playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Citadel: Diana (Prime) สเกลแอ็กชั่นลดลง แต่เล่าเรื่องสายลับสองหน้าในโลกของตัวร้ายได้ดีกว่า

Summary

ภาคแยกจากซิทาเดลอเมริกามาเป็นอิตาลี แต่ก็อยู่ในจักรวาลเดียวกัน เนื้อเรื่องมีการเชื่อมถึงกันเพียงแต่ใช้ตัวละครกับเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมด และลดฉากแอ็กชั่นสเกลใหญ่แบบภาคแรกลงมา หันไปเน้นอุปกรณ์ไฮเทค เป็นแนวสายลับสองหน้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของซิทาเดล เล่าเรื่องตัวเธอในอดีตกับการหาทางมีชีวิตรอดโดยไม่มีซิทาเดลช่วย ภายใต้การทำงานให้ตัวร้ายแมนติคอร์ และต้องคงอุดมการณ์เดิมไว้พร้อมกับค้นหาเป้าหมายใหม่ที่ช่วยโลกหรือแค่ช่วยตัวเธอเอง โดยที่ฝ่ายตัวร้ายก็มีหลายฝ่ายหักหลังลับลวงพรางแม้แต่พ่อลูกในองค์กรเดียวกัน ซึ่งแม้บทอาจจะไม่ถึงกับหักมุมให้ทึ่งได้มากนัก แต่ก็ได้ความสดใหม่ในมุมการเล่าเรื่องโลกของตัวร้ายล้วนๆ และตัวเอกดิอาน่าเองก็สวยเท่มีสไตล์โดดเด่นจนแค่ดูเธอเพียงอย่างเดียวก็เพลินตาแล้วครับ (เดือนหน้าวันที่ 7 มี ซิทาเดลอินเดียต่ออีก)

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เนื้อเรื่องคู่ขนานไปกับภาคแรกส่งเสริมกัน
  • เล่าเรื่องในมุมมองตัวร้าย
  • อุปกรณ์สายลับไฮเทคใหม่ๆ
  • นางเอกสวยเท่มาก
  • มีฉากติดเรตเปลือยกาย
  • มีพากย์ไทย

 

 

 

Cons

  • ฉากแอ็กชั่นลดสเกลเบาลงเยอะ
  • บทหักมุมต่างๆ ยังไม่ถึงกับสุดมาก

ADBRO

Citadel: Diana ซีรีส์ Amazon Prime video 6 ตอนจบซีซั่น 1 มีพากย์ไทย เรื่องราวของดิอาน่า สายลับจากซิทาเดลคนเดียวที่เหลืออยู่ในโลกและทำงานในฐานะสายลับสองหน้าให้องค์กรร้ายแมนติคอร์ เธอต้องหาทางรอดชีวิตและสานต่ออุดมการณ์กู้โลกต่อไปให้ได้

รีวิว Citadel (6 ตอนจบ) ซีรีส์แอ็กชั่นสายลับเนื้อเรื่องเชยๆ แต่อลังการงานสร้างคุ้มค่าสุดๆ (ไม่สปอยล์)

รีวิว Citadel: Diana ดิอาน่า (ไม่สปอยล์)

 

ซีรีส์อิตาลีภาคแยกและเป็นภาคต่อของ Citadel อเมริกาไปพร้อมกัน ซึ่งภาคนั้นใช้ทุนสร้างสูงถึง 300 ล้านเหรียญ ซึ่งงบทั้งหมดตกไปอยู่ที่งานสร้างฉากแอ็กชั่นภารกิจสายลับแยกตอน ทำเหมือนหนังรวมสายลับลุ้นๆ กันทุกตอน แต่ปัญหาคือความเชยของภารกิจกับเนื้อเรื่องสายลับความจำเสื่อมแล้วกู้คืนกลับมามันเป็นไอเดียที่มีหลายเรื่องนำมาใช้แล้ว ทำให้ผลตอบรับไม่ค่อยดีมาก แม้ตอนจบจะหักมุมทำให้ความเชยทั้งหมดที่ทำมาถูกลบหายไปได้ก็ตาม ซึ่งตอนท้ายก็ทิ้งไว้ว่ามีต่อซีซั่น 2 และยังตอนจบของภาคนั้นก็มีตัวอย่างของภาคดิอาน่าต่อกันเลย และพอดูภาคนี้จบก็เลยรู้ว่าฉากในตัวอย่างนั้นก็คือถ่ายเสร็จหมดแล้วด้วยตั้งแต่ปีก่อน และยังมีภาคต่อ Citadel: Honey Bunny เนื้อเรื่องอยู่ที่อินเดียเตรียมฉายวันที่ 7 พฤษจิกายน เดือนหน้าอีก โดยใช้ผู้กำกับกับทีมสร้างแยกกันหมด แต่มีพี่น้องรุสโซ่เป็นโปรดิวเซอร์หลักทุกภาคเพื่อความเชื่อมโยงกัน ซึ่งนี่คือจักรวาลหนังสายลับฟอร์มยักษ์ที่สุดที่เคยมีสร้างกันแน่นอนครับ 

