รีวิว As The Crow Flies คนรุ่นใหม่ VS. รุ่นเก่า ผ่านโลกเบื้องหลังคนข่าว (ไม่มีสปอยล์)
As The Crow Flies
Summary
ซีรีส์แนวคนรุ่นใหม่ VS คนรุ่นเก่าที่ใช้เรื่องราวในวงการข่าวมาเป็นแบ็คกราวด์หลักของเรื่อง ตัวเรื่องเน้นดราม่าปั่นสร้างเรื่องผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเอก ซึ่งก็ดูได้เพลินๆ ระดับหนึ่ง มีความคล้ายตัวเอกในซีรีส์ แอนนามายาลวง อยู่ไม่น้อย ซึ่งถ้าคนชอบแนวตัวเอกปั่นสร้างเรื่องร้ายๆ ดูโรคจิตๆ แบบนี้ก็ดูได้ แต่ก็ต้องบอกว่าการปั่นในเรื่องดูอ่อนไปไม่ค่อยน่าเชื่อว่าหลงกลนางกันไปได้อย่างไร
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- เรื่องราวแนวตัวเอกโกหกตอแหลปั่นดราม่าตลอดเวลา
- เล่าเรื่องในวงการข่าวคนหลังข่าว
- การใช้โซเชียลในทางร้ายๆ
- ปัญหาของคนเจนใหม่กับเก่ามาเจอกัน
- การเล่าเรื่องเปรียบตัวละครเหมือนสิงโตกับอีกาต่อสู้กัน
Cons
- เรื่องโกหกปั่นดราม่าในเรื่องนำเสนอแบบให้คนเชื่อง่ายเกินจริงไป
- เสนอมุมมองอคติเชิงลบกับคนรุ่นใหม่ล้วนๆ
As The Crow Flies ดั่งอีกาโผบิน ซีรีส์ตุรกี Netflix แนวดราม่าในวงการข่าว 8 ตอนจบที่เล่าเรื่องราวของ “อัสลึ” สาวนิเทศศาสตร์สื่อสารมวลชนที่จบมาใหม่ และต้องการก้าวขึ้นแทนนักข่าวสาว “ลาเล” ที่ทำรายการขุดคุ้ยข่าวบอกเล่าความจริงอย่างหนักแน่น อัสลึจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยึดตำแหน่งนี้จากเธอ
ตัวอย่าง As The Crow Flies
ซีรีส์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของคนรุ่นใหม่ที่มีปัญหากับ GEN เก่า ในที่นี้คือปัญหากับ GEN X ที่ยึดครองตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ ไว้จากฐานรากที่ปูมานาน และไม่ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาแทนที่พวกเขาได้ง่ายๆ เรื่องราวจึงมาในรูปแบบการสะท้อนปัญหาความอยากได้อยากมีหน้าตาในสังคม มีชื่อเสียงเงินทองไวๆ ของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นความฝัน แม้จะดูอคติไปบ้างแต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ตามที่เห็นเป็นข่าวการหลอกลวงสร้างภาพเศรษฐีอายุน้อยๆ อยู่บ่อยๆ ในยุคนี้
ซึ่งการที่ยุคนี้สามารถทำเรื่องอย่างนี้ได้ไวก็เป็นเพราะอำนาจของโซเชียลมีเดียที่คนใช้สามารถสร้างภาพหลอกตาคนได้ ในเรื่องนี้จึงเป็นการเล่าเรื่องแบบการปะทะกันของ 2 GEN ผ่านสื่อยุคเก่ากับใหม่ ในที่นี้คือโซเชียลมีเดีย VS รายการโทรทัศน์ ซึ่งตัวเอกอัสลึคือเด็กสาวรุ่นใหม่ทีทำช่ำชองการใช้โซเชียลมีเดียสร้างภาพปั่นข่าวชี้นำเล่นงานทางจิตวิทยากับคนในโลกโซเชียล เพื่อให้เกิดกระแสกดดันโจมตีไปยังตัวเอกลาเลที่เป็นนักข่าวรุ่นเก่าที่ตรงไปตรงมากับจรรยาบรรณ ทุกอย่างต้องนำเสนอบนข้อเท็จจริง มีหลักฐานประจักษ์ชัดถึงนำมาใช้ในรายการ ซึ่งบางครั้งก็ต้องขัดแย้งกับกระแสผู้คนในโลกโซเชียลอย่างหนัก ซึ่งนี่คือพ้อยท์หลักของเรื่องนี้ที่นำเสนอการใช้สื่อ 2 แบบต่อสู้กันไปมา แล้วให้ผู้ชมอย่างเราติดตามดูว่าผลลัพธ์สุดท้ายในแต่ละเคสเป็นยังไง และวิธีการของอัสลึจะทำให้เธอไต่เต้าขึ้นไปยังตำแหน่งที่ลาเลอยู่ได้หรือไม่
