รีวิว Brightburn เน้นขายความสยอง มากกว่าเรื่องราวที่มีมิติตรงข้ามกับซูเปอร์แมน
Brightburn เด็กพลังอสูร
สรุป
หนังตั้งใจขายความแหวะมากกว่าการเดินเรื่องที่ลึกๆ เปรียบเทียบอีกด้านของซูเปอร์แมนอย่างที่หลายคนหวัง
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- เน้นฉากแหวะหลายฉาก
- น้องนักแสดงตัวเอกเล่นได้โรคจิตดี
- ความน่ากลัวแบบอึมครึมทำได้ดี
Cons
- CG หลอกๆ หลายอย่าง
- บทขาดพัฒนาการเรื่องราวที่ดี
- สเกลหนังเล็กเหมาะเป็นหนังซีรีส์มากกว่า
Brightburn ใช้คำโปรยโฆษณาด้วยคำว่า “จากวิสัยทัศน์ของ James Gunn ผู้สร้าง Guardians of the Galaxy” ที่จะมานำเสนอความสดใหม่และล้มแนวทางซูเปอร์ฮีโร่เก่าๆ ด้วยการเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่สยองขวัญ ที่ว่าเรื่องราวของเจ้าหนู Brandon Breyer ที่ถอดแบบพลังมาจากซูเปอร์แมนแทบจะทั้งหมด (มีเพิ่มคือพลังควบคุมกระแสไฟฟ้า) และก็มีการเดินเรื่องในแนวทางซูเปอร์แมนเติบโตมาเป็นเด็กเลวแทนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นี่เป็นหนังที่คนดูควรจะดูหนัง Man of Steel มาก่อนถึงจะเก็ทกับหลายๆ อย่างที่หนังถอดเอาไปแปลงเป็นแนวสยองขวัญ ซึ่งหนังก็เน้นทำแนวสยองขวัญได้ดี ตัวหนังมีความแหวะสดๆ หลายฉาก ซึ่งหนังก็จงใจเน้นขายตรงนี้ชัดเจนตั้งแต่ในเทรลเลอร์แล้ว เรียกว่าถ้าต้องการดูแนวทางนี้ก็คงไม่ผิดหวังเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องการดูเรื่องราวลึกแบบมีมิติเหมือนซูเปอร์แมนอีกด้าน คงได้ผิดหวังเต็มๆ เพราะถึงจะใช้เรื่องราวการเติบโตแบบ Man of Steel มาเป็นเมนหลัก ที่ว่าด้วยเด็กทารกที่ตกลงมายังโลกด้วยยานอวกาศ แล้วมีพ่อแม่บุญธรรมรับเลี้ยงโดยคิดว่าสักวันเด็กคนนี้ต้องมีเหตุผลต่อโลก แต่หนังกลับเลือกแนวทางเล่าง่ายๆ ชุ่ยๆ ด้วยการละทิ้งพัฒนาการของตัวละครที่ควรจะเป็นจริงไปหมด จากเด็กที่ครอบครัวอบอุ่นพ่อแม่เลี้ยงมาดี กลับกลายมาเป็นเด็กปีศาจชั่วข้ามคืน ด้วยการปลุกพลังด้านมืดที่ชวนให้คิดว่ามาจากปีศาจ มากกว่าจะเป็นแนวไซไฟต่างดาวแบบซูเปอร์แมน หนังพลิกเร็วมากๆ และก็ไม่พยายามอธิบายอะไรเลยว่าทำไมเจ้าหนูนี่ต้องวาดรูปซ้ำๆ ใส่หน้ากากถุงกระสอบประหลาดๆ พกผ้าคลุมแดงใส่บินไปบินมา แค่จงใจให้เหมือนซูเปอร์แมนเท่านั้น แถมฆ่าคนแล้วก็ชอบทิ้งสัญลักษณ์ไว้ ที่บอกใบ้ว่ามาจากชื่อย่อ BB > Brandon Breyer แต่กลับมารู้สึกเดือดร้อนที่โดนตำรวจตามมายุ่งเกี่ยว หลายๆ อย่างของหนังไม่เมคเซนส์ในเชิงที่จะเป็นเรื่องราวการเติบโตของเด็กที่เป็นด้านมืดของซูเปอร์แมนได้เลย ซึ่งเดือนนี้ก็มีหนังซีรีส์อย่าง The boys แนวทางเดียวกันคือ เมื่อซูเปอร์ฮีโร่กลายเป็นสายดาร์คจะเกิดอะไรขึ้น (อ่านรีวิว The boys ได้ที่นี่) ซึ่งตัวร้ายสุดของหนังก็เป็นแนวซูเปอร์แมนเช่นกัน The boys ทำได้ดีกว่ามาก และก็มีเหตุผลที่มาที่ไปดีกว่า Brightburn ที่ตั้งใจแค่กลับด้านหนัง Man of Steel มาใช้แบบลวกๆ เท่านั้น
