รีวิว Black Mirror SS7 (Netflix) สดใหม่ เสียดสีบาดลึก ทุกตอนชนะใจ!
Black Mirror SS7
-
ตอน 1 - 8.5/10
8.5/10
-
ตอน 2 - 7.5/10
7.5/10
-
ตอน 3 - 9/10
9/10
-
ตอน 4 - 7/10
7/10
-
ตอน 5 - 9.5/10
9.5/10
-
ตอน 6 - 9/10
9/10
Summary
Black Mirror ซีซั่น 7 กลับมาพร้อมไอเดียสดใหม่ที่น่าตื่นเต้น แม้จะยังคงใช้รูปแบบการตั้งคำถามกับเทคโนโลยีในชีวิตมนุษย์แบบดั้งเดิม แต่การนำเสนอในซีซั่นนี้กลับดูสดใหม่และสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น การเล่าเรื่องเสียดสีสังคมทำได้อย่างแหลมคมและทรงพลัง
- ตอนที่ 1 เปิดหัวได้เจ็บปวดสุดใจ กับประเด็นระบบแพ็คเกจสมาชิกรูปแบบใหม่ที่ทั้งกดขี่และขูดรีดจนสะท้อนความจริงในโลกยุคนี้ได้อย่างจะแจ้ง
- ตอนที่ 2 หลุดโลกไปกับการบูลลี่ ที่นำเสนอได้ทั้งบ้าคลั่งและสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน
- ตอนที่ 3 โรแมนติกน่ารักและอบอุ่นใจ กับเรื่องราวของ AI ที่รีมาสเตอร์ภาพยนตร์สุดคลาสิค
- ตอนที่ 4 ต่อยอดความหลุดโลกจากตอน Bandersnatch ได้อย่างน่าทึ่ง
- ตอนที่ 5 สำรวจความสัมพันธ์ที่แสนเจ็บปวด ผ่านภาพถ่ายที่กลายมาเป็นโลกจำลอง สะท้อนความทรงจำและอดีตได้อย่างบาดลึก
- ตอนที่ 6 ภาคต่อของ USS Callister ที่ยังคงความมันส์ ความกาว และการต่อยอดเรื่องราวได้อย่างเมามันส์ แถมยังเติมเต็มสิ่งที่ตอนก่อนหน้าทิ้งไว้ได้อย่างน่าพอใจ
โดยรวมแล้ว ซีซั่นนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในซีซั่นที่ “ชอบมาก” ทุกตอน ด้วยบทที่แข็งแรง มีจุดจบที่ชัดเจน และไม่ปล่อยให้ค้างคาเหมือนบางตอนในซีซั่นก่อน ๆ แถมบางตอนยังดีขนาดที่อยากให้มีภาคต่อในอนาคตอีกด้วยครับ
Overall
8.4/10User Review
( votes)Pros
- สดใหม่และกลับมาเป็นแนวเทคโนโลยีอีกครั้ง
- บทที่แข็งแรง มีจุดจบที่ชัดเจน
- นักแสดงเล่นได้ดีมาก
- มีตอนต่อครั้งแรก
- มีพากย์ไทย
Cons
- ตอน 4 จบแบบห้วนๆ
- บางตอนมีความโอเว่อร์มากไป
ADBRO
Black Mirror ss7 กลับมาอีกครั้งในซีซั่นที่ 7 ซึ่งถือเป็นซีรีส์ Netflix Original ที่มีจำนวนซีซั่นมากที่สุดเรื่องหนึ่ง การกลับมาครั้งนี้เป็นการหวนคืนสู่รากเหง้าที่แท้จริงของซีรีส์ในแนวเทคโนโลยีไซไฟและการเสียดสีสังคม หลังจากที่ซีซั่น 6 ในปี 2023 เบี่ยงเบนไปทางแนวสยองขวัญเหนือธรรมชาติและเปลี่ยนชื่อเป็น Red Mirror ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
รีวิว Black Mirror ss7
***รีวิวไม่มีสปอยล์ส่วนสำคัญ****
ซีซั่น 5 ในปี 2019 มีเพียง 3 ตอน ทำให้หลายคนสงสัยว่าผู้สร้างอาจหมดไอเดียหรือสูญเสียความคมชัดในการเล่าเรื่อง แต่ซีซั่น 7 นี้พิสูจน์ให้เห็นว่า Black Mirror ยังคงมีเรื่องราวให้เล่า ด้วยมุมมองที่สดใหม่และประเด็นเสียดสีร่วมสมัยที่ชวนคิด
