รีวิว #ALIVE (Netflix) หนังซอมบี้เกาหลีที่มีดีตรงน้องผัก “พัคชินฮเย”
#ALIVE
สรุป
หน้าหนังที่ดูดี + ดารานำในเรื่องที่ดูแล้วน่าติดตามมาก แต่กลับไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย แถมยังมีความไม่สมเหตุผลปนอยู่เยอะตลอดทั้งเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้น่าติดตามคือความงามของนางเอกพัคชินฮเย ที่ช่วยให้เรื่องนี้ดูสดใสน่ารักขึ้นเป็นกอง ในขณะที่บุคลิกพระเอกค่อนข้างน่าเบื่อมาก ถ้าดูแบบหัวโล่งๆ เอามันส์ทั่วไปก็ถือว่าพอได้ผ่าน แต่ถ้าเทียบกับงานซอมบี้เกาหลีที่ผ่านมายังไม่มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำนัก
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- นางเอกพัคชินฮเยที่สวยสดใสกับบทขาลุยโหดๆ เป็นสีสันของเรื่องที่แท้จริง
- ฉายภาพการติดอยู่ในห้องเอาชีวิตรอดในแต่ละวันไปเรื่อย
- เมคอัพซอมบี้ได้เนียนมาก
- มีการใช้ Gaget ไอที มาประกอบเป็นกิมมิคบางช่วง
- มุมกล้องบางช่วงดูแปลกตา
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- ความไม่สมเหตุผลหลายอย่างทั้งการกระทำการตัดสินใจของตัวละคร ประกอบกับสภาพตัวละครที่อดอาหารยาวนาน แต่กลับไม่ผอมลงเลย
- เรื่องก่อนมีนางเอกปรากฎตัวออกมาค่อนข้างจำเจไม่น่าสนใจ
- ซอมบี้ในเรื่องไม่ได้มีความแปลกใหม่หรือฉลาดอะไรนัก
- ฉากจบตามสูตรง่ายๆ เดาได้ และไม่มีอะไรเซอไพรส์
#ALIVE ชื่อไทย คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ หนังซอมบี้ลงโรงของเกาหลีเรื่องล่าสุดที่ไม่ได้ฉายไทย แต่ Netflix ซื้อมาเป็น Original Netflix ลงในระบบ โดยมีนางเอกดังอย่าง “พัคชินฮเย” (หรือที่ชาวไทยชอบเรียกเธอว่า น้องผัก) มาร่วมแสดงนำในเรื่องคู่กับยูอาอิน พระเอกหนุ่มวัย 34 ที่เปลี่ยนลุคมารับบทเกมเมอร์วัยรุ่นที่ติดอยู่ในห้องอพาร์ทเมนท์คนเดียวระหว่างที่ซอมบี้บุกเมือง
ตัวอย่าง #ALIVE: คนเป็นฝ่านรกซอมบี้
รีวิวมีสปอยล์เนื้อหาบางส่วน แต่ไม่ได้เปิดเผยจุดสำคัญหลักๆ ของเรื่อง
ด้วยหน้าหนังที่ดูดี + ดารานำในเรื่องที่ดูแล้วน่าติดตามมาก ความคาดหวังว่าหนังซอมบี้เรื่องนี้จะมีอะไรแปลกใหม่ในยุคที่หนังซอมบี้ขยันทำกันเกลื่อนโลกจึงสูงตามไปด้วย แต่แล้วกลับพบว่านี่เป็นแค่หนังซอมบี้ที่แทบไม่ได้ฉีกแนวอะไรสักเท่าไหร่ ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่ปัญหา ในเมื่อคนดูกลุ่มใหญ่โดยทั่วไปขอแค่เป็นหนังซอมบี้วิ่งไล่ล่าฆ่ากันเลือดสาดกันเยอะก็เพียงพอแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นได้แค่นั้นจริงๆ
ตัวหนังเปิดเรื่องมาด้วยความรวดเร็วหลังพระเอก Oh Joon-woo ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันด้วยการเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อน แต่แล้วกลับพบว่าเกาหลีกำลังถูกคนติดเชื้อซอมบี้บุกไปทั่ว จนต้องขังตัวเองอยู่ในห้องของอพาร์ทเมนท์เพื่อให้มีชีวิตรอด และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปผ่านโซเชียลมีเดียด้วยแฮชแท็ก #Alive (#ต้องรอดชีวิตให้ได้) แต่ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่มีใครมาช่วยเหลือ ก่อนที่จะหมดหวังเขากลับได้พบกับ Kim Yoo-bin (รับบทโดย พัคชินฮเย) หญิงสาวที่รอดชีวิตในห้องเช่นเดียวกับเขาแต่อยู่ตึกฝั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่จึงหาทางร่วมมือกันเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้ให้ได้
