playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Ad Astra หนังไซไฟขายความสมจริง กับประเด็นเอเลี่ยนมีจริงหรือไม่?

Ad Astra ภารกิจตะลุยดาว

สรุป

หนังเน้นขายความสมจริงแบบเก็บทุกรายละเอียดด้านอวกาศในปัจจุบัน จนแทบไม่มีเรื่องราวไซไฟใส่จินตนาการล้ำๆ ไว้เลย กลายเป็นเหมือนดาบสองคม สำหรับคนที่ชอบความสมจริงก็คงทึ่งไปกับเรื่องนี้ แต่กับคนดูทั่วไปที่อยากได้เรื่องราวมันส์ๆ หน่อยคงผิดหวัง

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เก็บรายละเอียดด้านการใช้ชีวิตในอวกาศได้ดีมากๆ
  • ฉากเปิดเรื่องที่น่าจดจำ
  • แบรคพิตต์แทบเล่นคนเดียวทั้งเรื่อง

Cons

  • หนังค่อนข้างเรื่อยๆ เนือยๆ
  • ช่วงตอนจบสุดท้ายไม่เมคเซนส์มากๆ

ADBRO

รีวิว Ad Astra ภารกิจตะลุยดาว เรื่องราวของนักบินอวกาศ รอย แม็คไบรด์ (แบรด พิตต์) ต้องรับหน้าที่ทำภารกิจลับสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นก็คือการเดินทางท่องอวกาศเพื่อตามหาพ่อ (Tommy Lee Jones) ที่หายตัวไปอย่างลึกลับที่ดาวเนปจูน และเป็นความลับที่คุกคามการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษยชาติบนโลกไปพร้อมกัน

นี่เป็นหนังไซไฟอวกาศที่อาจจะเรียกได้ว่าตั้งตัวเองอยู่บนสมมุติฐานข้อมูลจริงมากที่สุดในปัจจุบัน และเรื่องราวในหนังก็ไม่ได้ไกลเกินปัจจุบันไปสักเท่าไหร่นัก หนังเล่าถึงช่วงที่มนุษย์เริ่มออกสำรวจดวงดาว และก็เริ่มตั้งอณานิคมนอกโลก มีการท่องเที่ยวอวกาศเป็นธุรกิจจริงจังเหมือนสายการบิน หนังพยายามจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคต่อไป เมื่อมนุษย์เริ่มใช้ชีวิตนอกโลก อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? สังคมในตอนนั้นจะเป็นอย่างไร? ซึ่งหนังได้จำลองสมมุติฐานความเป็นไปได้มากที่สุด มาวางไว้เป็นเรื่องราวเติมเต็มเส้นเรื่องหลัก ที่เป็นภารกิจการเดินทางตามหาพ่อที่หายไปที่ดาวเนปจูน

รีวิว ภารกิจตะลุยดาว
ฉากเปิดเรื่องที่น่าทึ่ง – Ad Astra ภารกิจตะลุยดาว

หนังเปิดเรื่องมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจกับภารกิจแรกของตัวเอก บนสถานีอวกาศที่ตั้งสูงจากพื้นโลกจนทะลุชั้นบรรยากาศ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ต้องร่วงลงมาจากเกือบนอกโลกขนาดนั้น จะเอาชีวิตรอดได้ยังไง ซึ่งหนังทำได้สมจริงน่าเชื่อถือมาก และเป็นฉากเปิดเรื่องที่ลุ้นระทึกตื่นเต้นที่สุดของเรื่องแล้วด้วย ซึ่งหลังจากนั้นหนังกลับดำเนินไปแบบค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ โดยจำลองอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ในอวกาศหลายๆ อย่างมาผูกรวมกันไว้เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่อง ซึ่งก็มีบรรยากาศคลุมเคลือประกอบเรื่องราวเหตุการณ์ในแต่ละครั้ง ให้คนดูรู้สึกสงสัยว่าที่ตัวเอกเจอติดๆ ทุกช่วงแบบนี้มีที่มาจากไหน และ เกี่ยวข้องกับความลับที่ทำให้พ่อของพระเอกหายตัวไปหรือไม่?

