playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Black Mirror SS6 มีดีแค่ตอนแรก นอกจากนั้นคือหลุดธีมแทบทั้งหมด

  • ตอน 1 - 8.5/10
    8.5/10
  • ตอน 2 - 7/10
    7/10
  • ตอน 3 - 6.5/10
    6.5/10
  • ตอน 4 - 5/10
    5/10
  • ตอน 5 - 7/10
    7/10

Summary

โดยรวมซีซั่นนี้มีดีจริงๆ คือ ตอนแรกเท่านั้น ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่เป็นสไตล์ Black Mirror เต็มตัว แต่จากนั้นไปคือไม่เกี่ยวกับผลร้ายของเทคโนโลยีอีกแล้ว และยังเป็นแนวผีปีศาจที่หลุดโลกไปไกลมาก แม้ตอน 3 จะเป็นไซไฟก็จริง แต่เรื่องราวกับองค์รวมก็ยังไม่ใช่เทคโนโลยีใกล้ตัว ที่ดูมีความเป็นไปได้ใดๆ เลยสักนิด (แถมยังทำเป็นแนวโลกคู่ขนานย้อนยุคไปอีก) นี่จึงเป็นซีซั่นที่ผลลัพธ์โดยรวมออกมาแย่ที่สุด และดูท่าผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้จะหมดไอเดียถึงทางตันของจริงแล้วด้วยครับ

Overall
6.8/10
6.8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ตอน 1 สนุก ตลก ล้อเลียนตัวเองได้ดี
  • มีดาราดังร่วมแสดงหลายคน
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • หลุดธีมหลักเรื่องเทคโนโลยีไปเกือบทั้งหมด
  • มีความไม่สมเหตุผลหลายอย่าง

ADBRO

Black Mirror SS6 ซีรีส์ Netflix ที่มีธีมคอนเซ็ปต์แนวไซไฟนำเสนอเรื่องราวผลร้ายแง่ลบของเทคโนโลยีมาตลอด แต่หลังจากว่างเว้นจากซีซั่น 5 ถึงเกือบ 4 ปี ที่มีเพียงแค่ 3 ตอน ดูเหมือนผู้สร้างเรื่องนี้ถึงทางตันของการเขียนบทเพื่อนำเสนออะไรแบบนี้ ในซีซั่น 6 ที่กลับมามี 5 ตอน กลับกลายเป็นผลงานที่หลุดธีมคอนเซ็ปต์แนวเทคโนโลยีไปแล้ว มีเพียงแค่ตอนแรกเท่านั้นที่ใช่ นอกนั้นคือไปไกลจนเหมือนไม่ใช่ซีรีส์ Black Mirror อีกต่อไปแล้ว เพื่อความชัดเจนในรีวิวต่อจากนี้อาจจะมีสปอยล์ธีมของตอนนั้นไปเลย เพื่อให้กระจ่างในจุดที่ว่าตอนนั้นไม่ใช่ธีม Black Mirror จริงๆ

 

รีวิว Black Mirror SS6

ตอน 1 Joan Is Awful (โจนเป็นคนแย่)

เรื่องราวของผู้หญิงที่ถูกบริการสตรีมมิ่งชื่อดังนำชีวิตประจำวันของเธอไปทำเป็นซีรีส์ให้คนอื่นติดตาม ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการล้อเลียนเสียดสี Netflix นั่นเอง ในชื่อสมมุติ Streamberry โดยหยิบการใช้ AI ทันสมัยของสตรีมมิ่งนำข้อมูลของผู้ใช้มาสร้างเรื่องราวเลียนชีวิตจริงที่เหมือนกันแทบทั้งหมด ทุกอย่างในเรื่องคือผลงานของ AI ทั้งหมด โดยมีสัญญาผูกมัดผู้ใช้ หน้าตานักแสดงดัง ที่ในเรื่องคือ ซัลมา ฮาเยก มาเป็นต้นแบบ เรื่องราวนำเสนอแบบหนังซ้อนหนัง ซึ่งทั้งสนุก ตลกมากๆ กับไอเดียการล้อเลียนตัวเองของ Netflix เหมือนเราได้ดูอนาคตของ Netflix ที่ดูดข้อมูลผู้ใช้ไปทำเป็นคอนเทนต์กลับมาขายแบบไม่แคร์ นอกจากนี้แล้วเนื้อเรื่องยังไปไกลกว่าที่เห็นด้วยตอนจบที่ทึ่งสุดๆ ว่าคิดมาได้ไง ถือเป็นตอนที่สร้างสรรค์เข้ากับธีมผลร้ายของเทคโนโลยีโดยตรงครับ

คะแนน 8.5/10

 