อาจจะด้วยทุนสร้างแค่ 6 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นหนังทุ่นต่ำมาก หนังจึงไม่พยายามทำฉากเอฟเฟ็กต์อะไรเกินตัวไป จึงเน้นใช้ความน่ากลัวแบบอึมครึม ที่เจ้าหนู Brandon Breyer แสดงออกมาเป็นหลัก อย่างการแอบลอยตัวมองเพื่อนสาวนอกหน้าต่าง หลังพ่อพยายามสอนว่าให้ปลดปล่อยความรู้สึกกลัดมันออกมาได้ ซึ่งตัวนักแสดงเด็ก Jackson A. Dunn เล่นได้ดี ทั้งหน้าตา สายตา ท่าทางดูเหมือนเด็กที่ไม่รู้ผิดถูกชั่วดี ออกแนวโรคจิตๆ ที่แค่เห็นก็ต้องกลัวแล้ว แต่ปัญหาก็ตามที่บอกช่วงต้น หนังเปลี่ยนแปลงบุคคลิกไวจนละทิ้งช่วงพัฒนาการจากเด็กดีไปเลวไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ถ้าเน้นให้เป็นหนัง Coming of Age แบบดาร์ค ก็น่าจะมีอะไรมาให้เล่นมากกว่าการเปลี่ยนปุ๊บปั๊บแบบนี้ แม้จะอ้างว่าถูกยานต่างดาวส่งสัญญาณมาสั่งตรงสู่สมอง แต่กลับไม่มีรายละเอียดให้เห็นแบบที่ซูเปอร์แมนเข้าไปเจอเรื่องราวข้อมูลจากยานเลย ซึ่งคงเพราะทุนต่ำเกินจนไม่สามารถใส่อะไรพวกนี้มาได้ ขนาดยานต่างดาวในโรงนายังดูเหมือนของเทียมติดไฟให้ดูเบลอๆ มองรายละเอียดไม่ออก แถมมี CG ลอยๆ แบบถ่ายกรีนสกรีนแล้วเอาฉากท้องฟ้ามาสวมง่ายๆ แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดงานสร้างมาก แต่ทั้งนี้ในส่วนฉากที่บินไปมาด้วยสปีดความเร็วสูงยังดูโอเค ดูเป็นเรื่องน่ากลัวไปได้เลยว่าถ้าซูเปอร์แมนบินชนใครก็คงเละเป็นโจ๊กแบบที่เจ้าหนูในเรื่องนี้ทำ
ในส่วนของพ่อแม่บุญธรรมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำนัก เนื่องจากบทที่ให้ลูกเปลี่ยนบุคคลิกฉับพลันชั่วข้ามคืน หนังก็โบ้ยไปให้ว่าพ่อแม่คิดว่าฮอร์โมนเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และพยายามนำเสนอในแบบที่ทื่อๆ ว่า “ลูกฉันเป็นเด็กดี” ทั้งๆ ที่พึ่งบีบมือเพื่อนกระดูกแตกไป มันก็ไม่ธรรมดาแล้ว แต่หนังก็ทำเหมือนเรื่องเกินธรรมดานิดนึงเท่านั้น พร้อมกับดำเนินเรื่องราวให้พ่อกลัวลูก แต่แม่รักลูกสุดๆ แต่สุดท้ายหนังก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด แม้ตอนจบจะพยายามบิ้วให้ดูมีอะไรก็ตามที…
สุดท้ายแล้วทั้งพ่อและแม่ก็มีบทเล่นได้แค่เป็นเหยื่อของเจ้าหนูนี่เท่านั้นเอง ไม่ได้มีความลึกซึ้งผูกพันอะไรอย่างที่หนังต้นแบบ Man of Steel ทำออกมา
น่าเสียดายว่าที่จริงหนังมีพล็อตที่ดีอยู่แล้ว แม้จะไม่แปลกใหม่ แต่กลับมารวบรัดตัดตอนจะขายแค่ความสยองไวๆ (หนังสั้นมากแค่ 90 นาทีรวมเครดิต) จนทำให้การเปรียบเทียบว่าเป็นด้านดาร์คของเด็กที่โตมาเป็นซูเปอร์แมนคงไม่เหมาะนัก กลับเหมือนหนังเด็กซาตานอะไรแบบนั้นมากกว่า ซึ่งเอาจริงๆ ควรนำไปสร้างเป็นซีรีส์ฉายยาวๆ ให้เห็นถึงพัฒนาการแบบ The boys จะดีกว่ามาก ซึ่งถ้าใครชอบแนวดาร์คอยากแนะนำให้ดูมากกว่า Brightburn ที่ดูจบแล้วโล่งๆ กลวงๆ ไม่มีอะไรให้มากกว่าเทรลเลอร์หนังที่ปล่อยออกมา
หนังจบแบบค้างไว้ให้มีต่อได้สบายๆ แถมด้วยเอนเครดิตล้อไปยังเรื่องอื่นของ DC ว่าถ้าตัวละครอื่นนอกจากซูเปอร์แมนเป็นตัวเลวแบบนี้จะเป็นไง ซึ่งก็เหมือนทิ้งเชื้อไว้ให้เป็นจักรวาลดาร์คซูเปอร์ฮีโร่ โดยกะว่าเอาเรื่องนี้มาทดลอง ถ้าดังคงทำต่อแน่นอน ซึ่งจากตอนนี้หนังได้กำไรไปเยอะ แต่เสียงวิจารณ์สวนทางมาก ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายอุตสาหกรรมครอบครัวของ James Gunn ที่ดึงพี่น้องแท้ๆ มาเขียนบท (Brian Gunn, Mark Gunn) จะไปต่อหรือไม่ สำหรับคนชอบหนังแนวดาร์คๆ ก็คงตามไปดูต่ออยู่ดี แม้จะไม่โอเคกับ Brightburn ที่เป็นเรื่องราวเปิดจักรวาลนี้นักครับ