รีวิว Betaal (กองทัพเวตาล) ซีรีส์กองทัพผีดิบอินเดียที่ฉีกขนบซอมบี้หลายอย่างได้อย่างเข้าท่า!
Betaal
สรุป
ซีรีส์ซอมบี้ผีดิบจากอินเดียที่มีความแปลกใหม่หลายอย่างในตัว ผสมผสานเรื่องผีสาง ตำนาน ความเชื่อ ประวัติศาสตร์อินเดียเข้าด้วยกัน ตัวโปรดักชั่นของเรื่องถือว่าทำได้ดีพอตัว เมคอัพผีดิบแม้จะไม่เนี๊ยบเท่ากับ Kingdom แต่ก็ไม่ได้แย่แน่นอน แต่ตัวเรื่องเหมือนถูกทำออกมาด้วยงบที่จำกัด จึงพยายามบีบให้เรื่องเกิดในที่ปิดยาวนานไปหน่อย รวมถึงมีแค่ 4 ตอนจบ แต่ในตอนจบของเรื่องเราจะได้เห็นความทะเยอทะยานของทีมสร้างชุดนี้ที่ซ่อนอยู่ ถ้ามีโอกาสได้ทำต่อซีซั่น 2 เรื่องนี้จะน่าจับตามองในระดับโลกไม่แพ้ Kingdom ของเกาหลีแน่นอนครับ
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- ความสามารถใหม่ๆ ของผีดิบในเรื่องที่ฉีกออกไปได้อีก แล้วก็เข้ากับสไตล์อินเดีย
- ปมในจิตใจตัวละครหลักที่ผูกโยงเข้ากับไคลแม็กซ์ของเรื่องได้ดี
- ความแหวะ สยองขวัญ กดดันแบบแนวซอมบี้มีครบ
- เป็นหนังแอ็กชั่นสงครามยิงกันขนาดย่อมๆ
- ผูกเรื่องประวัติศาสตร์อินเดียเข้ากับเรื่องราวได้น่าสนใจ
- ตอนจบที่เปิดเรื่องราวไปต่อได้อย่างน่าทึ่ง
Cons
- บทไม่ส่ง ดราม่าน้อย นักแสดงไม่โดดเด่น จนทำให้ขาดอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครในเรื่อง
- เรื่อง 4 ตอนจบสั้นไปหน่อยสำหรับซีรีส์
- จุดอ่อนของผีดิบในช่วงแรกไม่ค่อยเมคเซนส์ (ใช้แค่ตอนแรก ตอนหลังไม่ได้เอามาใช้)
- เมคอัพยังไม่เนี๊ยบสุดๆ เท่า Kingdom
- ใช้มุมกล้องหลบฉากฆ่าผีดิบแบบโหดๆ หลายฉาก (พวกฉากหั่นศพ)
Betaal กองทัพเวตาล ซีรีส์แนวสยองขวัญจาก Netflix อินเดีย เรื่องราวของหน่วยทหารของรัฐบาลอินเดียที่ถูกส่งมาเคลียร์พื้นที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งเพื่อสร้างถนนตัดผ่านหมู่บ้านและภูเขา แต่กลับไปปลดปล่อยกองทัพผีดิบบริติช
ตัวอย่าง Betaal กองทัพเวตาล
บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาของเรื่อง (ยกเว้นความสามารถของผีดิบ)
ซีรีส์ซอมบี้ผีดิบจากอินเดีย ที่ต้องบอกว่ามีกลิ่นอายความเป็น Kingdom ซีรีส์ซอมบี้เกาหลีเรื่องดังของ Netflix เจือปนอยู่บ้างระหว่างที่ดู ในยุคที่แนวหนังซอมบี้เกลื่อนตลาดจะต่างแค่ยุคสมัยกับที่มาของการเกิดซอมบี้ แต่ส่วนอื่นๆ เรื่องการติดเชื้อก็จะคงไว้เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ขุดเอาผีดิบยุคโบราณให้ฟื้นคืนชีพมาในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้มาตัวเปล่าแค่ไล่กัดคนเหมือนเรื่องอื่นทั่วไป แต่มีการประยุกต์เอาความเป็นท้องถิ่นอินเดียกับเรื่องผีสางเข้ามารวมอยู่ด้วยกันในชื่อ “เวตาล” ปีศาจของอินเดียที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง และก็ดึงเอาลักษณะบางอย่างของเรื่องเล่านี้นำมาประยุกต์ใช้ในการเดินเรื่องได้อย่างมีเอกลักษณ์เข้ากับสไตล์อินเดียมาก
