รีวิว Carry On (Netflix) แอ็กชั่นทริลเลอร์สไตล์ยุค 90s ที่บทฉลาดสนุกลุ้นระทึกตลอดเวลา
Carry On
Summary
เป็นหนังแอ็กชั่นทริลเลอร์สไตล์ยุค 90s ที่ห่างหายไปนาน โดยใช้ตัวเอกฮีโร่ชายหนุ่มบ้านๆ เป็นพนักงานสแกนกระเป๋าผู้โดยสายที่โดนผู้ก่อการร้ายข่มขู่ให้เขาปล่อยผ่านกระเป๋าปริศนาขึ้นเครื่องบินไป หนังเล่นชิงไหวพริบระหว่างทั้งคู่ภายในขอบเขตจำกัดของสนามบินได้อย่างสนุกลุ้นระทึกกดดันมากๆ โดยมีปริศนาว่าในกระเป๋านี้คืออะไร และคนร้ายก็มีหลายคนมาก โดยฝั่งตัวเอกก็มีตำรวจสายสืบด้านนอกสนามบินที่มีฉากแอ็กชั่นโชว์ความระทึกบนรถแบบลองเทคที่ซีนนี้ออกแบบมาดีจริงๆ (แม้จะใช้ CG มาช่วยด้วยเยอะ) และยังมีบทของนางเอกที่ได้ซีนเด่นฉลาดๆ ท้ายเรื่องสู้กับผู้ร้ายเพียงลำพังอีก ซึ่งบทบาททุกตัวละครในเรื่องนี้ดูดีและใช้คุ้มค่ามาก มีความฉลาดกันทั้งสองฝั่งสูสีกัน แม้ว่าจะมีเรื่องบังเอิญใส่ลงไปเยอะ แต่ก็สามารถมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ เพราะหนังทำได้สนุกจริงๆ ครับ
Overall
8/10User Review
( vote)Pros
- หนังแอ็กชั่นทริลเลอร์สไตล์ยุค 90s
- บทเขียนได้ดี ฉลาด ลุ้นระทึกตลอดเวลา
- ฉากแอ็กชั่นกลางเรื่องเจ๋ง
- แบ่งบทได้ดีกันทุกคน
- มีพากย์ไทย
Cons
- มีความบังเอิญง่ายๆ แทรกลงไปเยอะ (แต่ก็พอมองข้ามไปได้)
Carry On สัมภาระอันตราย ภาพยนตร์ Original Netflix แนวแอ็กชั่นทริลเลอร์ เรื่องราวของเจ้าหน้าที่ TSA ที่ถูกชายปริศนาคุกคามด้วยการบังคับให้เขาปล่อยผ่านกระเป๋าโดยสารใบหนึ่งแลกกับชีวิตของแฟนสาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
รีวิว Carry On
หนังที่ได้ผู้กำกับ Jaume Collet-Serra จาก Black Adam เดินเรื่องด้วยแนวแอ็กชั่นทริลเลอร์พล็อตยุค 90s ที่มักใช้ฮีโร่เป็นคนธรรมดาที่มีสกิลพิเศษติดตัวแล้วเข้ามาติดอยู่ในสถานการณ์คับขันที่ผู้ก่อการร้ายวางไว้อย่าง ไดฮาร์ด สปีด ซึ่งพล็อตแบบนี้ใครๆ ก็ชอบ แต่หลายเรื่องที่ทำมาช่วงหลังคือพล็อตเรื่องกับบทตันจนเลิกทำกันไปเอง แล้วก็หันมาเป็นแนวแบบ Taken กันช่วงหนึ่งต่อด้วยแนวแบบแอ็กชั่นนอนสต็อบเท่ๆ อย่างจอห์นวิคที่จนป่านนี้ฮอลลีวู๊ดก็ยังฮิตสร้างออกมาไม่เลิก ดังนั้นการมาของแนวแอ็กชั่นทริลเลอร์ดั้งเดิมแบบนี้จึงมีความน่าสนใจตั้งแต่แรก