ฉากปล่อยจรวดในหนัง Ad Astra
ฉากปล่อยจรวดในหนัง มีรายละเอียดปลีกย่อยสมจริงมาก-รีวิว ภารกิจตะลุยดาว

สำหรับเส้นเรื่องหลักการตามหาพ่อที่หายไปในระหว่างภารกิจค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก ชวนให้คิดถึงหนังหลายๆ เรื่องในอดีต ที่แทบทุกเรื่องจะแต่งเติมจินตนาการต่างๆ เข้าไปให้ดูหวือหวา มีความเป็นไซไฟสูงกว่าข้อเท็จจริงในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่กับ Ad Astra ที่พยายามคงไว้ซึ่งข้อเท็จจริงกับเรื่องราวที่เป็นไปได้จริงๆ ในปัจจุบันมาผูกกันเป็นเรื่องราว ซึ่งเมื่อหนังเลือกตั้งอยู่บนสมมุติฐานความสมจริงมากเช่นนี้ ก็ทำให้เรื่องราวในหนังออกแนวไซไฟโลดโผนเกินจริงมากไม่ได้ หนังกลายเป็นแนวเรียบง่ายธรรมดาในสายตาคนดูหนังทั่วไป (ที่อาจจะมีหาวหลับได้) แต่ถ้ากับคนที่สนใจเรื่องราววิทยาศาสตร์มาสักหน่อย จะดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกกว่า พร้อมคิดตามไปกับสิ่งที่หนังจำลองให้เห็นว่าเป็นจริงได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น การยิงปืนในอวกาศ ศพในอวกาศเน่าเปื่อยหรือไม่ ผลกระทบจากการเดินทางอวกาศมีอะไรบ้าง ภาวะจิตใจสำคัญยังไงกับนักบินอวกาศ ซึ่งเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้หนังทำออกมาได้อย่างสมจริงน่าเชื่อถือ หรือแม้ว่าอาจจะมีเรื่องที่ดูไม่จริงอยู่บ้าง แต่หนังก็ทำให้เราคล้อยตามเชื่อจนได้ โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายซับซ้อนให้ปวดหัวแบบเรื่องอื่นๆ ซึ่งนี่เป็นข้อดีและก็เป็นข้อเสียไปพร้อมกัน เพราะกลายเป็นหนังไม่หวือหวา ขาดจินตนาการล้ำยุคตามแบบหนังไซไฟเรื่องอื่น จนทำให้ดูจืดไปจริงๆ ยิ่งถ้าเทียบกับหนังอย่าง The Martian ที่จำลองการเอาตัวรอดบนดาวอังคาร ยังดูมีความเป็นเรื่องราวหนังไซไฟตื่นเต้นสูงกว่าเรื่องนี้มาก

ภารกิจตะลุยดาว รีวิว
ฉากต่อสู้บนดวงจันทร์ —รีวิว ภารกิจตะลุยดาว

โลกของ Ad Astra แม้จะเป็นอนาคต แต่ก็เป็นอนาคตที่เอาจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับปัจจุบันนัก หนังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ก็ยังคงพยายามสร้างสังคมแบบเดิมๆ บนดวงดาวที่ไปถึง คือต่อให้เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน สังคมมนุษย์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ในหนังจะเห็นการแก่งแย่งทรัพยากรจากดวงจันทร์ สังคมบนดวงจันทร์ที่แออัดไปด้วยผู้คนมาเที่ยวจนน่าเบื่อ แบบที่พบเห็นได้ทั่วไปบนโลก ซึ่งหนังใส่มาเป็นประเด็นเสริมเรื่องราวให้สมจริง พร้อมทั้งเป็นการเสียดสีวงการธุรกิจไปในตัว

หนังให้ตัวเอก รอย แม็คไบรด์ เป็นตัวละครเดี่ยวเดินหน้าหนังทั้งเรื่องด้วยคนๆ เดียวทุกช่วงเวลา และก็เป็นบทที่ถูกล็อคไม่ให้แสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรนัก โดยอิงกับความสมจริงที่ว่า นักบินอวกาศถูกฝึกให้ตัดขาดอารมณ์ความรู้สึกออกจากหน้าที่โดยเด็ดขาด ทุกการตัดสินใจต้องใช้แต่ข้อมูลเท่านั้น  และยังมีการตรวจจับชีพจรของนักบินอวกาศเป็นระยะๆ ระหว่างปฏิบัติภารกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตัดสินใจที่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ หนังจึงใช้เสียงความคิดสะท้อนเป็นคำพูดแสดงอารมณ์ให้ผู้ชมฟังว่าเขาคิดยังไงกับสิ่งที่พบเจอ ซึ่งชีวิตนักบินอวกาศก็เหมือนสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

