รีวิว All the Light We Cannot See มินิซีรีส์นาซีที่เล่าเรื่องได้ลึกซึ้งแตกต่างและน่าประทับใจมาก
All the Light We Cannot See
Summary
สรุปนี่คือซีรีส์ 4 ตอนจบที่ปราณีตและมีงานสร้างที่ใหญ่โตเกินกว่าซีรีส์โดยทั่วไป จาก 2 ผู้สร้างชื่อดังอย่าง Steven Knight กับ Shawn Levy เล่าเรื่องนาซีในแง่มุมใหม่ที่ใกล้แพ้สงครามในเมืองเล็กๆ ของฝรั่งเศสที่เป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ โดยมีพล็อตเรื่องโฟกัสไปที่การตามหาหญิงสาวตาบอดที่เป็นตัวกำหนดแพ้ชนะสงคราม และตัวละครนาซีหนุ่มอัจฉริยะทางด้านกลไกวิทยุที่ถูกบีบให้ตามหาเธอ เป็นเรื่องเล่าชีวิต 2 ด้านที่แตกต่างให้มาเจอกันในสงคราม โดยมีวิทยุเป็นตัวเชื่อมทั้งคู่เข้าด้วยกัน ผ่านดราม่าชีวิตในอดีตที่มีพล็อตซับซ้อน ก่อนจะมาถึงฉากสงครามสะเทือนใจในปัจจุบัน และที่ยอดเยี่ยมคือนางเอกในเรื่องเป็นนักแสดงตาบอดจริงที่เล่นเรื่องนี้เรื่องแรกโดยไม่ได้เป็นนักแสดงมาก่อน เธอทำให้บทนี้เป็นธรรมชาติในตัวเองได้อย่างมีเสน่ห์มาก เชียร์เลยว่าเป็นซีรีส์ที่เดินเรื่องได้อย่างลึกซึ้งน่าประทับใจและควรค่าแก่การรับชมแน่นอนครับ
Overall
9/10User Review
( votes)Pros
- ซีรีส์ 4 ตอนจบที่งานสร้างปราณีตและใหญ่โตมาก
- สร้างจากนิยายดีกรีรางวัลพูลิตเซอร์
- เนื้อเรื่องนาซีในช่วงใกล้แพ้สงครามในฝรั่งเศส
- ใช้วิทยุเป็นอุปกรณ์หลักสำคัญของเรื่อง
- จาก 2 ผู้สร้าง Steven Knight กับ Shawn Levy
- ใช้นักแสดงตาบอดจริง
- มีพากย์ไทย
Cons
- ตัวเอกนาซีหนุ่มอัจฉริยะดูอ่อนโยนเกินจริงไป (เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์นาซีจริง)
- ภาษาพูดในเรื่องเป็นอังกฤษอเมริกัน ไม่ตรงจริงตามตัวละคร
All the Light We Cannot See ดั่งแสงสิ้นแรงฉาน มินิซีรีส์ Netflix 4 ตอนจบ เป็นผลงานที่สร้างจากนิยายดีกรีรางวัลพูลิตเซอร์ บอกเล่าเรื่องราวของมารี-ลอร์ (อาเรีย มีอา โลเบอร์ตี้) สาววัยรุ่นตาบอดชาวฝรั่งเศสที่หนีมาอยู่กับพ่อและลุงผู้สันโดษในเซนต์มาโล ประเทศฝรั่งเศส และแวร์เนอร์ เฟนนิก (หลุยส์ ฮอฟแมนน์) วัยรุ่นเยอรมันที่เชี่ยวชาญเรื่องการซ่อมวิทยุ สายใยลับๆ ที่มีให้กันจะทำให้ทั้งคู่ได้พบกับแสงแห่งความหวังที่พาให้รอดพ้นจากความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2
รีวิว All the Light We Cannot See (ไม่มีสปอยล์)
มินิซีรีส์ 4 ตอนจบความยาวเกือบ 4 ชั่วโมง จาก 2 ผู้สร้างดังอย่าง Steven Knight กับ Shawn Levy ซึ่งคนแรกมีผลงานซีรีส์ชื่อดังอย่าง Peaky Blinders กับ SEE ส่วนคนหลังคือสายหนัง Free Guy กับ The Adam Project โดยได้นักแสดงชื่อดังอย่าง Mark Ruffalo มาร่วมแสดงนำด้วยอีกคน และยังสร้างจากนิยายที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ (มีแปลไทยด้วย) ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่โตตั้งแต่แรก แม้จะมีเพียงแค่ 4 ตอนก็ตาม
