รีวิว Boy Swallows Universe ดาร์คและมืดหม่นสุดขั้ว แต่ก็อิ่มเอมเต็มเปี่ยมด้วยพลังบวกเหลือล้นเช่นกัน!
Boy Swallows Universe
Summary
นี่คือซีรีส์น้ำดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้ปราณีต ลุ่มลึก ใส่ใจ ค่อยเป็นค่อยไปกับเรื่องราวของเด็กที่เกิดในครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยอาชญากรที่มีแต่ความมืดหม่น รุนแรง ไม่ปราณีกับตัวละครเด็กเลย แต่ก็ผลักดันปัญหานี้ให้เด่นชัดเป็นแกนหลักของเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ และใช้พลังของเด็กตัวเอกที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในวิถีชีวิตนี้กันเองต่อไปแบบซีเรียสจริงจัง แฝงไว้ด้วยพลังบวกที่ช่วยฉุดตัวละครผู้ใหญ่ให้กลับมาเป็นครอบครัวได้อีกครั้ง โดยมีพัฒนาการเติบโตของทุกตัวละครที่มีมิติดีมาก และยังแทรกความแฟนตาซีลงไปเป็นปริศนาของเรื่องหลายอย่าง ที่ผู้ชมต้องสนุกกับการคาดเดาและติดตามว่าสิ่งนี้คืออะไร โดยเฉลยความลับของเรื่องนี้ได้แบบมีเหตุผลและซึ้งกินใจมาก ขอแนะนำว่าห้ามพลาดอยากเชื้อชวนให้ทดลองรับชมกันครับ
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- บอกเล่ามุมมองเด็กที่เกิดในครอบครัวอาชญากร
- ซีรีส์จากนิยายดังของ Trent Dalton
- เรื่องราวเกิดในออสเตรเลียยุค 80
- เรื่องซีเรียสจริงจังรุนแรงกับเด็ก
- มีความฟีลกู๊ดแฝงอยู่เล็กๆ เสมอ
- แทรกแฟนตาซีลงไปในแบบมีเหตุผล
- บทของทุกตัวละครมีมิติ
Cons
- บอสใหญ่ของเรื่องดูหลุดจากยุคสมัยมากไปหน่อย
- การเปลี่ยนนักแสดงจากเด็กไปโตแบบฉับพลันทำให้อารมณ์สะดุดในตอนแรก
Boy Swallows Universe เด็กชายปะทะจักรวาล ลิมิเต็ดซีรีส์ Original Netflix 7 ตอนจบจากออสเตรเลีย จากนิยายดังปี 2018 ของผู้เขียน Trent Dalton เรื่องราวในช่วงปี 1980 พี่ชายและน้องชายที่ร่วมต่อสู้ชีวิตในเมืองด้วยความรัก การไถ่บาป และการแก้แค้น หลังจากที่ครอบครัวของพวกเขาถูกพรากจากกันโดยเจ้าพ่อยาเสพติด
รีวิว Boy Swallows Universe เด็กชายปะทะจักรวาล (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์ดราม่าครอบครัวที่เล่าเรื่องชีวิตของเด็กที่ต้องเติบโตมาครอบครัวอาชญากรแบบจริงจัง มีความดาร์คมากกว่าหน้าปกโปรโมทที่ดูใสๆ เหมือนหนังเด็กฟีลกู๊ดมาก อย่างภาพครอบครัวนั่งมีความสุขกันพร้อมหน้ากับรถบินได้ผ่านดวงดาว ระดับความดาร์คก็ขนาดว่ามีฉากตัวเอกเด็กถูกหั่นนิ้วขาดกันสดๆ ไม่มีเซนเซอร์และยังมีฉากฆ่ากันต่อหน้าเด็ก ฉากชิ้นส่วนศพ โดยมีเนื้อเรื่องคือพ่อเลี้ยงถูกแก๊งยาเสพติดจับตัวไปกลายเป็นคนหาย พ่อแท้ๆ ขี้เหล้า แม่ติดยากับติดคุก รวมถึงการทารุณกรรมเด็ก