รีวิว Biohackers ss1-2 ซีรีส์วัยรุ่นที่ไม่เล่นดราม่าชีวิตเวิ่นเว้อ แต่โฟกัสที่การแฮ็กพันธุกรรม
Biohackers
-
SS1 - 7/10
7/10
-
SS2 - 6/10
6/10
สรุป
ซีรีส์วัยรุ่นแนวทริลเลอร์ไซไฟที่เน้นหนักไปที่การเจาะระบบแฝงตัวของนางเอกในเรื่อง โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับไบโอชีวภาพ การตัดต่อดัดแปลงพันธุกรรมเป็นเรื่องหลักแบบจริงจังอิงกับความเป็นไปได้จริงในยุคนี้ โดยแทบจะไม่ได้มีเรื่องดราม่าชีวิตวัยรุ่นมาเกี่ยวข้องด้วยเลย ตัวเรื่องกระชับสั้นเพียง 6 ตอน ตอนละ 30 กว่านาที และจบซีซั่น 1 แบบเคลียร์ปมหมด
รีวิวซีซั่น 2 ตัวเรื่องยังคงความสนุกในธีมเดิมได้อยู่ แม้ความเว่อร์จะลดลงไป กับตอนจบที่รีบตัดตอนจบง่ายไปหน่อย ถ้าใครชอบซีซั่นแรกก็ยังสมควรจะดูต่อให้จบอยู่ครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- เล่นเรื่องและตัวละครที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยาสมัยใหม่ตลอดเวลา
- ตัวเรื่องเดินเร็ว เปิดเรื่องมาก็เป็นไฮไลท์สำคัญตอนจบทันที
- อุปกรณ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ต่างๆ ดูสมจริง
- นางเอกกับตัวร้ายสวยมีเสน่ห์ทั้งคู่
Cons
- ฉากแก้ปัญหาหลังเฉลยเหตุร้ายในตอนต้นเรื่องเบามากไป ไม่ตื่นเต้นเท่ากับขนาดของเหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้น
- การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลายครั้งดูเว่อร์และแก้ได้ง่ายเกินไป
- ตัวพระเอกดูจืดจางไม่มีความสามารถอะไรมาก
- ซีซั่น 2 รวบรัดตัดจบในตอนท้ายมากไป
Biohackers ไบโอแฮ็กเกอร์ ซีรีส์ Netflix ขนาดสั้น 6 ตอนจบซีซั่น เรื่องราวของสาววัยรุ่นนักเรียนแพทย์ที่ตามหาต้นเหตุของการเสียชีวิตในอดีตของครอบครัว ที่เกี่ยวพันกับตัวศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านไบโอชีววิทยายุคใหม่
ตัวอย่าง Biohackers ไบโอแฮ็กเกอร์ ss1
รีวิว Biohackers ss1
รีวิวนี้ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญใดๆ ของเรื่อง
ซีรีส์วัยรุ่นที่มีเรื่องราวล้ำยุคด้านชีววิทยาเป็นแกนของเรื่องที่นับว่าแปลกใหม่หลายอย่าง โดยแกนเรื่องคือ “มีอา” นางเอกของเรื่องที่เป็นนักเรียนแพทย์หัวดีที่มีแฝงตัวเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของเยอรมัน เพื่อเจาะลึกเข้าวงในการทำงานของ “ดร.ลอเรนซ์” ศาสตราจารย์สาวผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ไปพร้อมทำการทดลองลับๆ ส่วนตัว ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันถึงการตายของครอบครัวมีอาในอดีตสมัยที่เธอยังเด็ก ซึ่งเธอรอดมาได้เพียงคนเดียว และกลับมาตามหาหลักฐานเอาผิด “ดร.ลอเรนซ์” ให้ได้
ตัวเรื่องนำเสนอสิ่งล้ำในแวดวงชีววิทยาที่แปลกตาตลอดทั้งเรื่อง โดยมีทั้งสัตว์ที่ถูกตัดต่อยีนส์ใหม่ๆ เข้าไปในร่างกายเพื่อใช้เป็นอาหารแบบใหม่ ยารักษาโรคที่ไม่มีมาก่อน หรือแม้แต่ชีวะอาวุธในรูปแบบแมลงที่สามารถส่งไวรัสที่ต้องการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ ซึ่งทุกอย่างในเรื่องนี้อิงกับพื้นฐานชีววิทยาสมัยใหม่ที่เป็นจริงได้ ไม่ใช่เรื่องโม้โอเวอร์ขึ้นมาโดยปราศจากข้อมูลจริงในปัจจุบัน