สิ่งที่ดิอาน่าทำได้ดีมากกว่าภาคก่อนคือการสลัดความเชยๆ หลายอย่างออกไป ภาคนี้ไม่ได้แบ่งตอนเป็น 1 ภารกิจอีกแล้ว แต่เป็นเนื้อเรื่องยาวๆ ของสายลับซิทาเดลคนเดียวที่แฝงตัวอยู่กับฝ่ายศัตรูแมนติคอร์ องค์กรสายลับที่ทำลายซิทาเดลไปในภาคก่อน เรื่องราวมาในแนวสายลับสองหน้า เธอไม่มีประวัติตัวตนในซิทาเดล ไม่เคยเจอใครในซิทาเดลนอกจาก ‘กาเบรียลเล่’ ผู้ฝึกสอนลึกลับที่พาเธอเข้ามาเป็นสายลับเนื่องจากความพยายามขุดคุ้ยสาเหตุการตายของพ่อแม่จากเครื่องบินตกแล้วเริ่มเข้าใกล้ความจริงว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ ซึ่งทำให้เธอไม่ถูกเครื่องมือลบความทรงจำที่ฝังไว้ในคอแบบเดียวกับที่สายลับภาคสนามในภาคก่อนโดนกัน และก็เป็นการเปิดเนื้อเรื่องใหม่ในมุมมองของสายลับที่ต้องทำงานให้แมนติคอร์อิตาลี (มีเกริ่นเป็นคำพูดของบอสในภาคแรก) พอเหลือเธอคนเดียวถูกทิ้งไว้ เธอต้องทำยังไงกับชีวิตที่เหลือนี้ นี่คือเป้าหมายของเธอที่ต้องสร้างหนทางขึ้นมาเอง

 

ตัวเรื่องเล่าใน 2 ช่วงเวลาที่ทั้งเฉลยตัวตนในอดีตของเธอก่อนเข้ามาเป็นซิทาเดลและตามด้วยแมนติคอร์ ซึ่งก็คือช่วงเวลาก่อนที่ซิทาเดลจะถูกบุกโจมตีทั้งโลก และอีกช่วงคือปัจจุบันปี 2030 ซึ่งก็คือเวลาเดียวกับภาคแรก (8 ปีต่อมา) โดยช่วงเวลา 8 ปีก่อนก็มีความลับของดิอาน่าที่สำคัญซ่อนอยู่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน การเล่าคล้ายๆ กับภาคแรก แต่ไม่ถูกวางให้ซับซ้อนมากแบบภาคแรก และก็ไม่ได้มีเยอะมากแบบที่ภาคก่อนทำไว้จนเนื้อเรื่องหลักแทบไม่ไปไหน เนื้อหาปัจจุบันคือการชิงอำนาจของแมนติคอร์ยุโรป 3 กลุ่ม อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน ที่อยากขึ้นครองยุโรปและกำหนดชะตาของโลกด้วยตัวเอง เป็นการต่อสู้ของกลุ่มตัวร้ายพันธมิตรด้วยกันเองแบบแก๊งอาชญากรใหญ่ที่ต่างฝ่ายก็มีเทคโนโลยีไฮเทคแตกต่างกัน โดยมีอาวุธลับที่เป็นเทคโนโลยีที่หลงเหลือมาจากการถล่มซิทาเดล ซึ่งก็คือสิ่งที่นางเอกดิอาน่าพยายามปกป้องไว้ในฐานะสายลับซิทาเดลคนสุดท้ายของโลก 

ตัวเรื่องไม่ได้เน้นฉากแอ็กชั่นใหญ่ระเบิดโครมครามแบบภาคก่อนแล้ว เพราะเข้าใจว่าทุนน้อยกว่ามาก แต่ไปเน้นบทชิงไหวพริบหักเหลี่ยมกัน โดยมีฉากแอ็กชั่นระดับกลางๆ ที่ทำออกมากำลังดี และไปเน้นอุปกรณ์ช่วยเหลือสายลับล้ำๆ ติดตัวอย่าง คอนแทคเลนส์คอมพิวเตอร์ ปืนที่เปลี่ยนสภาพได้ แต่กลายเป็นว่ามันลงตัวกว่า เพราะนี่คือเรื่องราวในมุมของสายลับสองหน้าคนสุดท้ายที่ต้องหาทางรอดชีวิตออกไปจากองค์กรให้ได้ โดยที่ต้องโกหกทุกคนตลอดเวลาแม้แต่ฆ่าพวกเดียวกันเองในแมนติคอร์ ซึ่งก็คือความเสี่ยงว่าทำยังไงให้รอดในองค์กรได้เพราะเธอต้องปฏิบัติภารกิจผิดพลาดจากคำสั่งอยู่เรื่อยๆ โดยหาทางอ้างเหตุผลเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องราวกันไม่ให้ฝ่ายตัวร้ายจับได้ แม้จะต้องเข้าเครื่องจับเท็จที่ไฮเทคมากก็ตาม โดยให้เธอมีวิธีฝึกการเป็นสายลับสองหน้าที่ต้องเก็บอารมณ์ทุกอย่างไว้ได้หมด โดยใช้อุปกรณ์ของซิทาเดลมาช่วยฝึก แต่มันก็มีผลกระทบกับร่างกายตามมา ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเธอที่เรื่องนำมาใช้เชื่อมโยงกับอารมณ์ความสัมพันธ์ปกติที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนรองของบอสอิตาลีที่มีวิสัยทัศน์ทำให้แมนติคอร์ต่างออกไปจากพ่อ ซึ่งตัวละครดิอาน่าเองก็เหมือนมีแผนตลอดเวลากับเขาจนแม้แต่ผู้ชมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือจริงหรือเท็จเหมือนกัน 

