รีวิวซีรีส์ AVATAR: THE LAST AIRBENDER 2024 (Netflix) อลังการแอ็กชั่น CG เนียนตาพร้อมดราม่าที่ลึกซึ้ง
AVATAR: THE LAST AIRBENDER
Summary
สรุปเป็นซีรีส์จาก Live-Action ที่เยี่ยมยอดมากๆ อันดับต้นๆ ของ Netflix ในตอนนี้เลย โดยการดัดแปลงแทบไม่ได้เปลี่ยนต้นฉบับไปเลย (ถ้ายังไม่ได้ดูต้นฉบับแนะนำว่าดูซีรีส์ไปเลยดีกว่า) เป็นการเล่าลำดับตามเรื่องเดิม มีสลับบางอย่างเล็กน้อย แต่เพิ่มรายละเอียดเสริมลงไปให้มิติของเรื่องสมบูรณ์ขึ้น โดยยังคงไว้ถึงหัวใจสำคัญในแนวดราม่าลึกของตัวละครครบถ้วน ฉากแอ็กชั่นเยอะและเว่อร์วังด้วยสกิลการต่อสู้ของแต่ละธาตุที่สูสีกันหมด ฉากในเรื่องสวยอลังมากโดยเป็น CG ที่เนียนตาแทบทั้งหมด ตัวนักแสดงเป็นเอเชีย-อาหรับ ที่อาจจะไม่คุ้นตามาก่อน แต่ก็แคสมาตรงและแสดงได้ดีมีเสน่ห์มาก โดยรวมนี่คือห้ามพลาด แม้อาจจะรู้สึกว่าของตัวละครแปลกๆ ดูขัดตาถ้าเป็นคนดูอนิเมะมังงะญี่ปุ่นมาตลอด แต่ก็ชวนให้ลองเปิดใจดูกัน เพราะนี่คืองานขึ้นหิ้งของอเมริกาที่ดีงามมากๆ ไม่แพ้ฝั่งญี่ปุ่นเลยครับ
Overall
9/10User Review
( vote)Pros
- แอ็กชั่นแฟนตาซีในโลกสไตล์เอเชีย-อาหรับ จากผู้สร้างอเมริกัน
- ดราม่าลึกซึ้งของทุกตัวละคร
- มีส่วนเล่าเรื่องเพิ่มเติมเสริมแอนิเมชั่น
- ฉากแอ็กชั่นเยอะอลังมาก
- งาน CG สวยทุนสูง
- แคสนักแสดงมาได้เหมือนและเล่นได้ดีมาก
- มีพากย์ไทย
Cons
- บางตอนจบแบบรวบรัดไป
AVATAR: THE LAST AIRBENDER เณรน้อยเจ้าอภินิหาร ซีรีส์ Original Netflix แนวแอ็กชั่นแฟนตาซี 8 ตอนจบมีพากย์ไทย เรื่องราวของเด็กหนุ่มเผ่าลมคนสุดท้ายของโลก และเขาคือผู้อวตารที่เป็นตำนานกลับชาติมาเกิดที่หายไป 100 ปีหลังจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธ์จากเผ่าไฟ ซึ่งเขาต้องแบกรับชะตากรรมนี้ทั้งๆ ที่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น…
รีวิวซีรีส์ AVATAR: THE LAST AIRBENDER Netflix (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์ที่สร้างมาจากแอนิเมชั่นขึ้นหิ้งของอเมริกาตั้งแต่ปี 2005-2008 (ดูได้ในเน็ตฟลิกซ์มี 3 ซีซั่น) ซึ่งได้นำมาสร้างเป็นหนังในปี 2010 ของผู้กำกับ M. Night Shyamalan แต่ก็เจ๊งยับทั้งคำวิจารณ์และรายได้ กลายเป็นตราบาปของเรื่องนี้ที่คงไม่มีใครกล้าขุดกลับมาทำเป็น Live Action อีก จนกระทั่งเจ้าแห่งการดัดแปลง Live Action สตรีมมิ่งอย่าง Netflix เอากลับมาทำใหม่ ซึ่งก่อนนี้ก็คือได้กระแสดีมาตั้งแต่วันพีช จึงทำให้เรื่องนี้ดูมีความกู้ชีพกลับมาได้ แล้วก็ต้องบอกว่านี่เป็นผลงาน Live Action ที่ภาพรวมทุกจุดลงตัวยิ่งกว่าวันพีชและดีอันดับต้นๆ ของการดัดแปลงในสตรีมมิ่งนี้เลย