แบรด พิตต์ คุยกับนักบินอวกาศที่อยู่นอกโลกเพื่อศึกษาบท Ad Astra ให้สมจริงที่สุด

ส่วนทอมมี่ ลี โจนส์ ที่มารับบทพ่อนั้น แทบจะเป็นเหมือนดารารับเชิญมากกว่า เพราะกว่าจะออกมาเต็มๆ ก็เกือบท้ายสุดของเรื่องราว แต่ก็ยังคงการแสดงสุดยอดไว้เช่นเดิม กับบทนักวิทยาศาสตร์ที่อุทิศตัวเองให้กับการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาลมากกว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งฉากพบกันครั้งแรกของพ่อลูกนี้ก็กลายมาเป็นเหมือนไคลแม็กซ์ให้คำตอบกับเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงคำตอบของเรื่องสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่?  ผ่านการชี้ชวนให้คิดเปรียบเทียบกับชีวิตครอบครัวของตระกูลแม็คไบรด์ ที่ต่างอยู่กันไกลแสนไกล (รอยอยู่ห่างกับภรรยาแทบจะทั้งชีวิต พ่อของรอยก็อยู่ห่างกับลูกทั้งชีวิตเช่นกัน) ซึ่งคำตอบสุดท้ายที่หนังเลือกนำมาใช้ คงมีทั้งคนชอบและเกลียดในทันที

หนังให้คำตอบว่าพ่อของรอยไม่ยอมกลับโลกเอง เพราะยังอยากค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่อไป แม้จะตรวจสอบดาวมามากมายเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย ซึ่งก็เป็นการค้นหาที่รู้กันว่าในชั่วชีวิตคนๆ หนึ่งก็ไม่อาจเพียงพอ ซึ่งพ่อของรอยไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ แต่รอยต่างออกไป เขามาตามหาพ่อ และต้องการพ่อกลับไป ซึ่งคำตอบว่าสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาลมีจริงหรือไม่ ไม่ใช่สำคัญ เพราะสุดท้ายแล้ว มนุษย์แค่มีกันและกันก็พอ นั่นก็เป็นคำตอบเพียงพอแล้วว่าเอเลี่ยนที่พ่อเขาหาไม่มีจริง (ณ ตอนนี้ตามข้อมูลปัจจุบัน) ทำให้พ่อของรอยที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้คิดได้ว่า นี่คือคำตอบของความหมายในชีวิตทางหนึ่งเช่นกัน

สิ่งที่หนังทำมาเกือบทั้งเรื่องถือว่าน่าประทับใจในแง่ความสมจริงบนโลกภาพยนตร์ แต่ช่วงสุดท้ายเหมือนหนังหาทางออกไม่ได้นักกับการทำให้เรื่องราวดำเนินไปตามจริง กลายเป็นว่ามีคำถามเกิดขึ้นกับช่วงตอนจบขึ้นมาทันที ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่รู้สึกว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่หนังทำเหมือนง่ายๆ ตัดจบแบบไม่มีคำอธิบายรายทางที่ดีนัก จนกลายเป็นจุดบอดใหญ่สุดของเรื่องราวทั้งหมดอย่างน่าเสียดายจริงๆ

หนังให้พระเอกกลับมายังโลกจากดาวเนปจูนด้วยแรงส่งของระเบิดนิวเคลียร์ที่พระเอกไปตั้งระเบิดไว้ หนังทำให้ดูเหมือนง่ายๆ บินกลับมาโลกได้ในฉากเดียว โดยไม่มีปัญหาอุปสรรคใดๆ ต่างกับตอนเดินทางไปแต่ละดาวที่ดูมีรายละเอียดและอุปสรรคสมจริงกว่ามาก

นี่เป็นหนังที่อาจจะเรียกได้ว่าสมจริงที่สุดตั้งแต่มีการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับอวกาศมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็น่าชื่นชมที่หนังทำได้จริงๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งบทหนังก็มีปัญหาที่ว่าจงใจเซ็ทเรื่องราวอุบัติเหตุความผิดพลาดเข้ามาหาพระเอกอย่างทื่อๆ เพื่อที่จะโชว์ความสมจริงที่ว่านั้นกับคนดู แต่กับเรื่องราวแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ว่าได้ แต่ยังดีที่หนังมีปมประเด็นลุ่มลึกผูกโยงจิตใจของนักบินอวกาศเข้ามาไว้กับเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งปมความพร้อมของจิตใจถูกนำมาขยายเล่นกับภารกิจต่างๆ ในเรื่องตลอดเวลา และกลายเป็นส่วนเฉลยสำคัญของเรื่องราวทั้งฝั่งพระเอกและพ่อได้อย่างลงตัว แต่ก็อาจจะไม่ถูกใจคนดูที่จินตนาการไว้ไกลกว่านั้นก็เป็นได้ครับ…

