รีวิว Abigail อบิเกล โหดเลือดสาดกระจาย แต่บทลึกลงไปไม่ใช่แค่หนังไล่ฆ่ากันเพียงอย่างเดียว
Abigail
Summary
หนังโหดชิ้นส่วนอวัยวะกระจายเลือดสาดท่วมจอได้สมกับเครดิตผู้สร้าง Ready or Not กับ Scream นักแสดงเด็กสาวแวมไพร์เล่นได้อย่างน่าสะพรึงกลัวมาก และบทก็ไม่ได้ทำให้เหยื่อเป็นตัวละครโง่ๆ แต่สู้กลับได้อย่างสนุก ตัวเรื่องก็ไม่ใช่แค่การไล่ฆ่าเหยื่อไปเรื่อยๆ แต่มีบทที่ลึกลงไปกว่านั้น ซึ่งใช้เวลาปูเรื่องช่วงแรกก่อนอบิเกลออกค่อนข้างนาน แล้วก็หักมุมในช่วงหลังเป็นอีกทางที่เมามันส์กว่า แต่ว่าตอนจบอาจจะดูโลกสวยกับพาร์ทดราม่าเล็กๆ สักหน่อยเท่านั้นครับ
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตลักพาตัวแวมไพร์ที่แปลกแตกต่าง
- หนังโหดเลือดสาดมาก
- บทลึกกว่าหนังไล่ฆ่าทั่วไป
- นักแสดงเด็กเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมาก
- รวมทีมผู้กำกับ เขียนบท Ready or Not กับ Scream
Cons
- ช่วงแรกปูเรื่องค่อนข้างนานก่อนแวมไพร์จะออกมา
- ตอนจบดูโลกสวยง่ายๆ ผิดคาด
Abigail อบิเกล กลุ่มอาชญากรรับจ้างลักพาตัว “อบิเกล” สาวน้อยนักบัลเล่ต์ อายุ 12 ปีโดยที่ไม่รู้ว่าเธอคือแวมไพร์!
รีวิว Abigail อบิเกล (ไม่สปอยล์)
หนังจากผู้กำกับ Matt Bettinelli-Olpin กับ Tyler Gillett ซึ่งทำ Ready or Not กับ Scream ภาคใหม่ ซึ่งทั้งคู่ถอนตัวจากโปรเจ็กต์ภาคต่อข Scream VII ไปด้วยเหตุผลที่นางเอก Melissa Barrera โดนไล่ออกหลังจากที่เธอโพสต์สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเธอก็ย้ายมาเล่นเรื่องนี้เป็นนางเอกด้วยเช่นกัน แถมยังมีผู้เขียนบท Guy Busick ซึ่งเป็นทีมงานคู่บุญด้านนี้ของผู้กำกับทั้งคู่ด้วย นี่จึงเป็นการรวมดรีมทีมงานหนังสยองขวัญที่การันตีคุณภาพความมันส์ได้ตั้งแต่แรกแน่นอน
พล็อตหนังอาจจะไม่สดใหม่เพราะเคยมีแนวนี้มาก่อนแล้วอย่าง From A House on Willow Street ชื่อไทย จับปีศาจมาเรียกค่าไถ่ หนังปี 2017 ที่เหยื่อกลายเป็นปีศาจไล่ฆ่าแก๊งลักพาตัวมาซะเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็เปลี่ยนจากปีศาจมาเป็นแวมไพร์ แต่ความสดใหม่ของเรื่องนี้ที่แตกต่างคือบทภาพยนตร์ที่วางไว้ลึกกว่าการเป็นหนังปีศาจไล่ฆ่าคน โดยในชั่วโมงแรกหนังไม่ได้รีบขายเรื่องเด็กแวมไพร์ แต่หันไปเล่าถึงปมเบื้องหลังของตัวละครกับความสัมพันธ์ในการรวมทีมลักพาตัวเรียกค่าไถ่ที่ถูกจ้างมารวมตัวกันเฉพาะกิจ ซึ่งมีความคลุมเคลือตั้งแต่แรกจนทำให้ไม่ไว้ใจกันเอง โดยมีอบิเกลในร่างเด็กน้อยคอยพูดปั่นหัวแก๊งนี้เพิ่มไปอีก หนังทำให้ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยอารมณ์อึมครึมว่าคนในกลุ่มจะทรยศหักหลังกันเอง ซึ่งแม้ผู้ชมจะรู้ว่าไม่ใช่จากพล็อตเด็กเป็นแวมไพร์ที่ผู้สร้างตั้งใจเฉลยมาในตัวอย่าง แต่ก็สร้างให้เรื่องดำเนินไปแบบมีปมทิ้งไว้ต่อยอดขยายพล็อตเรื่องให้ใหญ่โตขึ้น ซึ่งผู้ชมก็จะรู้สึกว่าหนังเล่าเรื่องค่อนข้างช้าและไม่ยอมเข้าสู่ฉากแวมไพร์ไวๆ แบบที่หวังไว้ ซึ่งใช้เวลาเกือบชั่วโมงหนังถึงเริ่มเปิดตัวแวมไพร์เด็กนี้ออกมา