หนังสร้างตัวเอก อีธาน (Taron Egerton) ฮีโร่ของเรื่องนี้ให้เป็น TSA (Transportation Security Officer) ก็คือคนตรวจสแกนกระเป๋าสนามบินเพื่อหาของต้องห้ามและเป็นอันตราย โดยเขาก็พึ่งได้มาทำหน้าที่นี้เป็นวันแรกและก็แจ็คพ็อตเจอกับผู้ก่อการร้ายที่ให้เขาใส่หูฟังไว้เพื่อออกคำสั่งควบคุมเขาอีกที โดยมีเงื่อนไขง่ายๆ คือให้ปล่อยผ่านกระเป๋าใบหนึ่งไปโดยไม่ทำอะไรแค่นั้น ซึ่งเรื่องก็เริ่มความลึกลับให้ผู้ชมสงสัยว่าในกระเป๋านี่คืออะไร ใช่ระเบิดหรือไม่ และผู้ก่อการร้ายนี้เป็นใคร ต้องการอะไร ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หนังค่อยๆ พาไปหาคำตอบทีละเรื่อง โดยที่มีข้อจำกัดคืออีธานจะโดนจับตาอยู่ตลอดผ่านกล้องวงจรปิดกับเสียงที่ผ่านหูฟัง ถ้าเขาพยายามหาคนช่วย แฟนสาวของเขาที่ทำงานที่สนามบินต้องตาย นี่คือเกม 1 ชีวิตแลกกับผู้โดยสายบนเครื่องจำนวนมากหรือแม้กระทั่งคนทั้งสนามบินกันเลยทีเดียว
ตัวเรื่องได้เพิ่มสถานการณ์ด้านนอกขึ้นมาสมทบอีกชั้นโดยผ่านตัวละครนักสืบผิวดำหญิง โคล (Danielle Deadwyler) โดยมีฉากตามสืบจากเหตุร้ายที่เกิดด้านนอกก่อนหน้านั้นที่จะมาเชื่อมกับของอีธานในภายหลัง หนังจึงแบ่งเป็นเหตุการณ์ของอีธานที่กำลังถูกดดันจนแทบสิ้นหวังจากตัวร้ายปริศนาสลับกับโคลที่ตามสืบเบาะแสด้านนอกโดยมีผู้ก่อการร้ายคอยชักใยควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เช่นกัน โดยให้แนวแอ็กชั่นใหญ่ๆ อยู่กับโคลเป็นหลัก มีฉากต่อสู้เด็ดๆ กันบนรถที่โชว์แนวลองเทคผสมกับ CGI เป็นฉากในรถที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงที่ออกแบบได้น่าทึ่งมาก ส่วนของอีธานจะเป็นแนวเกมจิตวิทยาที่เขาต้องหาทางออกจากเกมที่คนร้ายวางไว้ให้ได้ ซึ่งหนังก็บีบคั้นสุดๆ ทำให้เขาจนมุมแทบทุกทางออก ในสภาพที่คนทั้งสนามบินก็ไม่รู้เรื่องนี้ และเขาเองก็จะทำให้แตกตื่นไม่ได้ ก่อนค่อยๆ เปิดทางออกให้จากการคลายปมอดีตของอีธานว่าจริงๆ แล้วเขามีไหวพริบฝีมือดีกว่าการมาเป็น TSA มาก ซึ่งเซนส์ความสามารถตรงนี้ทำให้เรื่องดูน่าเชื่อถือว่าคนอย่างเขาต่อสู้กับคนร้ายขนาดนี้ได้จริงๆ และก็ทำให้เรื่องค่อยๆ มีทางไปแล้วสู้กลับได้ด้วยบทที่ฉลาด และลุ้นระทึกคาดเดาไม่ได้ว่าเขาจะค่อยๆ หลุดจากอำนาจการควบคุมของคนร้ายได้ยังไง โดยใช้สภาพแวดล้อมของสนามบินแต่ละอย่างมาให้เป็นประโยชน์ได้จนจบเรื่อง รวมถึงสิ่งของในกระเป๋านี้คืออะไร ซึ่งหนังก็โชว์ไอเดียผู้ก่อการร้ายยุคใหม่ที่มีแผนร้ายซับซ้อนได้อย่างน่าทึ่งเหมือนกัน
นอกจากนี้แล้วในช่วงหลังหนังก็ให้แฟนสาวของเขาก็กลายมาเป็นตัวละครหลักในเหตุการณ์นี้อีกคน ซึ่งก็เปิดทางให้มีซีนแอ็กชั่นสู้กับผู้ก่อการร้าย ได้แสดงบทบาทนางเอกเก่งฉลาดสู้คนไม่ใช่แค่รอให้พระเอกช่วย ซึ่ง Sofia Carson ก็เล่นได้ดีเลย แถมหน้าตาสวยคมเข้มเก๋ๆ ไปอีก แต่ว่าเคมีของเธอกับพระเอก Taron Egerton ยังไม่ถึงขั้นเข้ากันมากเท่านั้นครับ