Ad Astra รีวิว ภารกิจตะลุยดาว 

คะแนนรีวิวจากเว็บมะเขือ

Review


เกร็ดความรู้

ชื่อภาพยนตร์เป็นภาษาละติน มีความหมายว่า ‘สู่ดวงดาว’ มักถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในวลีต่าง ๆ ของภาษาละติน อาทิ ‘per aspera ad astra’ ที่หมายถึง ‘ความยากลำบากจะนำไปสู่ความสำเร็จ’ ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ The Martian และ Star Trek The Next Generation

หนังท่องอวกาศแนวสมจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมาคือ Interstellar กับ The Martin

ภาพยนตร์ไซ-ไฟ สุดยิ่งใหญ่โดยฝีมือของผู้กำกับคนดังอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อโลกกำลังเผชิญภาวะวิกฤติ พืชผลขาดแคลนอย่างหนัก ประชากรเริ่มประสบภาวะแร้นแค้น ต้องการความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจึงตัดสินใจ สร้างปฎิบัติการสุดเหลือเชื่อ ด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ โดยการเดินทางผ่าน “โพรงหนอน”ที่สามารถเชื่อมมิติเวลานี้สู่อวกาศอันกว้างไกลเพื่อหา “บ้านแห่งใหม่” ให้มนุษยชาติในยามที่โลกถึงวาระสุดท้าย ผลงานการเขียนของสองพี่น้อง โจนาธาน และ คริสโตเฟอร์​ โนแลน ที่นำเสนอเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อในการหาทางออกเมื่อโลกเข้าตาจน! ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้แต่งอิงหลักทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าสามารถเป็นจริงได้! เรื่องนี้ได้นักแสดงมากฝีมือย่าง แมทธิว มทธิว แม็คคอนอเฮย์ เจ้าของรางวัล Oscar (Dallas Buyers Club), แอนน์ แฮทธาเวย์ (เจ้าของรางวัล Oscar Les Miserables), เจสสิก้า แชสเทน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (Zero Dark Thirty), บิล เออร์วิน, เอลเลน เบอร์สติน และไมเคิล เคน เจ้าของรางวัล Oscar (The Cider House Rules) นอกจากนั้นยังมีเวส เบนต์ลีย์, แคซีย์ เอฟเฟล็ค, เดวิด ไกอาซี่, แม็คเคนซี่ ฟอย และโทเฟอร์ เกรซ ร่วมในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์นี้ด้วย!

เป็นเรื่องราวของทีมนักอวกาศที่ขึ้นไปสำรวจบนดาวอังคาร แต่ต้องเผชิญมรสุมพายุทรายถล่ม ทำให้พวกเขาต้องถอนตัวจากภารกิจออกจากดาวอังคารและเดินทางกลับโลก ซึ่งในระหว่างความโกลาหลนั่นเอง นักบินอวกาศ มาร์ค วัทนีย์ (แมตต์ เดม่อน) ได้เกิดถูกพายุพัดหายไป ทำให้นักบินอวกาศคนที่เหลือในทีมจำใจต้องทิ้งเขาไว้บนดาวอังคารเพราะเชื่อว่าเขาอาจจะตายแล้ว แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะวัทนีย์ยังไม่ตายและเขาต้องยังชีพอยู่บนดาวอังคารให้ได้ 900 วันเพื่อรอการช่วยเหลือ ท่ามกลางภูมิประเทศที่โหดร้ายของดาวอังคาร ออกซิเจน อาหาร น้ำ ที่มีอยู่จำกัด วัทนีย์จึงต้องใช้ความรู้ที่มีในการสร้างทุกอย่างและพยายามติดต่อกับคนบนภาคพื้นโลกเพื่อให้รู้ว่าเขายังมีชีวิต และรอจนถึงวันที่นาซ่าจะส่งการช่วยเหลือมายังดาวอังคาร  

 

ออฟฟิเชียลเว็บไซต์ 

https://www.foxmovies.com/movies/ad-astra

รวมรีวิวหนังชนโรงเรื่องอื่นคลิกที่นี่

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!