จุดเด่นของซีซั่นนี้คือการทำภาคต่อโดยตรงของสองตอนยอดนิยม ได้แก่ Bandersnatch และ USS Callister ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของแฟรนไชส์ที่เลือกใช้วิธีนี้แทนการสร้างเรื่องใหม่ที่มีแนวคิดคล้ายกัน การตัดสินใจนี้นับว่าเป็นการเลือกที่ชาญฉลาด เนื่องจากหลายตอนในอดีตมีศักยภาพที่จะพัฒนาเรื่องราวต่อไปได้อีก
โดยปกติผู้สร้างมักจะนำแนวคิดเดิมมาบิดให้เป็นเรื่องใหม่ที่แตกต่างไป แต่การตัดสินใจสานต่อเรื่องราวด้วยตัวละครชุดเดิมในซีซั่น 7 นี้ ทำให้เกิดความต่อเนื่องและเปิดโอกาสให้ Black Mirror สามารถขยายจักรวาลของตัวเองไปในอนาคตได้อีกมาก
“Common People (คนทั่วไป)” – เมื่อแพ็คเกจบริการกลายเป็นเรื่องชีวิตและความตาย
“Common People” นำเสนอเรื่องราวของครูสาวที่กำลังจะเสียชีวิตจากเนื้องอกในสมอง แต่ได้รับการช่วยเหลือด้วยเทคโนโลยี Rivermind ที่สามารถส่งข้อมูลสมองส่วนที่เสียหายกลับมาผ่านเซิร์ฟเวอร์ โดยแลกกับค่าบริการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความชาญฉลาดของตอนนี้อยู่ที่การเสียดสีแพ็คเกจบริการสมาชิกในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นค่าโทรศัพท์มือถือ บริการสตรีมมิ่ง หรือยูทูบ ที่มีการออกแบบให้มีโฆษณาแทรกและล่อใจให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อบริการที่ดีกว่า ในชีวิตจริง เราสามารถเลือกระดับบริการตามกำลังทรัพย์และยอมรับข้อจำกัดได้ แต่เมื่อแนวคิดนี้ถูกนำมาผูกกับชีวิตมนุษย์ ทางเลือกกลับกลายเป็น “จ่ายหรือตาย” กระตุกให้ผู้ชมต้องตั้งคำถามอย่างลึกซึ้ง
เรื่องราวเล่าถึงสามีที่ตัดสินใจสมัครบริการช่วยชีวิตนี้ให้ภรรยาที่กำลังโคม่า แต่บริการนี้มาพร้อมข้อจำกัดมากมาย ทั้งขอบเขตการเคลื่อนไหว และการถูกแทรกโฆษณาระหว่างการสนทนา โดยระบบจะควบคุมให้ภรรยาพูดโฆษณาแบบแนบเนียน คล้ายกับการยิงโฆษณาที่เราเห็นในเฟซบุ๊กหรือกูเกิล การนำเสนอแนวคิดนี้ทำได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยฉากไซไฟอลังการ แต่สื่อสารผ่านบทพูดที่กระแทกใจผู้ชม
พล็อตรองของเรื่องเล่าถึงความดราม่าของสามีที่ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าบริการที่แพงขึ้นทุกเดือน จนสุดท้ายต้องหันไปพึ่งการไลฟ์สตรีมแสดงความโง่เขลาเพื่อแลกกับเงินโดเนท ประเด็นนี้ถูกถ่ายทอดอย่างดาร์คและเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีในเรื่องได้อย่างกลมกลืน
บทสรุปของเรื่องนำพาผู้ชมไปสู่จุดจบที่เศร้าแต่สมเหตุผล พร้อมเสียดสีสังคมที่หลงใหลการรับชมไลฟ์สตรีมได้อย่างเจ็บปวด “Common People” จึงเป็นอีกหนึ่งตอนที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น Black Mirror ที่สามารถสะท้อนด้านมืดของเทคโนโลยีและสังคมได้อย่างคมคาย
คะแนน: 8.5/10
Bête Noire เบทนัวร์– เมื่ออดีตที่ถูกลืมกลับมาหลอกหลอน