หนังทำฉากไล่ฆ่าของแวมไพร์เด็กโดยขายฉากเล่นสนุกกับเหยื่อ ผ่านการใช้จิตวิทยาคำพูดปั่นหัวไปไล่ฆ่าไปซึ่งนักแสดงเด็กอย่าง Alisha Weir เล่นได้อย่างสุดยอดมาก ทั้งความน่ากลัวผ่านท่าทางการเต้นบัลเล่ต์และคำพูดแบบผู้ใหญ่ในร่างเด็กที่หลอกล่อเล่นสนุกกับเหยื่อเพราะตัวเองคือผู้กำหนดเกมนี้ขึ้นมาเอง ส่วนกลุ่มตัวเอกก็ไม่ใช่แค่ตัวละครวิ่งหนีโง่ๆ (แม้จะมีตัวละครที่วางไว้ให้โง่ แต่ก็มีประโยชน์กับเหตุการณ์) แต่หนังให้ทุกคนด้นสดตามสูตรหนังแวมไพร์ว่าอะไรที่ใช้กำจัดได้ ซึ่งก็คือไอเดียพื้นๆ ที่เราเห็นกันมาตลอดอย่าง ไม้แหลมตอกหัวใจ กางเขน กระเทียม ส่วนแสงอาทิตย์ใช้ไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงกลางคืน แถมบ้านนี้ก็มีกลไกปิดล็อกบ้านกันแสงไว้แทบทั้งหมด ซึ่งหนังก็ให้กลุ่มตัวเอกสู้กลับด้วยวิธีการต่างๆ ก่อนจะโดนย้อนศรเอาคืนทั้งหมด แล้วก็ปล่อยให้ผู้ชมลุ้นตามว่ากลุ่มตัวเอกจะคิดหาวิธีสู้ใหม่ๆ ได้ยังไงในสถานะเหยื่อที่ตกเป็นรองสุดๆ แบบนี้ โดยมีนางเอกโจอี้ Melissa Barrera ที่เป็นคนฉลาดสุด แต่ก็มีปมปัญหาส่วนตัวที่ส่งผลกระทบทำให้คนในกลุ่มไม่เชื่อใจด้วยเช่นกัน ซึ่งหนังสร้างบทที่ขายตัวละครแต่ละตัวได้ดี ไม่ได้ให้ใครตายไว ยกเว้น 2 คนแรกที่เปิดเรื่องตายไปแบบง่ายๆ เท่านั้น
ช่วงท้ายหนังนำปมต่างๆ ที่ทิ้งไว้ตอนแรกมาเล่นแบบหักมุมเรื่องราวทั้งหมดไปอีกทาง เป็นการต่อยอดให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แนวแวมไพร์ไล่ฆ่าเหยื่อเพียงอย่างเดียว กลายเป็นการหักหลังทรยศซ้อนๆ กันของตัวละครที่เหลือรอด โดยเรื่องค่อนข้างเมามันส์เลือดสาดกับช่วงนี้มากกว่าช่วงที่กลางเรื่องเสียอีก มีฉากจบที่ใช้ดราม่าความสัมพันธ์จากช่วงแรกมาใส่เป็นเหตุผลรองรับไว้ เพียงแต่มันดูโลกสวยไปหน่อยเมื่อเทียบกับอารมณ์เลือดสาดที่นำเสนอมาตลอดเรื่องครับ
สรุป หนังโหดชิ้นส่วนอวัยวะกระจายเลือดสาดท่วมจอได้สมกับเครดิตผู้สร้าง Ready or Not กับ Scream นักแสดงเด็กสาวแวมไพร์เล่นได้อย่างน่าสะพรึงกลัวมาก และบทก็ไม่ได้ทำให้เหยื่อเป็นตัวละครโง่ๆ แต่สู้กลับได้อย่างสนุก ตัวเรื่องก็ไม่ใช่แค่การไล่ฆ่าเหยื่อไปเรื่อยๆ แต่มีบทที่ลึกลงไปกว่านั้น ซึ่งใช้เวลาปูเรื่องช่วงแรกก่อนอบิเกลออกค่อนข้างนาน แล้วก็หักมุมในช่วงหลังเป็นอีกทางที่เมามันส์กว่า แต่ว่าตอนจบอาจจะดูโลกสวยกับพาร์ทดราม่าเล็กๆ สักหน่อยเท่านั้นครับ