นี่เป็นซีรีส์ที่มีงานสร้างเหมือนภาพยนตร์ขนาดยาว 4 ชั่วโมงจบ โดยดำเนินเรื่องจริงตามประวัติศาสตร์ในช่วงที่นาซีกำลังถูกอเมริกากับอังกฤษปิดล้อมไว้ที่เมือง Saint-Malo เมื่อปี 1944 โดยใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดมาถล่มในเมืองตามเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ทำให้นาซีในเมืองมีสภาพใกล้แพ้และยอมสู้ตายในเมือง โดยปิดประตูเมืองไว้ไม่ให้ชาวบ้านหนีออกไปไหน
ซีรีส์เล่าเรื่องของตัวละครที่อยู่ในเมืองนี้เป็นหญิงสาวตาบอดที่ชื่อ มารี เธอจัดรายการวิทยุของตัวเองและมีผลกระทบกับสงครามอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้นาซีต้องตามหาตัวเธอให้ได้ โดยใช้พลวิทยุสอดแนมอัจฉริยะ แวร์เนอร์ เฟนนิก เข้ามาช่วยหาตัวเธอ ซึ่งทั้ง 2 คนนี้คือคนที่ชื่นชอบในวิทยุตั้งแต่เด็ก โดยมีจุดร่วมที่ทั้งคู่เหมือนกันคือรายการวิทยุคลื่นสั้น 13.10 ที่ผู้จัดรายการเป็นเหมือนครูผู้สอนมุมมองที่ถูกต้องให้แก่พวกเขาตั้งแต่ยังเด็ก นั่นทำให้ตัวละครพลทหารนาซีเองก็มีมุมมองส่วนตัวที่ขัดแย้งกับประเทศเยอรมันมาตลอด แต่เก็บซ่อนสิ่งนี้ไว้ในใจไม่ให้ใครรู้เท่านั้น ซึ่งเนื้อเรื่องจะเป็นการเล่าชีวิตความเป็นมาของทั้งคู่ไปพร้อมๆ กันตั้งแต่เด็ก เป็นคนละโลกที่แตกต่างกันมากระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน โดยมีฉากเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ทั้งคู่ถูกบีบให้มาพบเจอกันในฐานะศัตรูต่างขั้วจนน่าสะเทือนใจซีรีส์เล่าเรื่องอดีตโดยมีปมเจาะลึกขึ้นไปอีก โดยมีตัวละครหลักที่เนื้อเรื่องในปัจจุบันหายไปอย่างพ่อของมารี ซึ่งเขาคือผู้ฝึกสอนการเดินทางในเมืองให้กับเธอ โดยสร้างแบบจำลองเมืองไว้ในบ้านเพื่อให้มารีจดจำเมืองได้โดยง่าย ซึ่งเนื้อเรื่องในช่วงอดีตของเขาคือส่วนสำคัญของเรื่องในปัจจุบัน เมื่อมารีจัดรายการทุกวันเพื่อรอพ่อของเธอกลับมาตามคำสัญญา โดยมีปริศนาเพิ่มขึ้นมาอีกเมื่อพ่อของเธอแอบซ่อนเพชรในตำนานของฝรั่งเศสไว้ และมีนาซีที่ได้รับคำสั่งให้มาตามหาเพชรเม็ดนี้โดยเฉพาะ เป็นตัวร้ายที่แยกออกมาจากสันโดษจากนาซีในเมืองและเกี่ยวข้องกับเรื่องราวตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน
ในส่วนของนาซีในเรื่องนี้ก็ยังคงสถานะผู้กดขี่ข่มเหง แม้จะอยู่ในสภาพใกล้แพ้ แต่ก็เป็นคนที่มีปืนทำให้มีอำนาจปกครองคนในเมืองอยู่ ซึ่งแม้พวกเขาไม่ใช่ยิวแต่ก็ถูกฆ่าด้วยวิธีการโหดร้ายทารุณไม่ต่างกัน โดยเรื่องราวแบ่งเป็นนาซีตัวร้ายที่ตามหามารีโดยบีบคั้นฆ่าชาวบ้านที่ช่วยปกปิดที่อยู่ของเธอ และนาซีที่ยึดเมืองอยู่และกำลังตามหาว่าใครคือผู้จัดรายการวิทยุในเมืองนี้ โดยมีเรื่องราวย้อนอดีตอีกด้านที่เกิดในโรงเรียนสร้างทหารนาซีที่เล่าผ่านตัวละคร แวร์เนอร์ เฟนนิก มาทำให้เห็นที่มาของความโหดร้ายที่เขาได้รับ แม้จะเป็นชาวเยอรมันด้วยกันก็ตาม
งานโปรดักชั่นในเรื่องนี้ก็ยอดเยี่ยมมาก ด้วยการจำลองฉากสงครามที่มีรายละเอียดดีมากเกินกว่างานซีรีส์ แม้ฉากสงครามจะไม่ใช่เนื้อหาหลัก แต่ก็มีสเกลที่ใหญ่โตจากฉากเครื่องบินทิ้งระเบิด มีฉากเมืองถูกอเมริกาถล่มตอนท้าย โดยมีระบบเสียงแยกทิศทางที่ดีมาก รวมถึงการจำลองเมืองในประวัติศาสตร์ตามยุคสมัยนั้นให้กลับมาได้อย่างสมบูรณ์มาก โดยในตอนจบช่วงเอนด์เครดิตจะมีภาพเมืองจริงที่พังทลายจากสงครามมาให้เห็นด้วย
แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดและผู้ชมอาจจะไม่แน่ใจถ้ารับชมโดยไม่รู้มาก่อน ก็คือตัวนักแสดงหน้าใหม่อย่าง Aria Mia Loberti เธอเป็นคนตาบอดจริงตั้งแต่กำเนิด (ชื่อโรค achromatopsia เป็นโรคที่ตามองไม่เห็นสีและไวต่อแสง มองเห็นได้น้อย และมืดบอดสนิทในบางสภาวะ) ซึ่งเธอชนะจากการออดิชั่นนับพันคน โดยที่ไม่มีพื้นฐานหรือเรียนทางด้านการแสดงมาก่อนเลย ซึ่งในเรื่องนี้ผู้ชมจะได้เห็นการแสดงผ่านสัมผัสต่างๆ ทุกสิ่งมีเสียง ซึ่งตัวละครมารีในเรื่องสามารถรับรู้ได้อย่างน่าทึ่ง เธอแสดงสีหน้าท่าทางต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติจนมีเสน่ห์มาก และนักแสดงตอนเด็กของเธอก็เป็นเด็กตาบอดที่ชื่อ Nell Sutton เล่นเรื่องนี้เรื่องแรกด้วยเช่นกัน แม้จะมีบทแค่สั้นๆ แต่ก็แสดงได้ดีสอดคล้องกับตอนโตเช่นกันครับ
สรุปนี่คือซีรีส์ 4 ตอนจบที่ปราณีตและมีงานสร้างที่ใหญ่โตเกินกว่าซีรีส์โดยทั่วไป จาก 2 ผู้สร้างชื่อดังอย่าง Steven Knight กับ Shawn Levy เล่าเรื่องนาซีในแง่มุมใหม่ที่ใกล้แพ้สงครามในเมืองเล็กๆ ของฝรั่งเศสที่เป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ โดยมีพล็อตเรื่องโฟกัสไปที่การตามหาหญิงสาวตาบอดที่เป็นตัวกำหนดแพ้ชนะสงคราม และตัวละครนาซีหนุ่มอัจฉริยะทางด้านกลไกวิทยุที่ถูกบีบให้ตามหาเธอ เป็นเรื่องเล่าชีวิต 2 ด้านที่แตกต่างให้มาเจอกันในสงคราม โดยมีวิทยุเป็นตัวเชื่อมทั้งคู่เข้าด้วยกัน ผ่านดราม่าชีวิตในอดีตที่มีพล็อตซับซ้อน ก่อนจะมาถึงฉากสงครามสะเทือนใจในปัจจุบัน และที่ยอดเยี่ยมคือนางเอกในเรื่องเป็นนักแสดงตาบอดจริงที่เล่นเรื่องนี้เรื่องแรกโดยไม่ได้เป็นนักแสดงมาก่อน เธอทำให้บทนี้เป็นธรรมชาติในตัวเองได้อย่างมีเสน่ห์มาก เชียร์เลยว่าเป็นซีรีส์ที่เดินเรื่องได้อย่างลึกซึ้งน่าประทับใจและควรค่าแก่การรับชมแน่นอนครับ