ขอเกริ่นก่อนว่าถึงเรื่องนี้จะขึ้นหิ้งของอเมริกา แต่ในไทยเองก็ไม่ได้นิยมมากเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่นี่คือดราก้อนบอลของฝรั่งเลยด้วยซ้ำ ช่องทางการดูก็ส่วนหนึ่ง แต่ประเด็นหลักคงเป็นการใช้ตัวเอกเป็นเณรน้อยมีลูกศรพาดหัวที่ดูพิลึกๆ ทำให้ผู้ชมชาวไทยไม่รู้สึกคลิ๊กตั้งแต่แรก (ผู้เขียนเองก็คนหนึ่ง) เมื่อเทียบกับตัวละครมังงะแบบญี่ปุ่นแบบโกคู เบจิต้า ยูยูฮากุโช พวกนี้ที่เราเติบโตมากับมัน แต่ถ้าเปิดใจลองรับชมแล้วจะเข้าใจเลยว่าผู้สร้างตั้งใจให้ตัวเอกเป็นเณรน้อยที่ซุกซน แต่ต้องแบกรักความรับผิดชอบระดับโลก แถมยังดันโดนแช่แข็งเกิดผิดยุคกลับมาใน 100 ปีหลังจากเผ่าไฟตัวร้ายทำสงครามกวาดล้างโลกไปแล้ว ซึ่งทำให้ตัวละครนี้มีปมในใจลึก แต่ก็ยังติดความเป็นเด็กและใช้ความคิดจากมุมมองเด็กมาแก้ปัญหาผู้ใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เด็กดูก็จริง แต่เนื้อหากลับลึกซึ้งมากกว่านั้นหลายเท่าจนผู้ใหญ่เองก็ต้องอึ้งเหมือนกัน แต่ผู้เขียนจะไม่แนะนำให้ไปดูแอนิเมชั่นต้นฉบับก่อน เพราะด้วยความเก่าของภาพที่แม้ลง Netflix ก็ยังหยาบมาก และเพื่อความสนุกในการรับชมซีรีส์ที่ไม่ต้องโดนสปอยล์ก่อนด้วยเช่นกัน
เนื้อเรื่องในซีรีส์ค่อนข้างตรงกับต้นฉบับ แต่มีการดัดแปลงบางอย่างเพิ่มเข้าไป อย่างการเล่าเรื่องในอดีตของสงครามนี้ตั้งแต่แรก ซึ่งรวมถึงจุดกำเนิดบ้านเกิดของ แอง เณรน้อยที่จะถูกพลังของตัวเองจำศีลไว้ 100 ปี (ในแอนิเมชั่นคือเปิดมาเป็นแองติดในน้ำแข็งเลย) รวมถึงการแฟลชแบ็คกลับไปเล่าอดีตของแต่ละตัวละครสำคัญทั้งหมดในจังหวะที่ลงตัวมากๆ ไปพร้อมกับการเดินเรื่องปัจจุบันไปข้างหน้า ทำให้เนื้อเรื่องเดิมที่ขาดนิดหน่อยได้รับการเติมเต็มให้ดียิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงยังเพิ่มฉากสำคัญแบบมีไคลแม็กซ์ทุกตอน ผู้ชมจะได้เห็นอะไรเว่อร์ๆ อย่างตอน 2 ที่ไม่มีในต้นฉบับซึ่งอลังการมาก แม้จะมีการตัดดัดแปลงบางอย่างออกไปบ้าง แต่ก็เป็นส่วนที่ไม่สำคัญกับเนื้อเรื่องใหม่ บางอย่างผู้สร้างอาจจะเก็บไว้ใช้ภายหลังด้วย เพราะเนื้อเรื่องมีการสลับลำดับบางตอนใหม่นิดหน่อย แต่โดยรวมก็ยังเส้นเรื่องหลักตรงตามต้นฉบับอยู่ดีครับ ซึ่งมันคือเดอะเบสไม่ควรไปเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว คงเพราะได้สตูดิโอเจ้าของเรื่องอย่าง Nickelodeon Productions มาร่วมสร้างเองด้วย (เครดิตร่วมมี Rideback กับ Avatar Studios)
แต่ถึงนี่จะเป็นการเล่าเรื่องแบบแฟนตาซีผจญภัยของเด็ก แต่เนื้อหาคือสงคราม 100 ปี ที่มีการเข่นฆ่ากันอยู่ตลอดเรื่อง ซีรีส์ก็ยกระดับเรตขึ้นมาจาก 10+ เป็น 13+ แต่ก็ไม่ได้มีฉากฆ่าติดเรต ไม่มีฉากเลือดพุ่ง แต่ในความโหดร้ายของเรื่องก็มากอยู่จากการไล่ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ของเผ่าไฟ ซึ่งแองคือคนเผ่าลมคนสุดท้ายของโลก โดยมีคาทาร่ากับซ็อกกาที่เป็นเผ่าน้ำทางใต้ที่ถูกฆ่ากวาดล้างเกือบหมดเผ่าเช่นกัน