playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Alien: Romulus เผยความลับกับเรื่องราวใหม่ โดยผสานภาคต้นตำหรับไว้ได้อย่างลงตัว

Summary

นี่คือหนังเอเลี่ยนที่มีจุดดีคือการผสมรวมกันของ 2 ภาคต้นตำหรับคนละแนวทาง แล้วก็หาทางต่อยอดมันขึ้นไปด้วยการเฉลยความลับหลายๆ อย่างที่ภาคก่อนๆ ไม่มีให้ไว้จนถึง Prometheus ด้วย และเพิ่มความสัมพันธ์พี่น้องกับตัวละครหุ่นกับคนที่ลึกซึ้งจนเป็นส่วนที่ดีสุดของเรื่องนี้ แต่จุดด้อยก็คือการที่ยังเดินตามรอยของทั้ง 2 ภาคในหลายๆ อย่างจนทำให้ผู้ชมอาจจะไม่รู้สึกแปลกใหม่ และยิ่งบทในฉากแอ็กชั่นของนางเอกที่พยายามให้ทั้งเก่ง+ดวง จนเหมือนตั้งใจปั้นให้เธอเป็นริบลีย์คนใหม่ก็อาจจะไม่ถูกใจได้เช่นกัน

 

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ผสมรวมกันของ 2 ภาคต้นตำหรับได้ดี
  • เผยความลับเชื่อมต่อเปิดเรื่องราวใหม่หลายอย่าง
  • ความสัมพันธ์พี่น้องคนกับหุ่นที่แปลกใหม่ในแฟรนไชน์นี้

Cons

  • การตามรอยโครงเรื่องเดิมไม่เปลี่ยนทำให้คาดเดาได้ง่าย
  • นางเอกถูกเขียนบทให้เก่ง+ดวงมากไป

 

Alien: Romulus เอเลี่ยน: โรมูลัส ภาคต่อของเอเลี่ยนที่อยู่ระหว่างภาค 1 กับ 2 โดยผู้กำกับ ผู้สร้าง Don’t Breathe’ (2016) และ ‘Evil Dead’ เวอร์ชันรีบูต โดยมีผู้สร้างแฟรนไชนส์นี้ตัวจริง Ridley Scott มาเป็นโปรดิวเซอร์หลักคุม เพื่อทำให้ภาคนี้อยู่ในภาคหลักของจักรวาลของเขาจริงๆ ตัดภาค 3-4 หรือพวก AvP ออกไปทั้งหมด

ADBRO

ตัวอย่าง

รีวิว Alien: Romulus เอเลี่ยน: โรมูลัส (ไม่สปอยล์)

ภาคนี้คือการย้อนกลับไปทำความเคารพภาค 1-2 โดยมีโครงสร้างเรื่องเหมือน 2 ภาครวมกัน คือมีทั้งความสยองขวัญแบบหนังไล่เชือดจากเอเลี่ยนตัวเดียวในยานแคบๆ กับอารมณ์ของแอ็กชั่นบู๊กระหน่ำด้วยอาวุธปืนกับฝูงเอเลี่ยนแบบภาค 2 ซึ่งการออกแบบให้มียาน 2 ลำ ทำให้มันเกิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้ ยานแรกคือ ยานเดินทางของพวกตัวเอกที่นำพวกเขามายัง สถานีอวกาศ “โรมูลัส” ซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่ามาก เพราะต้องการมาหาทรัพย์สินที่ถูกทิ้งร้างไว้ของบริษัทเวย์แลนด์ยูทานิ โดยไม่รู้ว่าที่นี่คือโดนเอเลี่ยนบุกถล่มจากการวิจัยตัวอย่างที่เก็บมาจากริบลีย์ส่งมันออกนอกยานในภาคแรก ซึ่งเรื่องก็แบ่งซีนกับตัวละครออกเป็น 2 ด้าน เล่าเรื่องสลับไปมาอย่างเท่าเทียมและเชื่อมต่อกันได้อย่างลื่นไหลมาก ผู้ชมสามารถสนุกไปกับเอเลี่ยนที่เกิดจาก ฉาก Chestburster ตัวอ่อนจาก Facehugger เล็ดรอดเข้าไปในยานเล็กได้ แล้วติดอยู่กับมันเพียงตัวเดียว โดยมีซีนที่ฉายให้เห็นพัฒนาการร่างกายของ Chestburster ไปเป็นตัวซีโนมอร์ฟเต็มตัวให้เห็นครั้งแรกด้วย ส่วนอีกด้านคือฉากโชว์ฝูง Facehugger โดยมีการอธิบายความสามารถของมันเพิ่ม เพื่อหาทางรอดโดยการฝ่าออกไปโดยไร้อาวุธ ก่อนที่จะมีจะมีฉากใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แบบน้องๆ ภาค 2 และมีอาวุธปืนใหม่ที่อัพเกรดขึ้นมาดีกว่าพวกทหารในภาค 2 ซะอีก มีฉากที่เอาเลือดกรดมาเชื่อมโยงกับสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงในยานที่ครีเอทออกมาได้แปลกใหม่ แล้วก็มีซีนฉากสุดท้ายแบบที่ทั้งสองภาคเคยทำมาก่อนจนเป็นเหมือนสูตรสำเร็จแบบตั้งใจคงไว้ ซึ่งแม้จะไม่แปลกใหม่ แต่ก็ยังมีเซอร์ไพรส์สุดท้ายที่เกินคาดมากให้ได้เห็นกัน ซึ่งนี่ความกล้าฉีกเปิดหนทางใหม่ให้แฟรนไชนส์นี้ตั้งแต่ที่ Prometheus ทำออกมาครับ 