ต้องทำความเข้าใจแบบย่อๆ ก่อนเลยว่าเรื่องดั้งเดิม เวตาลเป็น อมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายศพมนุษย์ผสมค้างคาว ซึ่งห้อยหัวอยู่กับต้นอโศก และเมื่อถูกจับมาก็จะพยายามล่อลวงด้วยเรื่องราวต่างๆ ให้ตนได้รับการปล่อยตัว (อ่านเรื่องเต็มได้จากวิกิพีเดีย) ซึ่งในเรื่องนี้ผีดิบ (ขอใช้คำนี้เพราะมีลักษณะหลายอย่างมากกว่าซอมบี้ปกติ) ก็มีความสามารถบางอย่างที่ถอดแบบมาจากเวตาล และแตกต่างจากที่เคยดูเรื่องอื่นมากมาย อย่างเช่นการปีนป่ายเกาะเพดานต่างๆ ได้ เหมือนพวกหนังผีฝรั่งอย่าง The Exorcist ที่เป็นต้นแบบผีเกาะเพดานค่อยๆ คืบคลานพร้อมกับบิดหัวกลับมามองเหยื่อ หรือการที่ผีดิบยังพูดคุยเหมือนคนปกติได้ แล้วพยายามล่อลวงคนที่ยังมีชีวิตอยู่
และไม่ใช่แค่การหยิบมาใช้เฉยๆ แต่เรื่องได้ผูกโยงปมสำคัญไว้กับสิ่งนี้ด้วย โดยให้ตัวละครหลัก “สิโรหิ” ที่เป็นหัวหน้าหน่วยมีปมในอดีตบางอย่างผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่เริ่มต้นตอนแรก และก็ค่อยๆ เฉลยมาทีละนิดๆ ผ่านการล่อลวงของตัวร้ายในเรื่องที่มาในรูปแบบต่างๆ เป็นการทดสอบจิตใจว่าจะทำตามคำสั่งหรือไม่ ในฐานะที่เขาเป็นทหารที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามยศชั้นทางการอยู่แล้ว ซึ่งจุดนี้แหละคือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ที่ทำให้ตอนจบมีความแตกต่างจากหนังผีดิบหรือซอมบี้เรื่องอื่นๆ ไปเลย แม้ว่าอาจจะไม่ได้เซอร์ไพรส์มากนัก แต่ก็ขมวดปมในจิตใจเข้ากับไคลแม็กซ์ของเรื่องได้ดี แถมยังส่งผลกระทบปมตรงนี้ให้กับตัวละครอื่น เพื่อเดินเรื่องในซีซั่นต่อไปได้อีก
ที่เรียกว่าครีเอทใหม่เลยก็คือการที่ผีดิบในเรื่องถูกควบรวมเข้ากับเรื่องผีสาง ปีศาจ ประวัติศาสตร์อินเดียช่วง “บริติชราช” ที่ถูกอังกฤษบุกยึดปกครองปล้นหลายสิ่งหลายอย่างไป ทำให้ผีดิบในเรื่องมีที่มาความแค้นสืบทอดจากยุคสมัยนั้น ประมาณว่ายังบ้าสงครามอยู่ และก็เป็นกองพันใส่ชุดทหารอังกฤษ มีการเตรียมขบวนรบ ใช้ปืนดาบศิลาได้ (อันนี้เซอไพรส์สุด) บุกจู่โจมตามคำสั่งหัวหน้าได้ ไม่ใช่ผีดิบแบบเอะอะกัดไปทั่วแบบเรื่องอื่นๆ แต่แรกๆ อาจจะดูแล้วตลกๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เคยเห็นหนังแนวผีดิบซอมบี้ถูกนำมาผสมกับพวกแนวผีสางแต่งชุดจากในประวัติศาสตร์อะไรแบบนี้
