playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Citadel: Honey Bunny (Prime) สายลับสไตล์อินเดียที่ทำได้ดี แต่โครงสร้างเรื่องแบบเดิมจนดูเบื่อๆ

Citadel: Honey Bunny

Summary

ซิทาเดลอินเดียที่เรื่องราวยังอยู่ในจักรวาลเดียวกันทั้งหมด และก็ช่วยเล่าเรื่องจุดกำเนิดความเก่งของนาเดียนางเอกในภาคแรกได้ดี โดยมีพ่อแม่เป็นตัวเอกและเล่นบทสายลับได้ดีเป็นของตัวเองไม่แพ้เวอร์ชั่นอื่น โดยเรื่องยังติดตลกแบบหนังอินเดียแทรกแค่ช่วงแรกกับเพลงแทรกบางครั้ง (ไม่มีฉากเต้น) แต่ว่าโครงเรื่องทั้งหมดก็ยังคงเล่าย้อนอดีตกับปัจจุบันมาเจอกันจนดูเป็นแพทเทิร์นเดิมๆ ไปแล้ว แม้จะพยายามคงความซับซ้อนหักมุมไว้แต่ก็ขาดความสดใหม่ ฉากแอ็กชั่นตอนแรกทำได้ดี แต่หลังจากนั้นมีแต่การขายฉากลองเทคยาวๆ ซึ่งดูดีในแง่นี้ แต่ก็ดูน่าเบื่อเมื่อมันยาวแบบงั้นๆ ไม่ได้สวยเท่อะไรมาก แต่ถ้าติดตามภาคอเมริกากับอิตาลีมาก่อนแล้วก็ยังควรดูภาคนี้อยู่เพราะมันเกี่ยวข้องกันทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้จบในภาคเดียวเหมือนกันครับ 

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ซิทาเดลสไตล์หนังแอ็กชั่นดราม่าอินเดีย
  • บทนาเดียตอนเด็กดีมาก
  • นักแสดงตัวเอกพ่อแม่เล่นได้ดี
  • เรื่องยังคงซับซ้อนหักมุม
  • ฉากแอ็กชั่นลองเทคยาวมาก
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • โครงสร้างเรื่องยังคงเล่าแบบภาคก่อนๆ
  • ฉากแอ็กชั่นลองเทคยาวแต่ดูงั้นๆ
  • ตัวเรื่องค้างปมไว้เยอะไม่จบมากเกินไป
  • มีความเป็นแนวหนังอินเดียแค่ช่วงแรก

ADBRO

Citadel: Honey Bunny ซีรีส์จักรวาลสายลับ 6 ตอนจบซีซั่น 1 มีพากย์ไทย เรื่องราวการมาพบกันของพ่อแม่นาเดียที่อนาคตเธอจะกลายเป็นสายลับหญิงอันดับหนึ่งของซิทาเดล
Citadel: Honey Bunny (2024) on IMDb

รีวิว Citadel (6 ตอนจบ) ซีรีส์แอ็กชั่นสายลับเนื้อเรื่องเชยๆ แต่อลังการงานสร้างคุ้มค่าสุดๆ (ไม่สปอยล์)

รีวิว Citadel: Honey Bunny (ไม่สปอยล์)

 

ซิทาเดลเวอร์ชั่นอินเดียที่ได้ผู้กำกับจาก Farzi มาคุมงานสร้างเป็นครีเอเตอร์ของภาคนี้ (อ่านรีวิวคลิกที่นี่) ซึ่งแน่นอนว่าภาคนี้ก้ยังอยู่ในจักรวาลสายลับของพี่น้องรุสโซอยู่ ทำให้เรื่องราวยังเกี่ยวข้องกับซิทาเดลภาคแรกโดยตรง โดยภาคนี้ตัวเอกคือพ่อแม่ของนาเดียนางเอกในภาคแรก ซึ่งเป็นสายลับหญิงที่เก่งกาจที่สุดของซิทาเดลแล้วและยังเป็นคนอินเดียอีก ตัวเรื่องภาคนี้ก็เลยย้อนยุคกลับไปปี 1992 จุดเริ่มการมาพบกันของพ่อแม่นาเดียในชื่อ ‘บันนี่กับฮันนี่’ ที่พ่อเป็นสตันท์แมนชวนฮันนี่นักแสดงหญิงตัวประกอบตกอับมาทำงานหารายได้พิเศษ แต่กลายเป็นว่างานนั้นทำให้เธอหลงเข้าสู่โลกของสายลับในชื่อโค๊ดเนม ‘วิศวะ’ องค์กรสายลับที่ดำเนินงานในอินเดียและมีเป้าหมายช่วยกอบกู้โลก ก่อนที่จะเกิดเหตุพลิกผันทำให้ทั้งคู่แยกจากกันไป 8 ปีและต้องกลับมาร่วมกันปกป้อง ‘นาเดีย’ ลูกสาวตัวน้อยที่ฉายแววสายลับตั้งแต่เด็ก