“Bête Noire” นำเสนอเรื่องราวของนักวิจัยในบริษัทขนมที่ชีวิตเริ่มพลิกผันเมื่อเพื่อนเก่าที่แปลกประหลาดมาสมัครเป็นผู้ช่วยของเธอ จากนั้นความจริงที่เธอเคยจดจำเริ่มบิดเบี้ยว ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นความจริงหรือภาพหลอน
ตอนนี้แตกต่างจากธีมหลักของ Black Mirror ที่มักเสียดสีเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันโดยตรง แต่กลับมุ่งเน้นไปที่ประเด็นการบูลลี่ในวัยเด็กและผลกระทบระยะยาวที่ตามมาในชีวิตผู้ใหญ่ เรื่องราวเล่าถึงการเผชิญหน้ากับอดีตที่พยายามจะลืม แม้ตัวเอกจะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผู้ถูกกระทำนั้น บาดแผลกลับฝังลึกและไม่เคยจางหาย
ความชาญฉลาดของตอนนี้อยู่ที่การพัฒนาแนวคิดเรียบง่ายให้กลายเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง ผ่านการเล่นกับการรับรู้ของตัวละครหลัก มาเรีย ผู้ชมถูกชวนให้สงสัยว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความทรงจำที่ผิดพลาดของเธอ หรือเป็นการแก้แค้นจากความเกลียดชังที่เธอได้ก่อไว้ในอดีต
เรื่องราวค่อยๆ คลี่คลายและนำไปสู่บทสรุปที่เหนือความคาดหมาย ฉากสุดท้ายสร้างความประทับใจด้วยการเปิดเผยความจริงที่ทั้งช็อกและน่าตื่นตาตื่นใจ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถสะท้อนแก่นแท้ของตัวละคร มาเรีย ได้อย่างลึกซึ้ง แสดงให้เห็นว่าแม้จะผ่านเวลามานานเพียงใด แต่เธอก็ยังคงเป็นคนเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“Bête Noire” อาจไม่ได้เจาะลึกเรื่องเทคโนโลยีเหมือนตอนอื่นๆ ของ Black Mirror แต่ก็นำเสนอการสำรวจธรรมชาติมนุษย์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
คะแนน: 7.5/10
“Hotel Reverie (โรงแรมแห่งฝัน)” – เมื่อ AI มีชีวิตในโลกภาพยนตร์คลาสสิค
“Hotel Reverie” นำเสนอแนวคิดล้ำสมัยเกี่ยวกับโปรเจกต์ชุบชีวิตภาพยนตร์คลาสสิคด้วย AI ที่พัฒนาจนนักแสดงเสมือนจริงเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง จนเกิดเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้
ตอนนี้โดดเด่นด้วยไอเดียที่ต่อยอดจากกระแส AI ในปัจจุบันไปสู่อนาคตของวงการภาพยนตร์ ทั้งการรีมาสเตอร์ฟิล์มเก่าให้มีอัตราส่วน 16:9 แบบสมัยใหม่ การใช้ AI ขับเคลื่อนตัวละครแทนนักแสดงที่เสียชีวิตไปแล้ว และการให้นักแสดงมนุษย์จริงๆ แทรกเข้าไปแสดงร่วม แนวคิดนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การตลาดแต่ยังช่วยลดต้นทุนมหาศาล และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้
จุดเด่นของเรื่องอยู่ที่การเล่าเรื่องซับซ้อนที่สะท้อนปัญหาการสร้างงานรูปแบบใหม่ที่ยังคงยึดติดกับแนวคิดดั้งเดิม ผ่านโลกจำลองที่นักแสดงถูกดูดเข้าไปอยู่ในหนัง โดยมีการปรับเปลี่ยนตัวละครจากพระเอกชายผิวขาวเป็นหญิงผิวดำ และต้องสร้างความสัมพันธ์กับนางเอกในยุคเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว
เรื่องราวพัฒนาความซับซ้อนเมื่อเหตุการณ์การเสียชีวิตในโลกจริงของนางเอกถูกผูกโยงเข้ากับการดำเนินเรื่องที่ผิดไปจากบทเดิม ทำให้นักแสดงต้องปรับตัว ต่อบท และด้นสดไปตามสถานการณ์ จนกลายเป็นเรื่องราวใหม่ที่แตกต่างไปจากต้นฉบับโดยสิ้นเชิง
การแสดงของนักแสดงหลักทั้งสองคนถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะตัวละครนางเอกในหนังต้นฉบับที่ต้องเผชิญกับความจริงว่าตัวเองเป็นเพียง AI และต้องตัดสินใจว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร ขณะที่นักแสดงมนุษย์จริงต้องพยายามเดินเรื่องให้จบตามกำหนดเวลา มิเช่นนั้นเธออาจติดอยู่ในโลกจำลองนี้ตลอดไป
บทภาพยนตร์ซ้อนทับกันหลายชั้น ชวนให้ผู้ชมคาดเดาไม่ได้ว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร และเมื่อถึงบทสรุป ทุกอย่างก็ประสานกันอย่างลงตัวและงดงาม “Hotel Reverie” จึงเป็นอีกหนึ่งผลงานชั้นเยี่ยมที่สมกับเป็นตอนเด่นของ Black Mirror
คะแนน: 9/10
“Plaything (ของเล่น)” – เมื่อเกมดิจิทัลปลดปล่อยปีศาจในตัวมนุษย์
“Plaything” นำเสนอเรื่องราวของผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับวิดีโอเกมจากยุค 90 ซึ่งภายในเกมนั้นได้เกิดสิ่งมีชีวิตประหลาดขึ้น ตอนนี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ “Bandersnatch” (2018) โดยนำตัวละคร Colin Ritman โปรแกรมเมอร์ผู้สร้างเกมแนวแปลกประหลาดกลับมาอีกครั้ง เรื่องราวเล่าถึงเกมที่เขาสร้างขึ้นและถูกสานต่อโดยผู้เล่นคนอื่นจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์อันน่าพิศวง
ต้องยอมรับว่าตอนนี้มีการเสียดสีเทคโนโลยีน้อยกว่าตอนอื่นๆ ของ Black Mirror อย่างเห็นได้ชัด จนดูเหมือนเป็นภาคต่อที่หลุดโลกจาก “Bandersnatch” มากกว่าจะเป็นตอนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เรื่องราวดำเนินผ่านการสอบสวนผู้ต้องสงสัยที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดคล้ายคนที่กำลังหลอนยา แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป เราเริ่มเห็นความจริงที่ว่าการฆาตกรรมของเขามีสาเหตุมาจากเกมที่เขาได้เล่น โครงเรื่องไม่ได้ซับซ้อนมากนัก แต่พยายามสะท้อนธรรมชาติดิบของมนุษย์ที่แฝงอยู่ในตัวตนที่แท้จริงมาตลอด โดยผูกโยงกับแนวคิดการพัฒนาสิ่งมีชีวิตดิจิทัลในเกม ซึ่งท้ายที่สุดกลับย้อนกลับมาทำลายมนุษย์ผู้สร้างเอง
จุดอ่อนของตอนนี้อยู่ที่บทสรุปที่ดูเหมือนหลุดจากความเป็นจริงมากเกินไป และจบลงอย่างกะทันหันราวกับว่าผู้เขียนหมดไอเดียกะทันหัน อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว “Plaything” ยังคงสร้างความบันเทิงและชวนให้ติดตามเรื่องราวได้ดีตลอดทั้งตอน แม้จะไม่ใช่ผลงานที่โดดเด่นที่สุดก็ตาม
คะแนน: 7/10
“Eulogy (คำสรรเสริญ)” – การเดินทางเข้าสู่ความทรงจำแห่งรักที่สูญหาย
