playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Beverly Hills Cop: Axel F โปลิศจับตำรวจ หนัง 40 ปีก่อนที่ Netflix คืนชีพให้ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ได้อีกครั้ง

Beverly Hills Cop: Axel F

Summary

หนังสนุกด้วยการคืนชีพบท เอ็กเซล โฟลีย์ ของ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ที่ทำได้ดีมากกับการกลับมาหลังผ่านไป 30 ปี ตัวหนังสนุกด้วยลีลาการแสดงหน้าตาโม้ๆ กวนๆ ของเขาโดยเฉพาะ ทั้งๆ ที่เขาก็อายุ 63 ปีแล้วแต่ยังเล่นได้สดใสลื่นปรื๊ดจนดูอายุจริงไม่ออกเลย โดยมีฉากแอ็กชั่นกลางเบเวอร์ลีฮิลส์สุดหรูที่ยังหาทางเสกฉากแอ็กชั่นตลกแปลกๆ ขึ้นมาได้ ตัวละครเดิมก็กลับมาครบ พร้อมด้วยตัวนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง Joseph Gordon-Levitt ในบทคู่หูยุคใหม่ที่ไปกันได้ดีทั้งฉากแอ็กชั่นแย่งซีนกับฉากตลกเพี้ยนๆ รับส่งต่อกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่าเรื่องก็ดูจะไม่แคร์ผู้ชมที่ไม่เคยดูมาก่อนเลยเพราะไม่มีการรื้อฟื้นเล่าอดีตอะไรทั้งนั้น ซึ่งผู้ชมที่ไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้น่าจะมีสะดุดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาขัดขวางความสนุกแบบง่ายๆ ของเรื่องนี้แต่อย่างใดครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • การกลับมาในบทสร้างชื่อของ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ 
  • รวมนักแสดงเก่ากลับมาครบ
  • เพิ่มตัวละครใหม่ที่เข้ากันได้ดี
  • ฉากแอ็กชั่นโม้ๆ ในเมืองเบเวอร์ลีฮิลส์
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • บทธรรมดาเชยๆ มาก
  • ไม่มีการอธิบายปูมหลังตัวละครให้ผู้ชมเข้าใจ
  • พาร์ทความสัมพันธ์ลูกสาวค้างคาไว้

Beverly Hills Cop: Axel F โปลิศจับตำรวจ: เอ็กเซล เอฟ ภาพยนตร์ Original Netflix แนวแอ็กชั่นตลก นักสืบเอ็กเซล โฟลีย์ (เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่) กลับมาอีกครั้งในเบเวอร์ลีฮิลส์ หลังจากที่ชีวิตลูกสาวเขาถูกคุกคาม เธอ (เทย์เลอร์ เพจ) และโฟลีย์ รวมทีมกับคู่หูคนใหม่ (โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์) ร่วมด้วยเพื่อนเก่าอย่างบิลลี่ โรสวูด (จัดจ์ ไรน์โฮลด์) และจอห์น แทกการ์ท (จอห์น แอชตัน) เพื่อสร้างความกดดันและเปิดโปงเรื่องสมคบคิดเบื้องหลัง
Beverly Hills Cop: Axel F (2024) on IMDb

 

รีวิว Beverly Hills Cop: Axel F โปลิศจับตำรวจ: เอ็กเซล เอฟ

หนังแอ็กชั่นตลกผิวสีเรื่องดังที่สร้าง เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ให้เป็นที่รู้จักเมื่อ 40 ปีที่แล้วกลับมาอีกครั้ง (ภาคแรกปี 1984 ภาค 3 ปี 1994) ซึ่งแน่นอนว่ามันเก่าสุดๆ จนคนรุ่นหลังไม่น่ารู้จักหรือเคยดูด้วยซ้ำ  แม้แต่ผู้เขียนก็จำได้แค่เคยดูตอนเด็กมากๆ แล้วก็ลืมไปหมดเกลี้ยงแล้ว แต่ที่ยังจำได้ดีคือพระเอกเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ซึ่งจริงๆ เขายังเล่นหนังต่อเนื่องมาหลายเรื่องจนถึงปัจุบัน ด้วยวัย 63 ปี ใน Netflix ก็มีเรื่อง Dolemite Is My Name ปี 2019 ที่คะแนนรีวิวสื่อกับผู้ชมในอเมริกาถือว่าดีมาก แต่ในไทยก็ไม่ได้รับความสนใจ และไม่มีผลงานไหนทำให้เขาเป็นจดจำได้อีกเลย การกลับมาทำภาคต่อตรงๆ ด้วยการรวมนักแสดงเก่ากลับมาทั้งหมด น่าจะทำให้เขากลับมามีชื่อเสียงได้อีกครั้งเหมือนกันครับ