โดยมีฉากฆ่าโหดเป็นแฟลชแบ็คให้ดูภายหลัง และยังจักรพรรดิไฟที่โหดเหี้ยมกับการเข่นฆ่ามาก แม้กับ “ซูโก” ลูกชายของตนเองที่ถูกเนรเทศให้มาตามหาผู้อวตารที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน และทำร้ายใบหน้าเขาให้มีแผลเป็น เพียงเพราะขัดใจเขาบางอย่างเท่านั้น ซึ่งเนื้อหากับฉากพวกนี้คือยืนยันเลยว่านี่ไม่ใช่ซีรีส์ให้เด็กๆ ดูอย่างที่อาจจะเข้าใจผิดกันจากหน้าปกต้นฉบับ
จุดเด่นที่ทำให้เรื่องนี้ขึ้นหิ้งจริงๆ ตั้งแต่แอนิเมชั่นก็คือการเล่าเรื่องดราม่าของตัวละครที่ลุ่มลึกมาก (ขนาดที่ดราก้อนบอลกลายเป็นเด็กน้อยมากไปเลย) ตัวละครหลักในเรื่องนี้แทบทุกคนมีปมร้าวลึกอยู่ในใจที่ไม่อาจจะบอกได้ว่า นี่คือคนดีหรือคนไม่ดี หรือการกระทำที่เห็นนั้นชั่วร้ายหรือถูกต้องหรือไม่ แม้แต่การกระทำของแองที่มีความคิดแบบเด็กๆ ก็มีทั้งความผิดพลาดและการมองโลกที่แตกต่างไปทำให้มีทางออก โดยเฉพาะตัวละครร่างอวตารอดีตชาติก่อนๆ ที่แองต้องย้อนกลับไปรบกวนปรึกษาหาคำชี้แนะจากพวกเขา ซึ่งแต่ละคนก็มีแนวคิดของตัวเอง แถมยังขัดแย้งกันเองแม้จะเป็นผู้อวตารเหมือนกัน แต่ก็มีจุดร่วมที่เห็นตรงกันบางอย่าง ซึ่งเรื่องไม่ได้บอกว่าใครถูกหรือผิด และให้แองค้นหาตัวเองกับเพื่อนๆ หลอมรวมสิ่งที่ควรเป็นในปัจจุบัน โดยมีเรื่องราวในอดีตเป็นที่ปรึกษาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งแม้แต่ตัวร้ายของเรื่องเผ่าไฟอย่างซูโกกับอา ก็ยังมีความลึกในเรื่องความดีความชั่วตามหลักการเดินทางชีวิตที่ซื่อตรงกับกฏทหาร แต่สิ่งนั้นทำร้ายโลกหรือกับตัวเขาเองอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว โดยมีอาที่ผ่านโลกมามากจะคอยเตือนกับขัดเกลานิสัยของเขาให้ดีขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ชมได้เห็นอีกด้านของสงครามที่แม้จะเป็นฝ่ายตัวร้ายก็มีเหตุผลและความจำเป็นลึกๆ ที่ผู้ชมก็ต้องรู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละครเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้มีความเป็น Coming of Age สูงมาก ทำให้ตัวละครได้ก้าวพ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่กันทุกคน
สิ่งที่งานซีรีส์เรื่องนี้ทำได้ยอดเยี่ยมมากคือแทบทั้งเรื่องเต็มไปด้วย CG อลังการในงบที่ใช้ไม่มากเพียงตอนละ 15 ล้านเหรียญ (วันพีชตอนละ 18 ล้านเหรียญ) ซึ่งแทบทั้งเรื่องคือฉากโลเกชั่นเมืองแฟนตาซีในที่ต่างๆ อย่างเมืองลอยฟ้า เมืองปฐพีที่เป็นป้อมปราการยักษ์ เมืองน้ำแข็ง โลกวิญญาณ เรือรบของเผ่าไฟ ควายไบซันบินได้ สัตว์ประหลาดในเรื่องที่ขนาดยักษ์ทั้งหมด แล้วก็พวกสกิลการต่อสู้ด้วยวิชาธาตุแบบต่างๆ ที่หลากหลายมาก ไม่มีธาตุไหนชนะอีกธาตุได้ง่ายๆ มีเทคนิคสกิลส่วนตัวแตกต่างกัน ทำให้ฉากต่อสู้ในเรื่องสู้กันแบสูสีเว่อร์วังอลังการแทบทุกครั้ง โดยที่พลังของแองในเรื่องก็ยังมีแค่ลม แต่ก็มีฉากที่ใช้พลังอวตาร 4 ธาตุในตอน 2 ที่อลังการสุดๆ ระดับซูเปอร์แมนลงมาถล่มตัวร้ายแบบนั้นเลย