“Eulogy” นำเสนอเรื่องราวสะเทือนอารมณ์ของชายผู้โดดเดี่ยวที่ได้รับการร้องขอจากญาติของอดีตแฟนสาวให้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อเข้าไปสำรวจภาพถ่ายเก่า ค้นหาความทรงจำอันเจ็บปวดที่เขาพยายามลบเลือน การเดินทางเข้าสู่อดีตครั้งนี้กลับส่งผลกระทบทางอารมณ์อย่างรุนแรงเกินกว่าที่เขาคาดคิด
ตอนนี้โดดเด่นด้วยแนวคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สามารถแปลงข้อมูลในภาพถ่ายให้กลายเป็นโลกจำลองขนาดเล็กที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปสัมผัสได้ คล้ายกับเทคโนโลยี AR แต่พัฒนาไปไกลกว่ามาก ทีมงานสร้างฉากโลกจำลองได้อย่างน่าทึ่ง เป็นโลก 3 มิติที่ไม่สมบูรณ์ สะท้อนความทรงจำที่ขาดหายไปของตัวละครหลัก
ความพิเศษของเรื่องอยู่ที่รายละเอียดของโลกจำลองที่มีส่วนขาดหายหรือบิดเบือนไป เนื่องจากตัวเอกพยายามลบเลือนใบหน้าของแฟนสาวจากความทรงจำ เทคโนโลยีในเรื่องจึงทำหน้าที่เติมเต็มและปรับแต่งความทรงจำเหล่านั้นให้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกัน เรื่องราวก็ค่อยๆ คลี่คลายให้เห็นเหตุผลที่ตัวละครหลักเลือกจะลืมคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ จนยอมใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไร้คนรักตลอดมา
แม้จะมีโทนการเล่าเรื่องที่เรียบง่าย แต่ “Eulogy” กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์ดราม่าและข้อคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง การหักมุมถึงสองครั้งในตอนจบทำให้เรื่องราวจบลงอย่างประทับใจ ผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ไซไฟและดราม่าโรแมนติกได้อย่างลงตัว “Eulogy” จึงเป็นหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดของ Black Mirror ซีซั่น 7 ที่สะท้อนให้เห็นว่าบางครั้งเทคโนโลยีก็สามารถเยียวยาบาดแผลในใจของมนุษย์ได้
คะแนน: 9.5/10
“USS Callister: Into Infinity” – การผจญภัยของลูกเรือดิจิทัลที่ต้องการเสรีภาพ
“USS Callister: Into Infinity” เป็นภาคต่อโดยตรงของตอน “USS Callister” จากซีซั่น 4 ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เรื่องราวดำเนินต่อจากที่ลูกเรือดิจิทัลสามารถหลบหนีจากกัปตันโรเบิร์ต ดาลีผู้เผด็จการได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าพวกเขายังคงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ในการเอาตัวรอดจากผู้เล่นออนไลน์นับล้านที่ต้องการกำจัดพวกเขา และยังต้องค้นหาหนทางหลุดพ้นจากโลกเกมอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้
แม้ว่าเรื่องจะมีการเล่าเรื่องย่อของตอนเดิมให้ชมอย่างคร่าวๆ แต่ผู้ชมใหม่ควรย้อนกลับไปรับชมตอนเดิมก่อน เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์ของตัวละครและบริบทของเรื่อง