ด้วยความที่หนังรวมดาราเก่ากลับมาหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นปัญหาแน่กับผู้ชมรุ่นหลังที่ไม่เคยดูมาก่อน แม้แต่ผู้เขียนเองก็ด้วยที่ลืมไปหมดแล้ว หนังตั้งใจมองข้ามผู้กลุ่มนี้ไปเลย เพราะไม่มีการอธิบายเรื่องเลยว่าพระเอกเป็นใคร ตำรวจคู่หูเก่าเป็นใคร ลูกสาวพระเอกมาตอนไหน หรือแม้แต่การเข้ามายุ่งกับเบเวอร์ลีฮิลส์ได้ยังไงทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตำรวจท้องที่นี้ หนังตัดการอธิบายทุกอย่างออกไปหมดเกลี้ยง เหมือนตั้งใจเสิร์ฟเรื่องนี้ให้กับแฟนๆ ผู้ชมรุ่นเก่าแท้ๆ โดยเฉพาะในอเมริกาที่น่าจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลยเพราะชื่อเสียงของ  เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ในเรื่องนี้เหมือนเป็นตำนานนักแสดงยุคบุกเบิกคนผิวดำก่อนรุ่นหลังๆ จะตามมาครับ

แต่ถึงหนังจะไม่เล่าปูมหลัง การดำเนินกลับแทบไม่เป็นปัญหาอะไรเลย เพราะนี่คือพล็อตเรื่องเบสิคสตอรี่หนังแอ็กชั่นที่ยุคหลังๆ ก็ยังนำมาใช้กันอยู่ตลอด ด้วยบทตำรวจดีที่บ้าระห่ำทำอะไรนอกกฏ แต่ต้องไปพบเจอตัวร้ายที่เป็นฝ่ายตำรวจด้วยกัน ซึ่งพล็อตเรื่องไม่มีความสดใหม่อะไรทั้งสิ้นเลยสักนิด และก็คงเป็นสิ่งที่เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ต้องการอีกด้วย เพราะนี่คือการพาผู้ชมไปพบกับความสนุกแบบดั้งเดิมแท้ๆ ของฉากแอ็กชั่นที่โม้เหม็นในขอบเขตที่ว่าต้องเกิดในเบเวอร์ลีฮิลส์ ซึ่งก็คือย่านคนรวยดารานักแสดงดังมารวมตัวกันซื้อบ้านที่นี่ หนังเล่นกับฉากตัวละครหรูรวยมาเป็นคนธรรมดาที่ต้องมาเจอกับการไล่ล่าแบบเถื่อนๆ กลางเมือง อย่างไล่ยิงกันกลางถนนกลางวันแสกๆ ขับฮอไล่บินกวาดถนนในย่านนี้ หรือฉากการเข้าไปบุกร้านหรูหราแปลกๆ ซึ่งหนังใส่ฉากพวกนี้มาได้ลงล็อกตามจังหวะได้เป็นอย่างดี โดยมีเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ในบทตำรวจกวนๆ กับทุกอย่างที่ทำลงไปแบบเอาตัวรอดเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างมุกแถว่าตัวเองเป็นคนอื่นต่อหน้าฝ่ายตัวร้ายที่กำลังงงๆ ว่าหมอนี่คือใคร ถูกหยิบมาใช้บ่อยมาก และเราก็ฮาไปกับมุกนี้ซ้ำได้อยู่เรื่อยเพราะเสน่ห์การเล่นลีลาสีหน้าที่กวนโอ๊ยของเขามากๆ (แม้จะไม่น่าเชื่อตลอดว่าคนร้ายมันจะโง่เชื่อได้นะ) และที่น่าทึ่งคือเขายังแสดงฉากแอ็กชั่นได้ดีมาก ไม่เหมือนคนอายุ 63 เลยสักนิด (ถ้าไม่รู้อายุจริงคงนึกว่า 40-50 กว่าแค่นั้น) 