ทำให้ตัวเรื่องเป็นซีรีส์วัยรุ่นนักศึกษามหาวิทยาลัยผสมไซไฟในแบบกึ่งสมจริง ตัวละครในเรื่องจึงมีบทพูดที่ใช้ศัพท์วิทยาศาสตร์ทางด้านไบโอชีวภาพและการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาตลอดเวลา แม้ว่าคนดูจะตามศัพท์พวกนี้ไม่ทัน แต่ก็ไม่ถึงกับมึนงงอะไร เพราะเรื่องไม่ได้เล่าแบบตั้งใจให้ลึก เพียงแค่หยิบศัพท์วิชาด้านนี้มาใช้ประกอบของเหตุการณ์ต่างๆ ที่นางเอกเจอและต้องแก้ปัญหาด้วยความสามารถของเธอและเพื่อนๆ เท่านั้น
เนื้อเรื่องเน้นไปที่การเจาะระบบเข้าไปหาหลักฐานในแล็ปของ “ดร.ลอเรนซ์” ที่ถูกวางตัวเป็นตัวร้ายของเรื่องในแบบนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในขณะที่เบื้องหลังทำการทดลองวิจัยผิดศีลธรรมให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเอง แม้ว่าจะอ้างความชอบธรรมว่าทำไปเพื่อช่วยผู้คนบนโลก ซึ่งตัวนางเอกจะถูกวางตัวเป็นทั้งแฮ็กเกอร์และสายลับแฝงตัว ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของ ดร.ลอเรนซ์ หาหลักฐานเชื่อมโยงไปยังเหตุการณ์ในอดีต ที่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้เธอเสียพ่อกับแม่ไป รวมถึงพี่ชายฝาแฝดที่ป่วยเป็นโรคร้ายแบบปริศนาตั้งแต่เด็ก ซึ่งตัวเรื่องจะตัดฉากแฟลชแบ็คกลับมาเป็นระยะๆ และยังเริ่มเรื่องด้วยการแฟลชแบ็คเหตุการณ์กลับไป 2 สัปดาห์ก่อน หลังจากที่เปิดเรื่องมาเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายทางชีวภาพแบบไม่ทันตั้งตัวในรถไฟที่เธอโดยสาร ทิ้งเป็นปริศนาน่าติดตามไว้ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องเลยว่าสิ่งนี้คืออะไร?
แต่เรื่องก็ไม่ได้ให้นางเอกฉายเดี่ยวหรือเก่งเกินไป ในเรื่องเธอยังต้องพึ่งพาทีมที่มาจากการรวมตัวของเพื่อนร่วมหอพักที่เก่งในสาขาอื่นที่เธอไม่ถนัด อย่างการผสมยา ทำวัคซีนแก้ฉับพลัน ซึ่งถูกใช้เป็นปมปัญหาเฉพาะหน้าของเรื่องในหลายครั้ง ที่นางเอกไม่สามารถแก้ปัญหาคนเดียวได้ โดยที่เพื่อนในทีมแต่ละคนก็จะมีนิสัยแปลกแบบเนิร์ดเฉพาะทางต่างกันไป ตัวเรื่องจึงไม่ได้เป็นแนวดราม่าวัยรุ่นอะไรมากตามสูตร แต่ในเรื่องก็ยังมีแทรกเข้ามาพอหอมปากหอมคอ
ดารานำในเรื่อง Luna Wedler ที่เล่นเป็นมีอา ใบหน้าดูสวยมีเสน่ห์ในแบบสาวเก่งวิทยาศาสตร์ ตัวบทให้เธอมีไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีในแบบสายลับแฝงตัวไปพร้อมกัน ในขณะที่ตัวร้ายของเรื่อง ดร.ลอเรนซ์ (รับบทโดย Jessica Schwarz) ก็ดูสวยมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน ซึ่งบทของเธอจะเป็นแบบคนวางแผนมากกว่าลงมือเอง และเรื่องนี้ไม่ได้เป็นซีรีส์วัยรุ่นที่มีพระเอกโดยตรง เป็นแค่คนรักในบทสมทบ เพราะเรื่องเน้นหนักไปที่ภารกิจการเจาะระบบของนางเอกมากกว่าอย่างอื่น ตัวเรื่องจึงเหมือนแค่ใส่บทคนรักไว้หลวมๆ ให้เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับการแก้ปัญหาของนางเอกในตอนท้ายของเรื่องเพียงเท่านั้น
