รีวิว Ad Vitam ปฏิบัติการเพื่อชีวิต (Netflix) ฉากแอ็กชั่น 30 นาทีตอนท้ายทำได้ดี แต่ปูเรื่องยาวเกินไป

Ad Vitam ปฏิบัติการเพื่อชีวิต ภาพยนตร์ฝรั่งเศส Original Netflix แนวแอ็กชั่น หลังจากรอดพ้นจากการลอบสังหาร ฟรองค์ ลาซาเรฟ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษต้องออกตามหาภรรยาของเขา ลีโอ ซึ่งถูกกลุ่มชายติดอาวุธลึกลับลักพาตัวไป เขาถูกอดีตตามหลอกหลอนและพบว่าตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับคดีการเมืองที่เกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้

รีวิว Ad Vitam ปฏิบัติการเพื่อชีวิต

หนังแอ็กชั่นฝรั่งเศสที่เล่าเรื่องของอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษที่มีทักษะการเอาตัวรอดสูง ที่ต้องตามหาภรรยาท้องแก่ใกล้คลอดที่ถูกจับตัวไป แต่ว่าตัวเรื่องก็ไม่ได้เป็นแนวสูตรสำเร็จแบบจอห์นวิค เทคเคน พวกนั้น ไม่ใช่หนังแนวฮีโร่ลุยเดี่ยว แต่ว่าเป็นแนวดราม่าแอ็กชั่นมากกว่า โดยเรื่องเริ่มมาในตอนต้นตัวเอกกับภรรยาก็โดยจับตัวไป โดยที่ไม่ได้เกริ่นนำหรือเล่าเรื่องราวไว้เลยว่าสองคนนี้เป็นใคร มีแค่ฉากต่อสู้แบบประชิดตัวเหมือนมือโปรทั้งคู่เป็นซีนโชว์สั้นๆ กับศัตรูที่ดูเหมือนมืออาชีพมากเช่นกัน โดยไม่มีการอธิบายอะไรเลย ก่อนที่เรื่องจะเล่าย้อนกลับไปยังอดีตของทั้งคู่ว่าอยู่หน่วยตำรวจพิเศษคล้ายๆ พวกหน่วยสวาท แต่มีภารกิจจู่โจมตามพื้นที่จับกุมอาชญากรต่างๆ มากกว่าแค่บุกจู่โจมใหญ่เพียงอย่างเดียว ซึ่งตัวเรื่องก็ใช้เวลาเล่าดราม่าการสร้างทีมของตัวเอก มีพบรักกับคนในทีม มีคนใหม่มาเข้าทีม ฉากการสูญเสียคนในทีม โดยเป็นแนวดราม่าแทบจะล้วนๆ ยาวกินเวลาไปถึง 1 ชั่วโมงเพียงเพื่อจะลำดับเหตุการณ์ให้มาถึงฉากที่ทั้งคู่โดนจับเป็นตัวประกันเท่านั้น ซึ่งนี่คือจุดประสงค์ของการเล่าเรื่องที่ยาวเกินไปหน่อย โดยเดาว่าผู้กำกับคงไม่ต้องการเล่าแบบตัดสลับปัจจุบันสลับอดีตแบบหนังเรื่องอื่นๆ แค่นั้น

 แต่การเล่าเรื่องดราม่ายาวๆ ในตอนแรกมันก็มีจุดดีที่ช่วงหลัง 30 นาทีก็คือฉากแอ็กชั่นที่จัดเต็มแบบต่อเนื่องกันไปเลย โดยแทรกแนวสายลับการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อให้มีศัตรูร้ายระดับที่สูสีกับทีมพระเอกมาเจอกันเท่านั้น ซึ่งฉากแอ็กชั่นช่วงหลังนี้คือ ฉากยิงกันก่อนตัดมาเป็นฉากขับรถไล่ล่ายาวไปเรื่อยๆ ต่อด้วยมอเตอร์ไซค์ แล้วก็ไปพารามอเตอร์อีก ซึ่งฉากการเปลี่ยนพาหนะพวกนี้ก็ใช้จังหวะบังเอิญไปเจอจนดูจงใจเกินไปหน่อย แต่ด้วยความที่มันเป็นฉากแอ็กชั่นซีนต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ก็เลยมองข้ามไปเน้นดูเอาสนุกตื่นเต้นได้ และแทบจะลบล้างแนวดราม่ายาวๆ ในชั่วโมงแรกไปได้เลย โดยมีปมนางเอกท้องแก่ใกล้คลอดต้องไปโรงพยาบาลให้ทันเข้ามาเกี่ยวข้องอีก เพื่อสร้างฉากดราม่าตอนจบให้มีปมซึ้งๆ ว่าพระเอกพยายามสร้างชีวิตใหม่นี้ขึ้นมาเพื่อชดเชยความผิดในอดีตช่วงแรกครับ ซึ่งก็ช่วยให้เรื่องดูมีดราม่าตอนจบที่เข้ากับชื่อเรื่องขึ้นมาครับ

สิ่งที่ต้องรู้สักหน่อยก็คือตัวพระเอก Jamel Blissat เป็นสตันท์แมนดังหลายเรื่องมาก่อน อย่างที่เด่นๆ ก็ Indiana Jones and the Dial of Destiny กับ Moon Knight โดยสกิลที่เรื่องนี้โชว์มากที่สุดก็คือพวกฉากปีนป่ายตึก ซึ่งเขาเล่นเองแน่นอน แต่ตัวเรื่องก็ไม่ได้นำฉากปีนป่ายพวกนี้มาใช้กับแอ็กชั่น เป็นแค่การโชว์สกิลตามเรื่องที่พระเอกต้องเอาของไปซ่อนบนหลังคาบ้าน ซึ่งจริงๆ น่าเสียดายมากว่าน่าจะครีเอทฉากปีนป่ายให้มีแอ็กชั่นแทรกไปเลย แต่ฉากอื่นๆ อย่างพวกดราม่าก็ถือว่าเขาเป็นพระเอกจากสตันท์แมนที่หน้าตาดูใช้ได้ การแสดงออกมาดีกว่าหลายๆ คนเลย เพียงแต่ก็ยังไม่ถึงกับมีเสน่ห์ทางการแสดงให้น่าจดจำครับ

สรุป ถือว่าเป็นหนังแอ็กชั่นดราม่าที่ดีพอตัวเลยในการเล่นฉากแอ็กชั่นติดๆ กันในช่วง 30 นาทีสุดท้ายของเรื่องแบบปล่อยซีนยาวเป็นฉากขับพาหนะแบบต่างๆ ไล่ล่ากันได้อย่างสนุกระทึก เพียงแต่ว่าตัวเรื่องเสียเวลาปูดราม่าเรื่องราวของตัวเอกยาวถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งยาวเกินไปหน่อย แม้เรื่องช่วงนี้มันจะไม่แย่ แต่ก็เหมือนหนังจริงๆ มีดีแค่ช่วงแอ็กชั่นตอนหลังเท่านั้นครับ 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่