รวมทีมผู้กำกับ เขียนบท Ready or Not กับ Scream

 

Cons

  • ช่วงแรกปูเรื่องค่อนข้างนานก่อนแวมไพร์จะออกมา
  • ตอนจบดูโลกสวยง่ายๆ ผิดคาด

 

Abigail อบิเกล กลุ่มอาชญากรรับจ้างลักพาตัว “อบิเกล” สาวน้อยนักบัลเล่ต์ อายุ 12 ปีโดยที่ไม่รู้ว่าเธอคือแวมไพร์!

 

ADBRO

รีวิว Abigail อบิเกล (ไม่สปอยล์)

หนังจากผู้กำกับ กับ ซึ่งทำ Ready or Not กับ Scream ภาคใหม่ ซึ่งทั้งคู่ถอนตัวจากโปรเจ็กต์ภาคต่อข Scream VII ไปด้วยเหตุผลที่นางเอก Melissa Barrera โดนไล่ออกหลังจากที่เธอโพสต์สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเธอก็ย้ายมาเล่นเรื่องนี้เป็นนางเอกด้วยเช่นกัน แถมยังมีผู้เขียนบท Guy Busick ซึ่งเป็นทีมงานคู่บุญด้านนี้ของผู้กำกับทั้งคู่ด้วย นี่จึงเป็นการรวมดรีมทีมงานหนังสยองขวัญที่การันตีคุณภาพความมันส์ได้ตั้งแต่แรกแน่นอน 

พล็อตหนังอาจจะไม่สดใหม่เพราะเคยมีแนวนี้มาก่อนแล้วอย่าง From A House on Willow Street ชื่อไทย จับปีศาจมาเรียกค่าไถ่ หนังปี 2017 ที่เหยื่อกลายเป็นปีศาจไล่ฆ่าแก๊งลักพาตัวมาซะเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็เปลี่ยนจากปีศาจมาเป็นแวมไพร์ แต่ความสดใหม่ของเรื่องนี้ที่แตกต่างคือบทภาพยนตร์ที่วางไว้ลึกกว่าการเป็นหนังปีศาจไล่ฆ่าคน โดยในชั่วโมงแรกหนังไม่ได้รีบขายเรื่องเด็กแวมไพร์  แต่หันไปเล่าถึงปมเบื้องหลังของตัวละครกับความสัมพันธ์ในการรวมทีมลักพาตัวเรียกค่าไถ่ที่ถูกจ้างมารวมตัวกันเฉพาะกิจ ซึ่งมีความคลุมเคลือตั้งแต่แรกจนทำให้ไม่ไว้ใจกันเอง โดยมีอบิเกลในร่างเด็กน้อยคอยพูดปั่นหัวแก๊งนี้เพิ่มไปอีก หนังทำให้ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยอารมณ์อึมครึมว่าคนในกลุ่มจะทรยศหักหลังกันเอง ซึ่งแม้ผู้ชมจะรู้ว่าไม่ใช่จากพล็อตเด็กเป็นแวมไพร์ที่ผู้สร้างตั้งใจเฉลยมาในตัวอย่าง แต่ก็สร้างให้เรื่องดำเนินไปแบบมีปมทิ้งไว้ต่อยอดขยายพล็อตเรื่องให้ใหญ่โตขึ้น ซึ่งผู้ชมก็จะรู้สึกว่าหนังเล่าเรื่องค่อนข้างช้าและไม่ยอมเข้าสู่ฉากแวมไพร์ไวๆ แบบที่หวังไว้ ซึ่งใช้เวลาเกือบชั่วโมงหนังถึงเริ่มเปิดตัวแวมไพร์เด็กนี้ออกมา 