ตอน 2 Loch Henry

เรื่องราวของนักสร้างหนังสารคดีที่กลับมาบ้านเกิดตัวเอง เพื่อทำสารคดีฆาตกรต่อเนื่องในอดีต นี่เป็นตอนที่เริ่มหลุดจากความเป็น Black Mirror ไปเกือบหมดแล้ว เนื้อเรื่องกลายเป็นแนวหนังระทึกขวัญ ด้วยเรื่องเล่าคดีฆาตกรรมในอดีตที่กลับมาหลอนอีกครั้งระหว่างที่ตัวเอกทั้งคู่พยายามสร้างหนังสารคดีเรื่องนี้ไปขายสตูดิโอหวังรางวัลและชื่อเสียงที่จะตามมา ซึ่งการเล่าเรื่องถือว่าใช้ได้ มีจุดหักมุมที่คาดไม่ถึง ก่อนที่จะจบด้วยการเสียดสีพวกนักสร้างหนังสารคดีจากคดีฆาตกรรมว่า พยายามเอาเรื่องราวที่เจ็บปวดของเหยื่อมาขายหาผลประโยชน์เข้าตัว โดยพยายามอ้างว่าต้องการถ่ายทอดเรื่องจริงให้คนดูได้เห็นแง่มุมต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนหลายๆ เรื่องที่ Netflix ทำออกมาแล้วมีกระแสดราม่าเกิดขึ้น (อย่างซีรีส์ DHammer) โดยรวมยังพอดูสนุกใช้ได้ แต่ก็ถือว่าหลุดธีมไปมาก เพราะไม่มีการใช้เทคโนโลยีใดๆ ในเรื่องเลยทั้งสิ้น

คะแนน 7/10

 

ตอน 3 Beyond the Sea

เรื่องราวในตอนนี้เป็นแนวไซไฟอวกาศ แต่เป็นโลกคู่ขนานปี 1969 ที่อเมริกาส่งนักบินอวกาศขึ้นไปประจำสถานี แล้วมีเทคโนโลยีส่งจิตมาควบคุมหุ่นแอนดรอยด์ที่เหมือนเจ้าของร่างบนโลก 

ในตอนนี้ดูผิวเผินเหมือนจะดีเพราะเป็นแนวไซไฟเต็มตัว แต่เรื่องราวกลับเน้นดราม่าในจิตใจของนักบินอวกาศทั้งคู่ที่ฝ่ายหนึ่งมีปมสูญเสียครอบครัวไปหมด และต้องอาศัยร่างแอนดรอยด์ของอีกคนเยียวยาจิตใจ แต่ก็กลายเป็นโศกนาฎกรรมในที่สุด ซึ่งเรื่องราวเดาได้ไม่ยาก ปมเรื่องไม่ได้ซับซ้อน การดำเนินเรื่องยังพอดูได้สนุกระดับหนึ่ง แต่ปัญหาคือความไม่สมเหตุผลหลายอย่างมากในเรื่อง อย่างการป้องกันเหตุร้ายต่างๆ ไม่มีเลย และเรื่องราวก็ดูไกลตัวเกินกว่าเทคโนโลยีใกล้ตัวแบบที่ Black Mirror ควรจะเป็น แต่บางคนก็อาจจะชอบมากตรงที่มันเป็นดาร์คไซไฟเต็มตัวครับ

คะแนน 6.5/10

 

ตอน 4 Mazey Day

ตอนที่หลุดธีมหลักไปไกลมาก เนื้อเรื่องเกี่ยวกับปาปารัสซี่ที่ตามล่าดาราที่พยายามหายตัวหลบหน้าผู้คนไป ซึ่งทั้งเรื่องมันไม่ได้เกี่ยวกับผลร้ายของเทคโนโลยีใดๆ เลยสักนิด แต่กลายเป็นแนวสัตว์ประหลาดไล่ฆ่าคน เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ มีแค่ฉากสยองขวัญตอนท้ายที่ทำออกมาดีหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่ธีม Black Mirror เลยสักนิดครับ

คะแนน 5/10

 

ตอน 5 Demon 79

ตอนที่เปิดหัวเรื่องว่า Red Mirror ก็คือเป็นแนวสยองขวัญเลือดสาดไปเลย ซึ่งจริงๆ น่าจะนำไปใช้ตั้งแต่ตอน 4 ด้วยเช่นกัน เพราะเนื้อเรื่องในตอนนี้ก็หลุดมาแนวปีศาจ ไม่ใช่ผลร้ายของเทคโนโลยี แต่ยังดีที่เรื่องราวในตอนนี้ค่อนข้าง สนุก ตลก จากตัวละครหลักของเรื่องที่เป็นสาวอินเดียเฉิ่มๆ ที่กลายเป็นฆาตกรจำเป็น ตามคำสั่งฆ่าคนของปีศาจในรูปร่างหนุ่มผิวดำนิสัยตลก ทั้งคู่ต้องร่วมกันหาเหยื่อสังเวยวันสิ้นโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น พล็อตเรื่องก็แน่นอนว่าเอามาจากหนัง Knock at the Cabin เลยนั่นแหละครับ 

คะแนน 7/10

 

โดยรวมซีซั่นนี้มีดีจริงๆ คือ ตอนแรกเท่านั้น ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่เป็นสไตล์ Black Mirror เต็มตัว แต่จากนั้นไปคือไม่เกี่ยวกับผลร้ายของเทคโนโลยีอีกแล้ว และยังเป็นแนวผีปีศาจที่หลุดโลกไปไกลมาก แม้ตอน 3 จะเป็นไซไฟก็จริง แต่เรื่องราวกับองค์รวมก็ยังไม่ใช่เทคโนโลยีใกล้ตัว ที่ดูมีความเป็นไปได้ใดๆ เลยสักนิด (แถมยังทำเป็นแนวโลกคู่ขนานย้อนยุคไปอีก) นี่จึงเป็นซีซั่นที่ผลลัพธ์โดยรวมออกมาแย่ที่สุด และดูท่าผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้จะหมดไอเดียถึงทางตันของจริงแล้วด้วยครับ

Including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!