รีวิว Apollo 10½ แอนิเมชั่นย้อนยุคสมัยวัยเด็กยุคอวกาศช่วงอะพอลโล 11
Apollo 10½: A Space Age Childhood
สรุป
หนังแอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องความฝันของเด็กในช่วงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อะพอลโล 11 ดูเพลินๆ สนุกในช่วงภารกิจอวกาศ แต่ในช่วงชีวิตส่วนตัวค่อนข้างน่าเบื่อเพราะไกลเกินตัวไปมาก และก็ยังกินเวลาของหนังมากไป จนเบียดบังเรื่องอวกาศเหลือน้อยมาก แต่โดยรวมก็ยังเป็นหนังที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อะพอลโล 11 ในมุมมองเด็กที่แปลกใหม่ดีมากเหมือนกัน
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- บอกเล่าชีวิตเด็กในช่วงเวลาประวัติศาสตร์อะพอลโล 11
- เก็บรายละเอียดช่วงอะพอลโล 11 มาเล่าได้ดี
- งานแอนิเมชั่นแนวโรโตสโคป
- มีพากย์ไทย
Cons
- เล่าเรื่องชีวิตเด็กอเมริกาในแบบที่ห่างไกลกับคนไทยมากๆ และก็ใส่มายาวมากเกินไป
- ช่วงภารกิจอวกาศมีน้อยเกินไป
Apollo 10½: A Space Age Childhood วัยเด็กยุคอวกาศ หนังแอนิเมชั่น Netflix เรื่องราวความฝันของเด็กคนหนึ่งในช่วงเวลาประวัติศาสตร์อเมริกาส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ในโครงการอะพอลโล
ตัวอย่าง Apollo 10½: A Space Age Childhood วัยเด็กยุคอวกาศ
หนังแอนิเมชั่นฝรั่งจาก Richard Linklater ผู้สร้างหนัง Boyhood ที่ถ่ายทำเด็กคนหนึ่ง 12 ปีเติบโตขึ้นมาตามเวลาจริง ซึ่งเป็นไอเดียที่แปลกประหลาดมากที่สุดเรื่องหนึ่งของวงการภาพยนตร์เลย มาคราวนี้เจ้าตัวก็หยิบจับไอเดียจากประสบการณ์ชีวิตวัยเด็กของตัวเองมาเล่าในยุคที่อเมริกากำลังมีโครงการอวกาศ “อะพอลโล” เพื่อไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์หลักคือแข่งเอาชนะสหภาพโซเวียตให้ได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้กลายมาเป็นประวัติศาสตร์ด้านอวกาศครั้งสำคัญของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวหนังเล่าถึงเด็กน้อยคนหนึ่งวัย 10 ขวบ (ให้เสียงโดย Zachary Levi ที่เล่นชาแซม) ที่มีครอบครัวอยู่ที่เมืองฮิวสตัน ที่ตั้งของ Nasa และเขาได้ถูกนำตัวมาทำภารกิจลับโครงการอะพอลโล 10 ครึ่ง ก็คือก่อนที่อะพอลโล 11 ที่ นีล อาร์มสตรอง ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก ซึ่งเรื่องราวก็จะเป็นแนวจินตนาการด้านอวกาศของเด็กคนนี้ร่วมไปกับประวัติศาสตร์จริงของช่วง อะพอลโล 11 (16 กรกฎาคม ค.ศ. 1969) โดยเสมือนเขาได้ไปร่วมเป็นนักบินอวกาศลับของนาซ่าเพื่อทดสอบยาน 10 1/2 ที่ทางนาซ่าทำผิดพลาดเป็นไซส์เล็กมีแต่เด็กเข้าไปนั่งได้ ซึ่งตัวเรื่องก็ดำเนินไปในช่วงเวลาสั้นๆ ของปี 1969 แล้วไปจบที่เหตุการณ์เหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกตามที่ทุกคนรู้ๆ กัน
แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้แปลกออกไปก็คือ เรื่องอวกาศที่ว่าเหมือนเป็นแค่ส่วนประกอบเรื่องราวเท่านั้น เพราะตัวเรื่องจริงๆ เป็นการเล่าประสบการณ์วัยเด็กยุคนั้นมากกว่า คือตัวเรื่องเปิดมาว่าถูกชวนให้เข้าไปโครงการตั้งแต่เริ่มเรื่อง แต่กลับวกกลับมาเล่าใหม่ในทันทีว่ามาฟังเรื่องของชีวิตผมก่อนดีกว่า จากนั้นตัวหนังก็ร่ายยาวโดยใช้เสียงบรรยายประกอบภาพถึงเกือบชั่วโมงเต็มๆ เป็นแนวเรโทรโอลสคูลบอกเล่าประสบการณ์ที่เด็กอเมริกาในฮิวสตันสมัยนั้นใช้ชีวิตกันยังไง ซึ่งก็มีรายละเอียดยิบย่อยมากมายเต็มไปหมดตั้งแต่โทรศัพท์แบบกดครั้งแรกถูกนำไปใช้เป็นเครื่องดนตรีกดเล่นของเด็กๆ การเล่นเกมกระดาน ปั่นจักรยาน โรงหนังไดร์ฟอิน รายการทีวีที่เด็กชื่นชอบ หนังดัง 2001 space odyssey เพลงฮิต ฯลฯ ซึ่งเยอะสุดๆ และยาวมากถึงเกือบ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ตัวเรื่องถึงจะวกกลับไปเรื่องเข้านาซ่าอีกครั้ง ซึ่งจุดนี้แหละที่เราคนไทยที่ถึงแม้จะโตมาในยุคนั้นด้วยก็ตามก็ยังไม่อินกับอะไรแบบนี้ได้แน่ๆ เพราะมันค่อนข้างไกลเกินตัวแบบไม่รู้จักแทบทั้งนั้น สิ่งที่หนังเรื่องนี้เล่าไม่ใช่แนวเรโทรแบบป๊อบคัลเจอร์ที่ทั่วโลกได้รับอิทธิพลตามๆ กันมาเลย มีน้อยมากไม่กี่เรื่องจริงๆ ที่อาจจะรู้สึกว่ามีแบบนี้ในไทย (อย่างพวกเด็กสร้างจรวดของเล่นเอง) ดังนั้นที่คะแนนเรื่องนี้ดีถึงดีมากในหมู่นักวิจารณ์ฝรั่งก็เพราะเป็นประสบการณ์ตรงร่วมยุคสมัยของอเมริกาโดยตรงนั่นเอง
แต่ถ้าโฟกัสที่เรื่องอวกาศตัวหนังทำได้ค่อนข้างดีเลย เพราะมีการเก็บรายละเอียดถึงเหตุการณ์เล็กน้อยในนาซ่านั้นมาเล่าได้สนุก อย่างการทดสอบร่อนลงจอดผ่านยานจำลองก็ทำเอานีลเกือบตาย แต่เขากลับยิ้มหน้าตาเฉยหลังดีดตัวออกจากเครื่องตกได้ทัน คือพอหนังตัดกลับมาพาร์ทอวกาศช่วงท้ายตัวเรื่องก็มีความน่าสนใจขึ้นมาทันที และช่วงท้ายของเรื่องคือการที่ผู้ใหญ่ครอบครัวอเมริกันต่างเฝ้ารอร่วมใจกันลุ้นเหตุการณ์ผ่านการถ่ายสดกับรายงานผ่านทีวีตลอดวัน แต่เป็นการมองผ่านสายตาเด็กที่หลายคนก็ไม่อินกับเรื่องนี้ และน่าเบื่อมากที่โดนพ่อแม่ยึดทีวีไปหลายวัน แต่พอโตไปเป็นผู้ใหญ่พวกเขากลับหวนมานึกถึงให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้อีกครั้ง ซึ่งนี่ก็คือที่มาของเรื่องราวนี้จากตัวผู้กำกับเขียนบทเรื่องนี้นั่นเอง
ด้านงานแอนิเมชั่นเรื่องนี้จะเป็นแนวโรโตสโคปวาดภาพตามต้นฉบับ ซึ่งก็ใช้คนมาร่วมแสดงจริงด้วย แต่วาดซ้อนทับให้เป็นแอนิเมชั่น ซึ่งก็อาจจะดูแปลกๆ หน่อยสำหรับคนที่ไม่ชินภาพเคลื่อนไหวแบบนี้ แต่ก็เป็นเทคนิคที่ทางแอนิเมชั่นในเน็ตฟลิกซ์ใช้อยู่บ่อยๆ เข้าใจว่าน่าจะเป็นการลดต้นทุนการสร้างแบบหนึ่ง เพราะเรื่องนี้ความตั้งใจเดิมคือสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง แต่เปลี่ยนมาทำเป็นแอนิเมชั่นลงสตรีมมิ่งแทน
สรุป Apollo 10½ สนุกและดีไหม
ดูเพลินๆ สนุกในช่วงภารกิจอวกาศ แต่ในช่วงชีวิตส่วนตัวค่อนข้างน่าเบื่อเพราะไกลเกินตัวไปมาก แต่โดยรวมก็ยังเป็นหนังที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อะพอลโล 11 ในมุมมองเด็กที่แปลกใหม่ดีมากเหมือนกัน