หนังทำฉากไล่ฆ่าของแวมไพร์เด็กโดยขายฉากเล่นสนุกกับเหยื่อ ผ่านการใช้จิตวิทยาคำพูดปั่นหัวไปไล่ฆ่าไปซึ่งนักแสดงเด็กอย่าง Alisha Weir เล่นได้อย่างสุดยอดมาก ทั้งความน่ากลัวผ่านท่าทางการเต้นบัลเล่ต์และคำพูดแบบผู้ใหญ่ในร่างเด็กที่หลอกล่อเล่นสนุกกับเหยื่อเพราะตัวเองคือผู้กำหนดเกมนี้ขึ้นมาเอง ส่วนกลุ่มตัวเอกก็ไม่ใช่แค่ตัวละครวิ่งหนีโง่ๆ (แม้จะมีตัวละครที่วางไว้ให้โง่ แต่ก็มีประโยชน์กับเหตุการณ์) แต่หนังให้ทุกคนด้นสดตามสูตรหนังแวมไพร์ว่าอะไรที่ใช้กำจัดได้ ซึ่งก็คือไอเดียพื้นๆ ที่เราเห็นกันมาตลอดอย่าง ไม้แหลมตอกหัวใจ กางเขน กระเทียม ส่วนแสงอาทิตย์ใช้ไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงกลางคืน แถมบ้านนี้ก็มีกลไกปิดล็อกบ้านกันแสงไว้แทบทั้งหมด ซึ่งหนังก็ให้กลุ่มตัวเอกสู้กลับด้วยวิธีการต่างๆ ก่อนจะโดนย้อนศรเอาคืนทั้งหมด แล้วก็ปล่อยให้ผู้ชมลุ้นตามว่ากลุ่มตัวเอกจะคิดหาวิธีสู้ใหม่ๆ ได้ยังไงในสถานะเหยื่อที่ตกเป็นรองสุดๆ แบบนี้ โดยมีนางเอกโจอี้ Melissa Barrera ที่เป็นคนฉลาดสุด แต่ก็มีปมปัญหาส่วนตัวที่ส่งผลกระทบทำให้คนในกลุ่มไม่เชื่อใจด้วยเช่นกัน ซึ่งหนังสร้างบทที่ขายตัวละครแต่ละตัวได้ดี ไม่ได้ให้ใครตายไว ยกเว้น 2 คนแรกที่เปิดเรื่องตายไปแบบง่ายๆ เท่านั้น

ช่วงท้ายหนังนำปมต่างๆ ที่ทิ้งไว้ตอนแรกมาเล่นแบบหักมุมเรื่องราวทั้งหมดไปอีกทาง เป็นการต่อยอดให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แนวแวมไพร์ไล่ฆ่าเหยื่อเพียงอย่างเดียว กลายเป็นการหักหลังทรยศซ้อนๆ กันของตัวละครที่เหลือรอด โดยเรื่องค่อนข้างเมามันส์เลือดสาดกับช่วงนี้มากกว่าช่วงที่กลางเรื่องเสียอีก มีฉากจบที่ใช้ดราม่าความสัมพันธ์จากช่วงแรกมาใส่เป็นเหตุผลรองรับไว้ เพียงแต่มันดูโลกสวยไปหน่อยเมื่อเทียบกับอารมณ์เลือดสาดที่นำเสนอมาตลอดเรื่องครับ

 

สรุป หนังโหดชิ้นส่วนอวัยวะกระจายเลือดสาดท่วมจอได้สมกับเครดิตผู้สร้าง Ready or Not กับ Scream นักแสดงเด็กสาวแวมไพร์เล่นได้อย่างน่าสะพรึงกลัวมาก และบทก็ไม่ได้ทำให้เหยื่อเป็นตัวละครโง่ๆ แต่สู้กลับได้อย่างสนุก ตัวเรื่องก็ไม่ใช่แค่การไล่ฆ่าเหยื่อไปเรื่อยๆ แต่มีบทที่ลึกลงไปกว่านั้น ซึ่งใช้เวลาปูเรื่องช่วงแรกก่อนอบิเกลออกค่อนข้างนาน แล้วก็หักมุมในช่วงหลังเป็นอีกทางที่เมามันส์กว่า แต่ว่าตอนจบอาจจะดูโลกสวยกับพาร์ทดราม่าเล็กๆ สักหน่อยเท่านั้นครับ

อ่านรีวิวหนังโรงเรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!