แม้แต่ฝ่ายตัวร้ายเองก็ยังเป็นแนวแผนการหลอกลวงซ้อนๆ เอง อย่างฝรั่งเศสที่ขอแต่งงานกับอิตาลีเพื่อรวมองค์กร หรือศึกสายเลือดพ่อลูกในแมนติคอร์อิตาลีเองก็เป็นแบบเดียวกับพวกหนังมาเฟียที่พ่อกุมอำนาจไว้ไม่ยอมปล่อย ลูกที่พยายามทะเยอทะยานขึ้นมาก็โดนพ่อสกัดไว้ด้วยแผนการต่างๆ ซึ่งแม้บทอาจจะไม่เฉียบล้ำหักมุมจนน่าทึ่ง แต่ก็ทำให้เรื่องดูเป็นโลกของตัวร้ายที่มีมุมมองน่าสนใจว่าแต่ละฝ่ายต่างหักหลังกันเองแต่ก็ยังร่วมงานกันได้ เป็นการวางแผนที่ใครวางได้เหนือกว่าก็กุมอำนาจไป 

 

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเรื่องคือตัวนางเอกดิอาน่า ที่เล่นโดย Matilda De Angelis ที่แสดงทั้งตอนวัยรุ่นกับตอนโตคนเดียวกัน เธอเล่นบทนี้ได้สวยเท่เก๋มีสไตล์มาก ด้วยทรงผมที่เด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เคยเสียทรงเลยไม่ว่าจะลุยเละเทะแค่ไหน ชุดกับการแต่งหน้าตาที่ดูสวยเหมือนนางแบบตลอดเวลา แม้มันจะดูย้อนแย้งกับการเป็นสายลับเพราะเธอสะดุดตาสุดๆ ทุกครั้ง แต่ก็มองข้ามได้เพราะความสวยโดดเด่นแบบนี้ก็เหมาะกับแนวสายลับอิตาลีประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องพวกนี้ครับ 

 

ซีรีส์จบแบบมีต่อเป็นเนื้อเรื่องแยกของตัวเองไปเลย แต่ต่อไปน่าจะมีการนำมาเชื่อมต่อกันเพราะหลายอย่างในเรื่องนี้ก็เกิดในภาคแรกด้วย เป็นจักรวาลเดียวกันที่ทำได้แนบสนิทค่อนข้างดีเลย คงต้องรอดูอินเดียเดือนหน้าอีกว่าจะเชื่อมจักรวาลกันได้แค่ไหนครับ และถ้าให้เดาน่าก็จะมีประเทศอื่นๆ อีกอย่างญี่ปุ่น จีน เพราะตัวละครในภาคนี้ก็มีเชื้อชาติทางเอเชียอยู่ครับ

 

สรุป ภาคแยกจากซิทาเดลอเมริกามาเป็นอิตาลี แต่ก็อยู่ในจักรวาลเดียวกัน เนื้อเรื่องมีการเชื่อมถึงกันเพียงแต่ใช้ตัวละครกับเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมด และลดฉากแอ็กชั่นสเกลใหญ่แบบภาคแรกลงมา หันไปเน้นอุปกรณ์ไฮเทค เป็นแนวสายลับสองหน้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของซิทาเดล เล่าเรื่องตัวเธอในอดีตกับการหาทางมีชีวิตรอดโดยไม่มีซิทาเดลช่วย ภายใต้การทำงานให้ตัวร้ายแมนติคอร์ และต้องคงอุดมการณ์เดิมไว้พร้อมกับค้นหาเป้าหมายใหม่ที่ช่วยโลกหรือแค่ช่วยตัวเธอเอง โดยที่ฝ่ายตัวร้ายก็มีหลายฝ่ายหักหลังลับลวงพรางแม้แต่พ่อลูกในองค์กรเดียวกัน ซึ่งแม้บทอาจจะไม่ถึงกับหักมุมให้ทึ่งได้มากนัก แต่ก็ได้ความสดใหม่ในมุมการเล่าเรื่องโลกของตัวร้ายล้วนๆ และตัวเอกดิอาน่าเองก็สวยเท่มีสไตล์โดดเด่นจนแค่ดูเธอเพียงอย่างเดียวก็เพลินตาแล้วครับ (เดือนหน้าวันที่ 7 มี ซิทาเดลอินเดียต่ออีก)

ตัวอย่าง Citadel: Honey Bunny (ซิทาเดลอินเดีย)

รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