การบูลลี่ในโรงเรียนที่มีเด็กเกเรคอยจ้องทำร้าย มีฉากชีวิตเด็กที่ตกอยู่ในสภาพอับจนหนทาง โดยเป็นธีมเรื่องราวที่มืดหม่นแบบนี้ทั้งเรื่อง และไม่ได้ใครมาช่วยเหลือได้เพราะเมืองนี้ถูกพ่อค้ายาปกครอง โดยเป็นชาวเวียดนามที่อพยพย้ายมาอยู่และสร้างอิทธิพลขึ้นมาเป็นแก๊งครองเมืองได้ และนำเสนอภาพของแก๊งค้ายาที่ต่างไปจากซีรีส์อเมริกันไป ซึ่งซีรีส์จริงจังกับส่วนเนื้อหามืดหม่นค่อนข้างมาก กดให้อารมณ์ของผู้ชมดิ่งได้จริงจัง จนรู้สึกอึดอัดว่าเรื่องจะย่ำยีเด็กทั้งคู่กันไปถึงขนาดไหน ซึ่งบอกเลยว่ามีไปจนจบเรื่องเลยล่ะครับ
แต่ซีรีส์ก็ไม่ได้เลือกเล่าด้วยมุมมืดหม่นทั้งหมด แต่เป็นการเล่าเรื่องด้วยแสงที่พยายามเล็ดรอดออกมาจากมุมมืดเป็นให้ความหวังเล็กๆ อยู่เสมอ เรื่องเป็นแนวฟีลกู๊ดจากมุมมองของเด็กที่พยายามหลุดพ้นจากความยากลำบาก ด้วยการพัฒนาตัวละครที่ไม่ย่อท้อพร้อมกับความหวังในการมีชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ โดยมีกัส (แสดงโดย Lee Tiger Halley) พี่ชายที่เป็นคนฉลาด นอบน้อม แต่ไม่ยอมส่งเสียงพูดออกมาเลยตั้งแต่อายุ 8 ขวบ (เป็นปริศนาหนึ่งของเรื่อง) แต่ใช้วิธีสื่อสารกับคนอื่นด้วยการเขียนตัวหนังสือบนอากาศ ไม่ใช่ภาษามือ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของเรื่อง โดยชื่อเรื่องนี้ “เด็กชายปะทะจักรวาล” ก็มาจากการที่กัสเขียนบนอากาศเพื่อตั้งฉายาให้กับน้องชายวัย 13 ปี อีไล (แสดงโดย Felix Cameron) เด็กชายที่ช่างพูดช่างท้าทายกับทุกอย่าง และกล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่กัสพยายามห้ามน้องไว้เพื่อปกป้อง ซึ่งตัวละครทั้งคู่ก็เริ่มต้นด้วยชีวิตเลวร้ายมาตั้งแต่พ่อคนก่อนที่ขี้เมาจนแม่แยกทางไปมีคนใหม่ แต่พ่อเลี้ยงแม้จะดีกับพวกเขา แต่ก็แอบขายยาโดยมีแม่ที่เคยติดยาหนักมาก่อนรู้เรื่องนี้ แต่ทำเป็นไม่เห็น แต่เรื่องก็ดำเนินไปโดยพยายามให้เข้าใจมุมมองที่มาของความเลวร้ายว่าผู้ใหญ่ทำมันลงไปทำไม ซึ่งซีรีส์ถ่ายทอดเรื่องแบบนี้กับทุกคนที่เป็นอาชญากรมีทั้งแง่มุมที่ดีและไม่ดี แต่ก็มีเหตุผลทำให้เข้าใจได้ ซึ่งเด็กทั้งคู่จะปรับตัวและอยู่กับคนที่เป็นอาชญากรเหล่านี้ทั้งๆ ไม่ชอบได้ เป็นมุมมองการเดินเรื่องที่แปลกประหลาด เมื่อเนื้อเรื่องนำเสนอภาพของอีไลพยายามทำทุกอย่างให้เป็นผู้ช่วยพ่อเลี้ยงไปขายยาให้ได้ เพราะสัญญาที่ว่าจะพาแม่กับพวกเขาไปมีความสุขที่อื่นหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้แค่นั้น หรือการที่อีไลยึดติดคำสอนของนักโทษเรื่องการเข้ากับหัวโจกของโรงเรียนว่าต้องไม่ปริปากฟ้อง ซึ่งพาให้เขาได้เข้าไปทำสิ่งผิดกฎหมายนี้ในภายหลัง ซีรีส์ไม่ได้นำเสนอว่าเด็กต้องเป็นผ้าขาวหรือต้องเป็นคนดีเลย แต่เด็กอย่างอีไลกับกัสเลือกทำสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าได้อย่างสงบเรียบร้อยเท่านั้น
