รีวิวหนัง Cadaver (Netflix) โรงละครเลือดหลังสงครามนิวเคลียร์
Cadaver ละครเลือด
สรุป
หนังสยองขวัญที่พยายามโยงเรื่องราวเข้ากับดราม่ายุคหลังสงครามนิวเคลียร์ ผ่านการแสดงละครและการเอาตัวรอดของมนุษย์ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ฉากสยองขวัญก็ไม่ได้เยอะอย่างที่คิด แค่พอดูได้ ไม่ถึงกับมีอะไรน่าจดจำนัก
Overall
6/10User Review
( vote)Pros
- โยงเรื่องการแสดงละครเข้ากับแนวไล่เชือด
- เรื่องราวมีแบ็คกราวด์ผูกกับการเอาตัวรอดของมนุษย์หลังสงครามสิ้นโลก
Cons
- ตัวเรื่องพยายามเน้นผูกดราม่าเข้ากับเรื่องสยองขวัญจนไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่
- ช่วงวนไปวนมาตามห้องต่างๆ ตามหาลูกไม่ค่อยมีอะไรให้น่าติดตาม
- ฉากสยองขวัญน้อย ไปหมกอยู่ช่วงท้ายเท่านั้น
- ใส่ปมเรื่องลูกนางเอกหายไปก่อนเฉลยแบบงั้นๆ
Cadaver ละครเลือด Netflix หนังดราม่าสยองขวัญบนฉากหลังที่เป็นโลกยุคหลังสงครามนิวเคลียร์ เมื่อผู้คนหิวโหยต่างได้รับคำเชิญให้เข้าไปชมละครโรงใหญ่ ที่ผู้เข้าชมสามารถเลือกดูการแสงของใครก็ได้ในที่แห่งนี้ แต่ผู้คนกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ มีเพียงครอบครัวหนึ่งที่รอดชีวิตและกำลังตามหาลูกสาวที่หายไปในโรงละครแห่งนี้เช่นกัน
ตัวอย่าง Cadaver ละครเลือด
มีสปอยล์เนื้อหาบางส่วน แต่ไม่ใช่จุดหักมุมของเรื่อง
หนังเรื่องนี้เป็นของประเทศ Norway ซึ่งไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก ตัวเรื่องวางธีมเป็นแนวสยองขวัญผสมดราม่าปัญหาสังคมที่มีฉากหลังของเรื่องเป็นยุคหลังสงครามนิวเคลียร์ที่ขาดแคลนอาหาร ผู้คนอดอยากแทบเอาชีวิตไม่รอดในแต่ละวัน ซึ่งตัวเรื่องจะโฟกัสไปที่ครอบครัวหนึ่งที่ภรรยาเป็นนักแสดงมาก่อน และก็ได้พบกับคำเชิญเข้าชมโรงละครใหญ่กลางเมืองที่กลับมาแสดงอีกครั้ง พร้อมทั้งการแจกอาหารให้แขกที่มาร่วมชมละครฟรีอีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่ทำให้ครอบครัวพ่อแม่กับลูกสาวตัดสินใจตีตั๋วเข้าไปชมละครที่มีกฎให้ผู้เข้าชมต้องสวมหน้ากาก เพื่อแยกแยะว่านี่คือผู้ชมที่กำลังติดตามนักแสดงแต่ละคนในโรงละครนี้อย่างอิสระ และเมื่อละครเริ่มขึ้นหลายอย่างก็เริ่มผิดปกติไป มีผู้คนหายตัวไปรวมถึงลูกสาวของเธอด้วย ตัวเรื่องจึงเหลือแค่พ่อกับแม่ที่ต้องตามหาลูกให้เจอในโรงละครที่เต็มไปด้วยนักแสดง แต่กลับไม่พบแขกผู้ชมเหลืออยู่อีกเลย