ส่วนตัวร้ายในเรื่องก็ได้ Jason Bateman ตัวเอกจากซีรีส์ Ozark มาเล่นเป็นหัวหน้าตัวร้ายที่มีบุคคลิกเท่โหดจากอำนาจควบคุมที่เขามีอยู่หลายอย่าง ซึ่งเรื่องก็ใช้เวลาไม่นานในการเปิดตัวเขาตรงๆ เพื่อข่มขวัญอีธานแบบไม่แคร์อะไรเลย แล้วก็พยายามควบคุมให้อีธานอยู่ในเกมให้ได้ โดยลูกน้องที่แสดงโดย Theo Rossi ที่หน้าตาชั่วแบบเจ้าเล่ห์อกกนอกหน้าจนแสดงบทไหนก็ได้เป็นตัวร้ายตลอด (ล่าสุดก็คือบทด็อกเตอร์จูเลียน รัสในซีรีส์เพนกวิน) ในเรื่องนี้เขาคือผู้เฝ้าดูที่คอยจับตาแฟนสาวของอีธาน แล้วก็เป็นสไนเปอร์ไปพร้อมกัน ซึ่งก็มีฉากเด่นให้เขาต้องปะทะกับแฟนสาวของอีธานชิงไหวพริบเอาตัวรอดกันตรงๆ อีกด้วยครับ
แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้มีหลุดๆ ไปบ้างก็คือ หลายครั้งมักใช้ความบังเอิญมาช่วยผ่านเหตุการณ์มากไปหน่อย รวมถึงตัวละครคนร้ายก็ทำอะไรที่ดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมาดื้อๆ อย่างฉากคนร้ายส่องสไนเปอร์เล็งเลเซอร์จากด้านนอกอาคารเข้ามาหาแฟนสาวของอีธานแบบง่ายๆ แต่ฉากเหตุการณ์ฉับพลันพวกนี่ก็เข้าใจได้เพราะบทถูกบีบคั้นให้อยู่แต่ในสนามบินและเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งรวมๆ แล้วก็พอมองข้ามความสมเหตุผลต่างๆ ไปได้ และนี่เป็นบทหนังจากผู้เขียนเกมแล้วมาเขียนบทหนังเรื่องแรก T.J. Fixman ทำได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว และเขาน่าจะเป็นผู้เขียนบทที่น่าจับตาต่อไปอีกด้วยครับ
สรุป เป็นหนังแอ็กชั่นทริลเลอร์สไตล์ยุค 90s ที่ห่างหายไปนาน โดยใช้ตัวเอกฮีโร่ชายหนุ่มบ้านๆ เป็นพนักงานสแกนกระเป๋าผู้โดยสายที่โดนผู้ก่อการร้ายข่มขู่ให้เขาปล่อยผ่านกระเป๋าปริศนาขึ้นเครื่องบินไป หนังเล่นชิงไหวพริบระหว่างทั้งคู่ภายในขอบเขตจำกัดของสนามบินได้อย่างสนุกลุ้นระทึกกดดันมากๆ โดยมีปริศนาว่าในกระเป๋านี้คืออะไร และคนร้ายก็มีหลายคนมาก โดยฝั่งตัวเอกก็มีตำรวจสายสืบด้านนอกสนามบินที่มีฉากแอ็กชั่นโชว์ความระทึกบนรถแบบลองเทคที่ซีนนี้ออกแบบมาดีจริงๆ (แม้จะใช้ CG มาช่วยด้วยเยอะ) และยังมีบทของนางเอกที่ได้ซีนเด่นฉลาดๆ ท้ายเรื่องสู้กับผู้ร้ายเพียงลำพังอีก ซึ่งบทบาททุกตัวละครในเรื่องนี้ดูดีและใช้คุ้มค่ามาก มีความฉลาดกันทั้งสองฝั่งสูสีกัน แม้ว่าจะมีเรื่องบังเอิญใส่ลงไปเยอะ แต่ก็สามารถมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ เพราะหนังทำได้สนุกจริงๆ ครับ