นอกจากการเล่าเรื่อง 2 ด้าน ยาน 2 ลำไปพร้อมกันแล้ว หนังก็ยังนำฉากเหตุการณ์ทั้งสองด้านมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยเป็นฉากกดดันจิตใจตัวละครที่มีความสัมพันธ์พี่น้องมนุษย์แท้ๆ กับมนุษย์เทียม โดยวางให้ตัวละครยังเป็นเด็กวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ในยุคที่บริษัทเวย์แลนด์ยูทานิเป็นนายจ้างกดขี่แรงงานในอาณานิคมต่างดาว ทำให้พวกเขาต้องพยายามหาทางเอาตัวรอดมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้ให้ได้ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกของแฟรนไชนส์เอเลี่ยนที่เดินเรื่องด้วยกลุ่มตัวละครอายุน้อยครั้งแรก โดยมีความสัมพันธ์ของนางเอก “เรนกับแอนดี้” หุ่นรุ่นเก่าของบริษัทเวย์แลนด์ยูทานิที่ถูกโปรแกรมให้เป็นเหมือนน้องของเธอจริงๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราว ผ่านบททดสอบความเชื่อใจกันและกันในแบบเดิมที่เคยทำกันมา แต่มันลึกซึ้งกว่า เพราะนี่คือความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่มีมากกว่าแค่การเอาชีวิตและรับใช้ในแบบที่ผ่านมา ซึ่งนักแสดงหน้าใหม่อย่าง David Jonsson มอบการแสดงที่ยอดเยี่ยมให้กับเรื่องนี้จริงๆ โดยที่ Cailee Spaeny ในบทเรนก็รับส่งต่อมาเคมีเข้ากันได้ดีมาก ในบทที่ทำให้เธอเหมือนเป็นพี่สาวที่ยังไม่มั่นใจในตัวเองว่า ควรจะเลือกเชื่อนี่คือน้องเธอจริงๆ หรือแค่หุ่นที่ถูกโปรแกรมไว้ ซึ่งหนังลงรายละเอียดลึกเหมือนเป็นเบลดรันเนอร์ของ Ridley Scott  และได้มอบคำตอบนี้ไว้ให้ตอนสุดท้ายที่ทำให้ผู้ชมกระจ่างและเชื่อได้จริงๆ

สรุป นี่คือหนังเอเลี่ยนที่มีจุดดีคือการผสมรวมกันของ 2 ภาคต้นตำหรับคนละแนวทาง แล้วก็หาทางต่อยอดมันขึ้นไปด้วยการเฉลยความลับหลายๆ อย่างที่ภาคก่อนๆ ไม่มีให้ไว้จนถึง Prometheus ด้วย และเพิ่มความสัมพันธ์พี่น้องกับตัวละครหุ่นกับคนที่ลึกซึ้งจนเป็นส่วนที่ดีสุดของเรื่องนี้ แต่จุดด้อยก็คือการที่ยังเดินตามรอยของทั้ง 2 ภาคในหลายๆ อย่างจนทำให้ผู้ชมอาจจะไม่รู้สึกแปลกใหม่ และยิ่งบทในฉากแอ็กชั่นของนางเอกที่พยายามให้ทั้งเก่ง+ดวง จนเหมือนตั้งใจปั้นให้เธอเป็นริบลีย์คนใหม่ก็อาจจะไม่ถูกใจได้เช่นกัน (ส่วนตัวผู้เขียนชอบ ดร.ชอวร์ ของ Prometheus มากกว่า)

ปล.ภาคเก่าทุกภาคสามารถรับชมได้ผ่านดิสนีย์+

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นในดิสนีย์+ ได้ที่นี่ 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!