เรื่องนี้เปิดขึ้นมาโดยพ่อเลี้ยงถูกแก๊งค้ายาลักพาตัวไปท่ามกลางโต๊ะอาหารของครอบครัว ก่อนเล่าย้อนกลับมาตั้งแต่แรกโดยเป็นเรื่องเล่าตอน 1-2 ว่าเกิดอะไรขึ้นกว่าจะมาถึงจุดนั้น แต่ก็ไม่ใช่การเดินเรื่องเพื่อตามหาพ่อที่หายไป ซีรีส์เล่าเรื่องแบบจริงจังกับชีวิตในแบบที่เป็นจริงมากกว่าเพ้อฝัน ซึ่งชีวิตหลังจากนั้นคือจุดพลิกผันที่แย่ลงเรื่อยๆ แต่ทั้งสองพี่น้องก็ร่วมกันสร้างความหวังที่มีน้อยนิดให้กลับมาในจุดที่เป็นจริง อย่างความพยายามให้พ่อแท้ๆ เลิกเหล้า ซึ่งยากลำบากเพราะพ่อก็เป็นโรคกลัวสังคมไม่ได้ทำงาน กินเงินสวัสดิการรัฐอันน้อยนิดที่แทบไม่มีแบ่งเลี้ยงลูกได้ ซึ่งทำให้เด็กทั้งคู่เสี่ยงต่อการถูกรัฐคุมตัวไปดูแล การพยายามเข้าไปคุยกับแม่ในคุกที่ถูกผู้มีอิทธิพลปิดกั้นขัดขวางไว้โดยการแอบเข้าไปในคุก หรือเพื่อนของพ่อที่เป็นนักโทษเก่าติดคุกมานานจากข้อหาฆ่าคนตายและยังโดนคนในสังคมปกติมองแบบนั้นมาตลอด แต่แท้จริงเขาเป็นฆาตกรจริงหรือไม่ อีไลก็สงสัยและพยายามพิสูจน์หาความจริงเสมอ ซึ่งความหวังและพลังใจของเด็กทั้งคู่ช่วยทำให้ตัวละครผู้ใหญ่ในเรื่องนี้ค่อยๆ ยืนหยัดฟื้นกลับมาจากจุดต่ำสุดของชีวิตได้ ซึ่งนี่คือซีรีส์พลังบวกให้กับครอบครัวที่ล้มแล้วให้ลุกขึ้นกลับมายืนหยัดต่อสู้ชีวิตในสังคมได้อีกครั้ง ให้อารมณ์อิ่มเอมใจมากครับ
และอีกอย่างที่เรื่องนี้สร้างสรรค์มากๆ คือการแฝงแง่มุมกึ่งแฟนตาซีเหนือธรรมชาติลงไปในเรื่อง กัสพี่ชายมักบอกใบ้บางอย่างที่เป็นอนาคตให้กับน้องรู้ ซึ่งเรื่องค่อยๆ ทำให้ผู้ชมสงสัยว่ากัสรู้จริงหรือแค่เรื่องบังเอิญ โดยมีโทรศัพท์ติดบ้านสีแดงที่เป็นภาพโปรโมทของเรื่องนี้ที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้เพิ่มอีก นอกจากนี้ยังมีความฝันของทั้งคู่ที่ฝันเหมือนกันถึงการนั่งในรถครอบครัวที่บินได้ผ่านดวงดาวท่ามกลางจักรวาล ซีรีส์ฉายภาพความฝันนี้หลายครั้งโดยเชื่อมกับเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิตจริงเวลานั้นเป็นภาพแฟนตาซีปริศนา ก่อนที่จะมีการเฉลยออกมาในกลางเรื่อง ซึ่งออกมาซึ้งและมีเหตุผลลงตัวให้ผู้ชมเข้าใจได้โดยไม่เสียความเป็นแฟนตาซีนั้นไปด้วย ซึ่งส่วนแฟนตาซีนี้เองที่เป็นแบ็คกราวด์เล็กๆ เหมือนไม่สำคัญมาก แต่แท้จริงแล้วคอยช่วยพยุงให้ซีรีส์ดราม่าเรื่องนี้มีสีสันที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆ มาก และก็ยังนำมันติดไปเป็นตอนจบที่เฉลยชะตากรรมที่ใบ้ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องเกี่ยวกับนกสีฟ้าที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเรื่องนี้ครับ