ตัวเรื่องค่อนข้างกระชับโฟกัสไปยังการเจาะระบบของนางเอกจบได้ในซีซั่นแรกเพียง 6 ตอนสั้นๆ ตอนละ 30 กว่านาทีเท่านั้น และก็เคลียร์ปมต่างๆ ได้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนแรกกับเหตุการณ์บนรถไฟ และอดีตของนางเอกเกี่ยวข้องยังไงกับการทดลองของ ดร.ลอเรนซ์ ซึ่งแอบล้ำนิดๆ คล้ายคลึงกับ “เจสัน บอร์น” แต่ก็ยังยืนพื้นอยู่บนความเป็นไปได้ในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องก็วางไว้ดีไม่เว่อร์เกินไป แต่ก็ทำให้ตอนท้ายเรื่องหลังเฉลยดูเบาไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในตอนเริ่มเรื่อง ก่อนจะไปจบปมในซีซั่นแรกและเปิดตัวร้ายใหม่ในซีซั่น 2 ซึ่งไม่ถึงกับค้าง และก็มีความน่าติดตามต่อพอสมควรเลยครับ
รีวิว Biohackers ss2
ซีซั่น 2 ที่ยังคงพยายามเล่นเรื่องประเด็นชีวะวิทยาศาสตร์พันธุกรรมต่อ ตัวเรื่องเกือบต่อจากตอนจบที่มีอาโดนลักพาตัวไป แต่เป็นการเริ่มต้นแบบนางเอกเสียความทรงจำช่วงนั้นไปหมด และก็พบว่าเวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว โดยที่ตัวเธอเองก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความทรงจำตอนโดนลักพาตัวไปกลับค่อยๆ ตามมาหลอน แถมยังบั่นทอนสมองของเธอลงไปเรื่อยๆ ด้วย
ภาคนี้เดินเรื่องความสัมพันธ์ในชีวิตนางเอกใหม่หมด เหมือนโดนรีเซ็ททุกอย่าง โดยเฉพาะยาสเพอร์ตัวร้ายของภาคแรกที่เป็นคนปล่อยยุงดัดแปลงพันธุกรรมในรถไฟกลับกลายมาเป็นแฟนของเธอ โดยที่พระเอกภาคก่อนกลายเป็นตัวประกอบไปแทน ด็อกเตอร์ลอเรนซ์ที่นางเอกพยายามโค่นในภาคแรกก็กลายมาเป็นมิตรในภายหลัง ซึ่งการรีเซ็ตเรื่องใหม่นี้เป็นปมในเรื่องที่ทำให้นางเอกไม่ไว้วางใจในความสัมพันธ์ใหม่ที่เธอจำไม่ได้เลย ว่านี่เป็นแผนร่วมมือกันของตัวร้ายที่ซ่อนอยู่ในเรื่องหรือไม่ ซึ่งตัวบทก็จะมีพลิกไปมานิดๆ ในแต่ละช่วงไม่ถึงกับหลอกคนดูจังๆ แต่ชวนให้คนดูไม่เชื่อใจเมื่อเรื่องพลิกกลับจากภาคแรกไปหมดขนาดนี้
จุดเด่นของเรื่องภาคนี้คืออะไรคือตัวการทำให้ความทรงจำของนางเอกหายไป ซึ่งก็ยังดูสนุกในแนวไบโอแฮ็กเกอร์ได้คล้ายๆ ภาคแรกอยู่ แม้จะดรอปลงมาบ้างจากภาคแรกที่เว่อร์มาก แต่ว่าตัวซีซั่นนี้คือจบแล้ว ทำให้ประเด็นอะไรต่างๆ โดนรวบรัดตัดตอนจบในภายหลังง่ายๆ ไปหน่อย ซึ่งก็น่าเสียดายว่าจริงๆ ซีรีส์อาจจะอยากเล่นใหญ่โตมากกว่านี้ แต่งบมันคงไม่ได้เท่าภาคแรก ก็เลยต้องลดสเกลลงมาเหลือแค่การตามหาต้นตอความทรงจำของนางเอกที่หายไปเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้ภาคนี้ดรอปลงจริงๆ ไปกระจุกกองอยู่ตอนท้ายทั้งหมด เมื่อเรื่องเปิดตัวร้ายใหญ่โตออกมา แถมเล่าว่าอยู่เบื้องหลังการทดลองอะไรหลายๆ อย่าง แต่ตัวเรื่องกลับพยายามขมวดจบลงให้ได้ในตอนท้ายๆ ขนาดที่ว่ายอมตัดฆ่าตัวละครบางตัวทิ้งเพื่อให้เรื่องจบจริงๆ แต่ประเด็นกับปมในเรื่องดันคาทิ้งไว้ ยิ่งโปรเจ็กต์โฮโมดีอุสที่ทำให้นางเอกมีภูมิต้านทานโรคทุกชนิดที่มีผลกับสังคงมนุษย์ในโลก ถูกมาเล่าต่อในภาคนี้อีกหน่อย แต่กลับไม่นำมาใช้เป็นประเด็นใหญ่โตอะไรเลย แถมยังตัดตอนจบลงง่ายๆ ในตอนจบแบบเสียของมากๆ จนเหมือนผู้สร้างอยากแค่จะปิดจบเรื่องราวในภาคนี้ไปไวๆ นั้น
สรุปซีซั่น 2 ตัวเรื่องยังคงความสนุกในธีมเดิมได้อยู่ แม้ความเว่อร์จะลดลงไป กับตอนจบที่รีบตัดตอนจบง่ายไปหน่อย ถ้าใครชอบซีซั่นแรกก็ยังสมควรจะดูต่อให้จบอยู่ครับ ตัวเรื่องมี 6 ตอนจบสั้นๆ เหมือนเดิมครับ