ตัวเรื่องยังนำเสนอโดยการใช้เสียงผู้บรรยายบอกเล่าเรื่องนี้แบบสารคดีสัตว์ป่า โดยเปรียบให้ลาเลกับผู้มีอำนาจในสถานีเป็นเหมือนสิงโตจ่าฝูงที่ครองตำแหน่งกันมานาน แล้วให้อัสลึเป็นอีกาที่มองหาโอกาสโจมตีสิงโตจากจุดที่มันมองไม่เห็น โดยใช้สถานการณ์ในเรื่องบอกเล่าการกระทำต่างๆ ของสิงโตที่เป็นเจ้าป่า รวมถึงถอดลักษณะนิสัยของสิงโตมาเทียบกับลาเล ในทำนองยิ่งสูงยิ่งหนาวสิงโตจ่าฝูงดูเหมือนมีอำนาจมากเป็นเจ้าป่า แต่ก็กลายเป็นชีวิตที่เสี่ยงอันตรายที่พลาดไม่ได้สักเรื่องด้วยเช่นกัน
ซีรีส์ยังนำเสนอแบ็คกราวน์ชีวิตของทีมงานข่าวที่เติบโตไต่เต้ากันขึ้นมาจนมีบทบาท และก็มีอดีตความรัก การทรยศหักหลัง ซึ่งกลายมาเป็นส่วนเสริมเรื่องราวการชิงอำนาจในสถานี กลายมาเป็นข่าวซุบซิบผ่านโซเชียลมีเดียที่ทำให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นที่สนใจของผู้คน และมีผลกระทบไปถึงหน้าที่การงานจริงด้วยเช่นกัน
การดำเนินเรื่องของซีรีส์ถือว่าเรื่อยๆ ไม่อืด แล้วก็มีความคล้ายเรื่อง แอนนามายาลวง ทั้งหน้าตาตัวแสดงที่คล้ายกันมากจนอาจจะทำให้คนเข้าใจผิด คาแรกเตอร์ลักษณะนิสัยก็โรคจิตพอๆ กัน เป็นคนที่พร้อมจะโกหกสร้างเรื่องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรื่องนี้ก็ดำเนินเรื่องที่เต็มไปด้วยคำโกหกของตัวเอกตลอดเวลา ปั่นดราม่าสร้างเรื่องไม่หยุดหย่อน ซึ่งก็ดูสนุกพอตัวกับวีรกรรมดราม่าต่างๆ ของนาง แต่อีกมุมก็รู้สึกว่าหลายเรื่องดูหลงเชื่อง่ายไป ทำให้ดูบทเรื่องนี้ค่อนข้างอ่อนจากความเป็นจริงมากโขอยู่ ซึ่งจริงๆ ก็คล้ายๆ แอนนาอยู่เหมือนกันที่เรื่องนำเสนอแบบนางโกหกตอแหลอะไรคนก็เชื่อ จนเป็นจุดอ่อนที่ให้เรื่องดูได้แค่ดราม่าเพลินๆ แต่ไม่ถึงกับอินในเรื่องราวของตัวเอกแบบนี้ครับ
นอกจากนี้ซีรีส์ยังดูเหมือนจ้องโจมตี Gen Y Z มากเกินไป ทำให้ตัวร้ายในเรื่องนี้เป็นแต่คนรุ่นใหม่ แล้วก็มีแนวคิดอคติเชิงลบแบบสุดกู่มากจนไม่เห็นมุมดีๆ อีกด้านเลย แม้จะมีตัวละครที่สำนึกผิดในตอนหลัง แต่เรื่องก็ไม่ได้นำเสนอในเชิงให้น้ำหนักว่าคนรุ่นใหม่ข้อดีอะไรมากเลย ซึ่งดูเป็นอคติที่ดับแคบของผู้สร้างมากไปเหมือนกัน (เอาเป็นว่าคนรุ่นใหม่ดูแล้วไม่ชอบแน่นอน)
เรื่องราวในซีรีส์จบแบบเคลียร์เรื่องราวหมด โดยไม่ต้องมีทิ้งเชื้อไว้ทำต่ออะไรอีก ซึ่งซีรีส์ตุรกีมักเป็นแบบนั้นเสมอ แม้ไม่ได้ขึ้นว่าลิมิเต็ดซีรีส์ก็ตามครับ ซึ่งรวมๆ แล้วก็เป็นซีรีส์ที่ดูเพลินๆ ได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับมีอะไรโดดเด่นหรือน่าจดจำมากครับ