อีกอย่างคือผีดิบในเรื่องนี้ก็ไม่ได้ตายง่ายๆ แบบแค่ยิงหัวก็จอดด้วย ต้องสับเป็นชิ้นๆ เลยถึงจะหยุด แต่ด้วยความที่เป็นกึ่งผีสางกับเป็นซีรีส์อินเดีย ผู้สร้างเลยใส่จุดอ่อนประหลาดๆ แบบแนวไล่ผีที่เหมือนไทยๆ เข้าไปด้วย และก็ดันไม่อธิบายให้ครบถ้วนว่าทำไมผีดิบพวกนี้ถึงแพ้สิ่งนี้ แม้เราจะพอเข้าใจสรรพคุณของที่ว่าอยู่บ้าง ตามสูตรว่าพวกผีกลัว แต่ก็ยังดูไม่เมคเซนส์สักเท่าไหร่ ยังดีที่ผู้สร้างไม่ได้เอาจุดอ่อนตรงนี้มาเล่นแบบจริงจังในตอนหลัง ทำให้พอลืมๆ ในจุดนี้ไปได้อยู่ครับ
ตัวหนังมีฉากสยองแบบแหวะๆ กับฉากหลอนแบบหนังผีรวมกัน รวมถึงอารมณ์จนตรอกกดดันของตัวละคร การขัดแย้งกันเองในทีม มีฉากติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมซอมบี้แบบปกติทั่วไปครบถ้วน และก็มีความเป็นหนังแอ็กชั่นสงครามยิงกระหน่ำขนาดย่อมๆ ด้วย (เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นทหารแทบทั้งหมด) โดยให้เรื่องเกิดในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ฝูงผีดิบล้อมไว้ทุกด้าน และต้องหาทางเอาชีวิตรอดออกไปให้ได้ภายในเวลาคืนเดียว แต่ปัญหาของเรื่องก็คือ เราไม่ค่อยอินกับตัวละครในเรื่องได้สักเท่าไหร่ (นอกจากตัวหลัก “สิโรหิ” ที่มีบทบาทมากที่สุด) ด้วยความที่เรื่องมีแค่ 4 ตอนจบ แทบไม่มีเวลามาบิ้วดราม่าผูกพันอะไรได้เลย ตัวละครก็ตายเป็นว่าเล่นเรื่อยๆ จนตอนท้ายกลุ่มตัวละครที่รอดอาจจะขัดใจคนดูอยู่บ้าง นักแสดงก็ไม่ได้เล่นดีหรือมีคาแรกเตอร์ถูกใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดแย่ แค่เปรียบเทียบกับเรื่องที่ผ่านๆ มาเรื่องนี้ไม่ส่งอารมณ์ลุ้นเชียร์ตัวละครให้รอดหรือเกลียดแบบแช่งตายตามสูตรหนังแนวนี้ได้สักเท่าไหร่
ตัวโปรดักชั่นของเรื่องถือว่าทำได้ดีพอตัว เมคอัพผีดิบแม้จะไม่เนี๊ยบเท่ากับ Kingdom แต่ก็ไม่ได้แย่แน่นอน แต่ตัวเรื่องเหมือนถูกทำออกมาทดลองด้วยงบที่จำกัด จึงพยายามบีบให้เรื่องเกิดขึ้นที่คฤหาสน์ยาวนานไปหน่อย ไม่ค่อยมีฉากโลเกชั่นใหญ่ๆ ด้านนอกตามแบบหนังซอมบี้เรื่องอื่นๆ แต่ในตอนจบของเรื่องเราจะได้เห็นความทะเยอทะยานของทีมสร้างชุดนี้ที่ซ่อนอยู่ เรียกว่าที่ผ่านมาในเรื่องจิ๊บๆ ไปเลย ถ้าได้ทำต่อและทุนมากขึ้นตามที่ขยายขอบเขตเรื่องไว้ในตอนจบ นี่จะเป็นซีรีส์ซอมบี้อินเดียที่น่าจับตามองระดับโลกไม่แพ้ Kingdom ของเกาหลีแน่นอนครับ