ด้วยการที่เป็นเรื่องราวการเติบโตของตัวละครเด็ก ซีรีส์ตอน 1-5 จะเป็นนักแสดงเด็กทั้งหมด ยกเว้นกัสที่โตแล้ว ก่อนที่ตอน 7-8 จะข้ามมาอีก 4 ปี นักแสดงในเรื่องจึงเปลี่ยนเป็นอีกชุด ซึ่งอีไลจะเป็นเด็กโตแล้วที่แตกต่างไปเลย ตอนแรกอาจจะผิดแปลกๆ หน่อย แต่นักแสดงรุ่นโตก็มาแทนที่ได้ดีเลย และยังสานประเด็นเรื่องความรักแรกพบของอีไลกับนักข่าวสาวที่เขาปิ๊งเมื่อ 4 ปีก่อนต่อด้วย เธอเหมือนเป็นนางเอกของเรื่อง ซึ่งซีรีส์ก็ผลักดันประเด็นนี้เพิ่มขึ้นจนแอบมีมุมหวานนิดๆ และก็ทำได้น่ารักเลยกับฟีลการแอบหลงรักผู้หญิงที่โตกว่ามาก และเธอยังทำงานนักข่าวที่เขาตั้งเป้าจะทำอาชีพนี้ให้ได้ด้วย ซึ่งก็กลายมาเป็นพี่เลี้ยงสอนเขาด้วยเช่นกัน ก็ทำให้มีชีวิตแง่มุมของการทำงานวงการนักข่าวเข้ามา และเรื่องก็นำจุดนี้ไปเป็นประเด็นสำคัญเพื่อปิดจบเรื่องต่อได้อีก โดยมีบอสตัวร้ายที่โผล่มาตั้งแต่แรกและนำมาใช้ในตอนท้าย ซึ่งเป็นการวกกลับไปประเด็นการต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายที่ครอบงำเมืองอยู่ตั้งแต่พวกเขายังเด็กๆ และต่อสู้กับมันไม่ได้ โดยเรื่องก็ทำไคลแม็กซ์นี้ได้ใหญ่โต กลายเป็นแนวสืบสวนทริลเลอร์ชวนระทึกที่มีความสยองขวัญ แต่มีที่ติดนิดเดียวคือการทำให้บอสดูมีความไฮเทคเกินช่วงยุคสมัยของเรื่องในปี 80s มากไป จนดูแล้วขัดแย้งกับเวลาในเรื่องแบบชัดเจน ซึ่งเข้าใจว่าผู้เขียนคงต้องการให้เนื้อเรื่องมันดูโลดโผนตื่นเต้นมากขึ้นจึงใส่ตรงนี้เข้ามา แต่ก็ไม่ถึงกับขัดกับเรื่องพอมองข้ามได้ครับ
สรุปนี่คือซีรีส์น้ำดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้ปราณีต ลุ่มลึก ใส่ใจ ค่อยเป็นค่อยไปกับเรื่องราวของเด็กที่เกิดในครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยอาชญากรที่มีแต่ความมืดหม่น รุนแรง ไม่ปราณีกับตัวละครเด็กเลย แต่ก็ผลักดันปัญหานี้ให้เด่นชัดเป็นแกนหลักของเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ และใช้พลังของเด็กตัวเอกที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในวิถีชีวิตนี้กันเองต่อไปแบบซีเรียสจริงจัง แฝงไว้ด้วยพลังบวกที่ช่วยฉุดตัวละครผู้ใหญ่ให้กลับมาเป็นครอบครัวได้อีกครั้ง โดยมีพัฒนาการเติบโตของทุกตัวละครที่มีมิติดีมาก และยังแทรกความแฟนตาซีลงไปเป็นปริศนาของเรื่องหลายอย่าง ที่ผู้ชมต้องสนุกกับการคาดเดาและติดตามว่าสิ่งนี้คืออะไร โดยเฉลยความลับของเรื่องนี้ได้แบบมีเหตุผลและซึ้งกินใจมาก ขอแนะนำว่าห้ามพลาดอยากเชื้อชวนให้ทดลองรับชมกันครับ