ตัวเรื่องใช้เวลาในช่วงแรกหมดไปกับการใช้ชีวิตเดิมๆ กิน นอน ดูข่าว เล่นเกม (ก่อนนี่เน็ตจะล่ม) ในห้องของตัวพระเอก พร้อมปูว่าสัญญาณจากครอบครัวขาดไป ทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่บ้าง ซึ่งเวลาที่ผ่านไปก็ไม่ได้มีเรื่องตื่นเต้นอะไรมากนัก นอกจากช่วงแรกที่มีเพื่อนบ้านติดเชื้อหลงเข้ามาในบ้าน กับการที่ต้องมองเห็นคนผ่านไปกลายเป็นซอมบี้โดยที่เขาช่วยเหลือไม่ได้ ซึ่งตัวผู้กำกับอาจจะพยายามเสนอความแปลกใหม่ของการติดอยู่ในห้องผ่านหนังแนวซอมบี้ก็ได้ แต่มันกลับมีความไม่สมเหตุผลปนอยู่เป็นระยะ อย่างการที่พระเอกดันไม่รองน้ำประปาเก็บไว้จนน้ำหมด แถมทำหกแบบอารมณ์เสียจนต้องมาเลียกินบนโต๊ะ หรือการที่จู่ๆ ก็ออกจากห้องไประบายอารมณ์กับซอมบี้ โดยที่ไม่ได้เป้าหมายอะไรจริงจังเลย แถมกว่าจะคิดออกไปหาอาหารก็นานเกินจนจะอดตายแล้ว มิหนำซ้ำยังพยายามเล่นเรื่องไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรือการใช้โดรนบินออกไปสำรวจแบบไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่นัก มองว่าแค่เป็นกิมมิคของเรื่องนิดหน่อยเท่านั้น อย่างที่เห็นในภาพโปสเตอร์หนังที่เหมือนเซลฟี่บนระเบียง แต่ในเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแค่ถือไม้ยืดยาวออกไปหาสัญญาณมือถือ ความสมจริงของเรื่องที่ตัวพระเอกอดอาหารนานเป็นสิบวันแต่กลับไม่ได้ผอมลงเลยสักนิด ยิ่งทำให้ดูไม่ค่อยสมจริงเข้าไปอีก จนแอบเบื่อๆ กับการดำเนินเรื่องที่ผู้ชมรู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องการนำเสนอตัวละครในที่ปิดแบบนี้ไปจนจบเรื่องแน่นอน และก็ดูจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ จนกระทั่ง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแรกตัวนางเอกที่เล่นโดยพัคชินฮเยถึงปรากฎตัวออกมา
หลังนางเอกปรากฎตัวด้วยพลังดารากับหน้าตาที่สวยของพัคชินฮเย ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูสดใสมีอะไรน่าติดตามกว่าช่วงแรกมาก แต่เนื้อเรื่องก็ยังไม่ได้ออกนอกกรอบการติดอยู่ในห้องสักเท่าไหร่ แต่คนดูคงไม่แคร์แล้วเพราะหลังการปรากฎตัวของนางเอกก็ทำให้เรื่องไม่น่าเบื่อ และก็ชวนลุ้นกับจิ้นนิดๆ ว่าสองคนนี้จะมีอะไรกันมากกว่านี้หรือเปล่า ก่อนที่ทั้งคู่จะหาทางเข้ามาเจอกันจนได้เพื่อไปยังจุดหมายใหม่ที่ดูแล้วปลอดภัยกว่า แต่เรื่องความสมเหตุผลที่มีปัญหาในช่วงแรกก็ยังตามมาในช่วงหลังอยู่ดี โดยเฉพาะการบุกเดี่ยวสู้ซอมบี้ของนางเอกที่ดูเว่อร์เกินแบบไม่ค่อยมีเหตุผลในมุมคนเอาตัวรอดสักเท่าไหร่ (มีเชือกปีนเขาข้ามฝั่งได้ แต่กลับใช้โรยตัวลงไปบู้ซอมบี้แทน) แต่หนังคงอยากสร้างฉากการเอาตัวรอดวิ่งหนีระทึกๆ ให้สมกับเป็นหนังซอมบี้แทนการติดอยู่ในห้องแทบทั้งเรื่องบ้างเท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าดูสนุก แต่ในมุมของธีมการเอาตัวรอดแบบที่ปูมาแต่แรกมันกลายเป็นความรู้สึกขัดกันพิกลๆ และตัวเรื่องก็ยังพยายามใส่แนวคนที่รอดตายด้วยกันน่ากลัวกว่าซอมบี้มาไว้ในตอนท้ายตามสูตรหนังแนวนี้ แต่เรื่องช่วงนี้กลับไม่ค่อยสมเหตุผลยิ่งขึ้นไปอีก จนคนดูอาจจะรู้สึก “อีหยังวะ” กับการตัดสินใจของตัวละครทั้งหมดในช่วงนี้เลยก็ได้ ก่อนที่หนังจะจบตามสูตรง่ายๆ แล้ววนกลับไปเรื่องแฮชแท็ก #ต้องรอดชีวิตให้ได้ ที่เป็นชื่อเรื่องอีกครั้ง
สิ่งที่โดดเด่นจริงๆ คืองานเมคอัพซอมบี้ที่เนี๊ยบมากจริงๆ ตัวซอมบี้มีรายละเอียดความน่ากลัวสูง แต่ก็ยังขาดความแปลกใหม่ ซอมบี้ในเรื่องก็ยังตายด้วยวิธีเดิมๆ และบางทีก็แอบมึนงงโง่ๆ ให้ตัวละครรอดไปได้ง่ายๆ หรือการถูกรุมแต่ไม่กัดพระเอกนางเอกให้โดนสักที ก็ทำให้ดูเหมือนเป็นแค่ซอมบี้เมคอัพดี แต่ยังขาดฉากน่าจดจำในแบบที่หนังซอมบี้เรื่องอื่นทำมา โดยเฉพาะในเกาหลีด้วยกันอย่าง Kingdom หรือ Train to Busan เรื่องนี้ไม่ได้มีฉากน่าจดจำแบบสองเรื่องนี้เลย
ต้องถึงจะมีข้อติมากมายในเรื่อง แต่หนังก็ถือว่ามอบความบันเทิงให้คนดูแบบหัวโล่งๆ ได้ตามที่วางไว้ เพียงแต่คนดูที่คาดหวังความแปลกใหม่กับเรื่องนี้ก็คงผิดหวังกันไปบ้างไม่มากก็น้อย แถมเรื่องยังจบแบบเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำแบบที่ควรจะมีกับหนังแนวนี้ด้วยครับ