นอกจากนี้แล้วหนังยังมีการเพิ่มเติมความสดใหม่ด้วยตัวละครบอบบี้ แอบบ็อตต์ ที่ได้ Joseph Gordon-Levitt มาเล่นเป็นคู่หูแท็คทีมกับเขาในช่วงกลางเรื่องไป โดยผูกปมเรื่องไว้ล่วงหน้านิดๆ ด้วยว่าเขาเป็นอดีตแฟนของ เจน ลูกสาวของเขาอายุ 32 (แสดงโดย Taylour Paige) ซึ่งเป็นนักแสดงใหม่เข้ามาเหมือนกัน ซึ่งเรื่องก็นำทั้ง 3 คนเข้ามาเกี่ยวข้องกันผ่านการแก้ไขปัญหาชีวิตของกันและกัน โดยเจนเป็นทนายสาวที่เลิกรากับบอบบี้ เพียงเพราะเขาเป็นตำรวจและเธอไม่ชอบพ่อที่เป็นตำรวจไม่ใส่ใจเลี้ยงดูแลเธอเหมือนกัน และพูดย้ำเสมอว่าไม่อาจจะกลับมารักกันได้อีกแล้ว แต่หนังก็เหมือนตั้งใจคาความสัมพันธ์นี้ไว้ในภาคนี้ แต่บอบบี้ก็มาเป็นคู่หูกับเอ็กเซล โดยมีฝีมือยิงปืนสุดแม่นที่มาช่วยเขาได้เสมอ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ต้องการให้ช่วย เหมือนเป็นการแย่งซีนความเก่งเป็นมุกตลกขำนิดๆ แล้วก็มีฉากที่ขำมากเมื่อเอ็กเซลหวังให้เขาช่วยเต็มที่ แต่กลับเป็นฉากฮาของคู่หูจำเป็นนี้ที่เรื่องเซ็ตติ้งสถานการณ์นี้ได้ดีเลย แถมยังได้เล่าอดีตของบอบบี้ที่ซ่อนไว้ไปพร้อมกันด้วยครับ ซึ่งดูแล้วหนังน่าจะมีโอกาสทำต่อและได้สองคนนี้กลับมาร่วมกันเป็นนักแสดง Gen ใหม่ต่อไปด้วยครับ

หนังยังได้ เควิน เบคอน กลับมาในบทที่เห็นทีแรกก็รู้ว่านี่คือตัวร้าย ด้วยความที่บทของเรื่องนี้ไม่ได้มีความลึกซับซ้อน เขาจึงไม่ได้แสดงฝีมืออะไรให้เห็นเลย แต่การได้เขามาเล่นก็ทำให้เรื่องดูยกระดับน่าสนใจขึ้นได้เหมือนกันครับ


สรุป หนังสนุกด้วยการคืนชีพบท เอ็กเซล โฟลีย์ ของ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ที่ทำได้ดีมากกับการกลับมาหลังผ่านไป 30 ปี ตัวหนังสนุกด้วยลีลาการแสดงหน้าตาโม้ๆ กวนๆ ของเขาโดยเฉพาะ ทั้งๆ ที่เขาก็อายุ 63 ปีแล้วแต่ยังเล่นได้สดใสลื่นปรื๊ดจนดูอายุจริงไม่ออกเลย โดยมีฉากแอ็กชั่นกลางเบเวอร์ลีฮิลส์สุดหรูที่ยังหาทางเสกฉากแอ็กชั่นตลกแปลกๆ ขึ้นมาได้ ตัวละครเดิมก็กลับมาครบ พร้อมด้วยตัวนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง Joseph Gordon-Levitt ในบทคู่หูยุคใหม่ที่ไปกันได้ดีทั้งฉากแอ็กชั่นแย่งซีนกับฉากตลกเพี้ยนๆ รับส่งต่อกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่าเรื่องก็ดูจะไม่แคร์ผู้ชมที่ไม่เคยดูมาก่อนเลยเพราะไม่มีการรื้อฟื้นเล่าอดีตอะไรทั้งนั้น ซึ่งผู้ชมที่ไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้น่าจะมีสะดุดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาขัดขวางความสนุกแบบง่ายๆ ของเรื่องนี้แต่อย่างใดครับ

 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!