ตัวหนังแทบไม่ต้องเดาว่าแนวอะไร เพราะมีใบ้ตั้งแต่ปกของเรื่องหรือตัวอย่างเลยว่านี่เป็นแนวไล่เชือด ซึ่งในส่วนนี้ถือว่ายืดไปหน่อยเพราะกว่าจะเริ่มเข้าแนวนี้ก็ปาไปช่วงหลังของเรื่องแล้ว (หนังยาว 96 นาที) ซึ่งไม่สะใจคนดูแน่นอนถ้าเทียบแนวไล่เชือดสยองขวัญเรื่องอื่นๆ ที่มีฉากเลือดสาดกันตั้งแต่แรกๆ แต่เรื่องนี้ช่วงแรกจะพยายามเล่นกันการหายตัวไปของผู้คนและลูกสาวของนางเอก แบบเป็นปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ตัวละครนักแสดงในโรงละครก็ยังทำหน้าที่เดินไปมาตามปกติ ทั้งๆ ที่ผู้คนหายไปอย่างผิดปกติ ตัวหนังใช้เวลาช่วงนี้ยาวนานมากเพื่อให้เรื่องดูลึกลับเดาไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือนี่เป็นแค่ละครทั้งหมดอย่างที่ผู้กำกับละครบอกไว้ในตอนแรก ซึ่งช่วงนี้แทนที่จะสนุกกลับดูวนไปมา เดินเรื่องเนือยๆ ไม่ค่อยน่าสนใจ แม้จะดูลึกลับเป็นปริศนาก็จริง
หลังตัวเรื่องเข้าสู่ช่วงไล่เชือดนี่แหละถึงค่อยมีอะไรน่าสนใจขึ้นมาบ้าง แม้คนดูจะเดาได้อยู่แล้ว แต่เรื่องก็มีปมดราม่าแฝงเข้ามาในเรื่องเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องจัดละครให้คนดู แล้วทำไมถึงต้องใส่หน้ากาก และแสดงให้สมจริง ซึ่งโยงเข้ากับดราม่าฉากหลังสงครามนิวเคลียร์นิดหน่อยให้พอรู้สึกว่ามีแรงจูงใจในการจัดละครขึ้นแบบนี้ แต่ถ้ามองในเรื่องเหตุผลแล้วตัวเรื่องก็ไม่ได้สมเหตุผลเท่าไหร่ เหมือนแค่ต้องการให้ดูเป็นดราม่าปมปัญหาสังคมในยุคดิสโทเปียเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้แปลกใหม่แล้วกับปมแบบนี้ มีเรื่องอื่นเล่นไปเยอะแล้วมากมาย
โรงละครแห่งนี้หลอกคนมาฆ่าเอาเนื้อมากิน โดยให้สวมหน้ากากแยกนักแสดงออกจากผู้ชม เพื่อให้คนดูกระจายตัวไปดูนักแสดงที่หลอกเหยื่อไปให้นักฆ่าจัดการอีกที และก็เอาเนื้อคนนั้นแหละกลับมาเลี้ยงเหยื่อในรอบต่อๆ ไปอีก
ตัวหนังช่วงท้ายมีช่วงเจ๋งนิดๆ กับทริกที่นางเอกใช้เพื่อต่อสู้กับทีมงานโรงละครที่เล่นเหมือนจริง ซึ่งก็วกเอาสกิลที่ปูทิ้งไว้ตอนแรกว่าเธอเป็นนักแสดงมาใช้ และก็ใช้การแสดงนั้นหวนกลับมาเล่นงานพวกในโรงละครแทน ซึ่งถือว่ามาช่วยทำให้หนังน่าสนใจ มีอะไรให้พูดถึงได้อยู่บ้าง จากที่ทั้งเรื่องค่อนข้างธรรมดาไม่สดใหม่ แถมยังไม่ได้มีฉากสยองขวัญอะไรมากมายอย่างที่คิด
นี่เป็นหนังที่มีความพยายามจะให้เรื่องราวมีความลึก แต่กลับไม่ได้ลึกอะไรมาก เพราะเรื่องก็ผูกโยงกันง่ายๆ ที่คนดูเดาได้ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไหร่จริงๆ ยิ่งถ้าเทียบประเด็นใกล้เคียงอย่างเรื่อง The Platform นี่ยิ่งห่างไกลมากครับ