ภาคต่อนี้ยังคงรักษาแก่นเรื่องแนวกึ่งจริงจังกึ่งตลกจากตอนแรกได้อย่างลงตัว โดยเปิดมุมมองใหม่ของชีวิตในโลกเกมออนไลน์ที่แท้จริง กัปตันนาเน็ตและลูกเรือต้องหาทางอยู่รอดด้วยการปล้นผู้เล่นจริงเพื่อสะสมเงินและทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการบำรุงรักษายานอวกาศของพวกเขา ความเสี่ยงที่พวกเขาเผชิญยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเมื่อในฐานะโคลนดิจิทัล พวกเขาสามารถ “ตาย” ได้จริง ไม่เหมือนผู้เล่นทั่วไปที่สามารถเกิดใหม่ได้ ทำให้การผจญภัยแบบโจรสลัดอวกาศนี้ทั้งสนุกและเต็มไปด้วยความตึงเครียด
จุดเด่นของตอนนี้คือการเติมเต็มช่องว่างจากเรื่องเดิม ทั้งการเปิดเผยที่มาของเกม Infinity, ต้นกำเนิดของเทคโนโลยีโคลนนิ่งดิจิทัล และสภาพของบริษัทเกมหลังจากการตายของโรเบิร์ต ดาลี นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงโลกจริงและโลกเกมอย่างชาญฉลาด ด้วยการนำเอาตัวนาเน็ตในโลกจริงมาพบกับโคลนดิจิทัลของเธอเอง สร้างสถานการณ์การเผชิญหน้าที่ทั้งตลกขบขันและมีความซับซ้อนทางอารมณ์
การแสดงของนักแสดงที่สามารถเล่นตัวละครเดียวกันในสองบริบทได้อย่างมีมิติ ผสมผสานกับเนื้อหาที่เสียดสีวัฒนธรรมเกมออนไลน์ได้อย่างคมคาย ทำให้ “USS Callister: Into Infinity” กลายเป็นหนึ่งในตอนที่สนุกสนานและมีสีสันมากที่สุดของซีซั่น 7 บทสรุปที่เปิดกว้างยังบ่งชี้ว่าการผจญภัยของลูกเรือ USS Callister อาจยังไม่จบเพียงเท่านี้ สร้างความคาดหวังให้ผู้ชมอยากเห็นการกลับมาอีกครั้งในซีซั่นที่ 8
คะแนน: 9/10
สรุปโดยรวม
Black Mirror ซีซั่น 7 กลับมาพร้อมไอเดียสดใหม่ที่น่าตื่นเต้น แม้จะยังคงใช้รูปแบบการตั้งคำถามกับเทคโนโลยีในชีวิตมนุษย์แบบดั้งเดิม แต่การนำเสนอในซีซั่นนี้กลับดูสดใหม่และสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น การเล่าเรื่องเสียดสีสังคมทำได้อย่างแหลมคมและทรงพลัง
- ตอนที่ 1 เปิดหัวได้เจ็บปวดสุดใจ กับประเด็นระบบแพ็คเกจสมาชิกรูปแบบใหม่ที่ทั้งกดขี่และขูดรีดจนสะท้อนความจริงในโลกยุคนี้ได้อย่างจะแจ้ง
- ตอนที่ 2 หลุดโลกไปกับการบูลลี่ ที่นำเสนอได้ทั้งบ้าคลั่งและสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน
- ตอนที่ 3 โรแมนติกน่ารักและอบอุ่นใจ กับเรื่องราวของ AI ที่รีมาสเตอร์ภาพยนตร์สุดคลาสิค
- ตอนที่ 4 ต่อยอดความหลุดโลกจากตอน Bandersnatch ได้อย่างน่าทึ่ง
- ตอนที่ 5 สำรวจความสัมพันธ์ที่แสนเจ็บปวด ผ่านภาพถ่ายที่กลายมาเป็นโลกจำลอง สะท้อนความทรงจำและอดีตได้อย่างบาดลึก
- ตอนที่ 6 ภาคต่อของ USS Callister ที่ยังคงความมันส์ ความกาว และการต่อยอดเรื่องราวได้อย่างเมามันส์ แถมยังเติมเต็มสิ่งที่ตอนก่อนหน้าทิ้งไว้ได้อย่างน่าพอใจ
โดยรวมแล้ว ซีซั่นนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในซีซั่นที่ “ชอบมาก” ทุกตอน ด้วยบทที่แข็งแรง มีจุดจบที่ชัดเจน และไม่ปล่อยให้ค้างคาเหมือนบางตอนในซีซั่นก่อน ๆ แถมบางตอนยังดีขนาดที่อยากให้มีภาคต่อในอนาคตอีกด้วยครับ