ในส่วนของแคสติ้งตัวละครคือความยากเลยเพราะเรื่องนี้ตัวละครทั้งเรื่องคือ เอเชีย-อาหรับ แต่เรื่องนี้คืองานสร้างของอเมริกา ทำให้ดารานักแสดงในเรื่องนี้ค่อนข้างใหม่กับผู้ชมแทบทั้งหมด (ผู้เขียนมีจำได้จริงๆ มีคนเดียวคือ Daniel Dae Kim ที่แสดงเป็นจักพรรดิไฟ) แต่เรื่องก็คัดนักแสดงได้เยี่ยมยอดมากๆ ของแนว Live Action เลย เพราะเหมือนมากทั้งหน้าตาและเครื่องแต่งกายที่ใช้ในเรื่องก็แทบไม่ถูกปรับเปลี่ยนไปอีก (มีดีเทลเยอะขึ้นด้วย) ซึ่งนอกจาก Gordon Cormier ที่มารับบทแองได้อย่างเหมือนสุดๆ ติดแค่อาจะดูสูงไปนิดๆ (ตัวจริงอายุ 14 ปีก็หวังว่าจะเร่งสร้างภาคต่อไวๆ ไม่ให้โตเกินบทได้ทัน) ผู้เขียนชอบพี่น้องคาทาร่ากับซ็อกกามาก ซึ่งทั้งคู่คือบทตัวรองที่เด่นสูสีไม่แพ้กันและถ่ายทอดเสน่ห์ของตัวละครทั้งต้นฉบับและแบบของตัวเองได้ดีสุดๆ โดยเฉพาะน้อง Kiawentiio ที่เล่นเป็นคาทาร่านี่มีเสน่ห์แบบขโมยซีนมากๆ ส่วนบทตัวร้ายซูโกกับอา (Dallas Liu กับ Paul Sun-Hyung Le) ก็เล่นได้ลึกซึ้งผูกพันธ์กินใจ ทำให้เชื่อมิตรภาพความสัมพันธ์นี้ได้จริงๆ
จุดด้อยของซีรีส์ในมุมผู้เขียนคือการนำมาดัดแปลงเป็นซีรีส์แบบที่พยายามขมวดจบทุกอย่างในตอนเดียว พอไปตอนใหม่ก็เริ่มที่ใหม่ บางครั้งเรื่องยังสามารถทำให้มีรายละเอียดต่อได้ แต่ก็ต้องมาโดนตัดจบตอนง่ายๆ อย่างตอนกลับไปโลกวิญญาณเพื่อช่วยเพื่อนที่จบแบบห้วนๆ ไม่มีคำพูดอธิบายอะไรเลย แต่ก็เข้าใจข้อจำกัดตรงนี้ได้ หรือตอนจบที่การตัดสินใจของตัวเอกแองมีแปลกๆ นิดๆ ว่าทำไปทำไม แต่โดยรวมพวกนี้ก็ไม่ถึงกับทำให้เรื่องมีปัญหาเพราะเป็นการสะดุดเล็กๆ ในภาพรวมที่การเดินเรื่องทำได้ดีมากอยู่แล้วครับ
สรุปเป็นซีรีส์จาก Live-Action ที่เยี่ยมยอดมากๆ อันดับต้นๆ ของ Netflix ในตอนนี้เลย โดยการดัดแปลงแทบไม่ได้เปลี่ยนต้นฉบับไปเลย (ถ้ายังไม่ได้ดูต้นฉบับแนะนำว่าดูซีรีส์ไปเลยดีกว่า) เป็นการเล่าลำดับตามเรื่องเดิม มีสลับบางอย่างเล็กน้อย แต่เพิ่มรายละเอียดเสริมลงไปให้มิติของเรื่องสมบูรณ์ขึ้น โดยยังคงไว้ถึงหัวใจสำคัญในแนวดราม่าลึกของตัวละครครบถ้วน ฉากแอ็กชั่นเยอะและเว่อร์วังด้วยสกิลการต่อสู้ของแต่ละธาตุที่สูสีกันหมด ฉากในเรื่องสวยอลังมากโดยเป็น CG ที่เนียนตาแทบทั้งหมด ตัวนักแสดงเป็นเอเชีย-อาหรับ ที่อาจจะไม่คุ้นตามาก่อน แต่ก็แคสมาตรงและแสดงได้ดีมีเสน่ห์มาก โดยรวมนี่คือห้ามพลาด แม้อาจจะรู้สึกว่าของตัวละครแปลกๆ ดูขัดตาถ้าเป็นคนดูอนิเมะมังงะญี่ปุ่นมาตลอด แต่ก็ชวนให้ลองเปิดใจดูกัน เพราะนี่คืองานขึ้นหิ้งของอเมริกาที่ดีงามมากๆ ไม่แพ้ฝั่งญี่ปุ่นเลยครับ