ก่อนอื่นแนะนำว่าผู้ชมควรจะดูตามลำดับหรือดูอเมริกาแล้วมาดูอินเดียไม่งั้นจะมีปัญหาเพราะหลายอย่างในอินเดียก็คือสิ่งที่เกิดในภาคจุดกำเนิด อย่างโครงการสายลับแมนติคอร์ที่ล้มซิทาเดลทั้งหมด และนาเดียเป็นใครกันแน่ในอนาคต ไม่งั้นจะกลายเป็นการสปอยล์จุดหักมุมในภาคแรกไปทันที ซึ่งภาคนี้ก็ยังเล่าเรื่องด้วยโครงสร้างแบบเดียวกับอเมริกากับอิตาลี คือเป็นการเล่า 2 ช่วงเวลา ปี 1992 อดีตจุดเริ่มก่อนมีนาเดียเกิดมาเป็นภารกิจในกรุงเบลเกรดของเซอร์เบีย อีกช่วงคือปี 2000 ซึ่งเนื้อเรื่องทั้งสองส่วนก็จะมาบรรจบกันในตอนท้ายแบบเดิม ซึ่งในอีกแง่นึงมันก็เหมือนเป็นแนวทางคุมโทนเรื่องของพี่น้องรุสโซเพื่อให้ง่ายต่อการให้ชาติอื่นเอาไปคิดทำของตัวเอง แต่ในแง่ของคนดูมันก็รู้สึกว่าวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้มันซ้ำมา 2 รอบแล้ว มีเพียงแค่ตัวละครกับสถานที่เปลี่ยนไปเท่านั้น ทำให้ภาคอินเดียนี้โดยรวมก็ไม่สดใหม่ แม้จะมีความพยายามอย่างมากที่จะเปลี่ยนโทนให้เป็นแนวหนังอินเดีย อย่างการใส่มุกตลกขำขันแทรกมาเรื่อยๆ ในช่วงแรก ซึ่งดีอยู่ แต่ช่วงหลังกลับเหือดแห้งหายไปหมด หรือการใส่ฉากเพลงเพราะๆ แทรกมา ซึ่งก็หาจังหวะแทรกได้ดีสมดุลย์กับเรื่องราว แต่ก็ไม่มีฉากเต้น ซึ่งจริงๆ น่าจะมีด้วยซ้ำถ้าสามารถออกแบบเข้ากับฉากแอ็กชั่นหรือการเล่าเรื่องแบบสรุปยาวๆ ให้สั้นๆ ผ่านเพลงแบบที่หนังอินเดียทำกันมาตลอดครับ  

สิ่งที่ภาคนี้ตั้งใจขายจริงๆ กลับเป็นฉากแอ็กชั่นมากกว่า ซึ่งฉากเปิดตัวตอนแรกเป็นการไล่ล่าด้วยมอเตอร์ไซค์กลางเมืองทำได้ดีเลย แล้วตามมาด้วยฉากเอาตัวรอดของฮันนี่แม่นาเดียที่น่าทึ่ง ทำให้เรื่องนี้สตาร์ทตอนแรกได้ใจไปเต็มๆ แต่หลังจากนั้นเรื่องก็พักแอ็กชั่นระดับนี้ไปเลย ผู้กำกับไปเน้นฉากแอ็กชั่นกลางเรื่องกับท้ายเรื่องเป็นฉากลองเทคยาวๆ เหมือนงานโชว์ของว่าทำได้ ซึ่งก็ดูดีในแง่ลองเทค แต่มันก็กลายเป็นซีนต่อสู้ยาว ที่ดูแล้วเฉยๆ มากกว่าจะเป็นฉากแอ็กชั่นที่เซ็ตติ้งกันด้วยท่าสวยๆ มันส์ๆ แต่มันทำไม่ได้เพราะติดคิวลองเทคนี่แหละครับ แต่ก็น่านับถือว่าอินเดียสามารถทำฉากลองเทคยาวๆ ได้ขนาดนี้แล้ว

 

ส่วนฉากแอ็กชั่นที่เหลือของเรื่องเป็นแค่การชิงของโจรกรรมกันธรรมดา โดยในภาคนี้คืออาวุธลับครองโลกที่สามารถติดตามผู้คนได้ทั่วโลกพร้อมกันผ่านดาวเทียม แต่สงสัยว่างบอาจจะไม่พอจึงกลายเป็นการชิงชิ้นส่วนเล็กๆ ไม่ได้เห็นการใช้งานจริงแบบในภาคอเมริกากับอิตาลี ซึ่งก็น่าผิดหวังหน่อย แต่ก็มีการเซ็ตทีมสายลับจารกรรม 3 คนของบันนี่ที่มีความสามารถคนละอย่าง โดยทั้ง 3 คนนี้จะเป็นตัวละครหลักของเรื่องต่อไปด้วยครับ 

ส่วนตัวเรื่องแนวดราม่าถือว่าทำออกมาได้กลมกลืนเข้าจักรวาลได้ดี เมื่อเรื่องเล่าถึงองค์กรวิศวะที่ดูเหมือนเป็นซิทาเดลมาก แต่ก็ไม่ใช่ และยังมีซิทาเดลอินเดียจริงตามมาอีก แต่ของจริงกลับดูน่าสงสัยมากกว่า เรื่องเล่าแบบสับขาหลอกสลับไปมาให้คนดูไม่แน่ใจว่าใครอยู่ฝ่ายดีหรือเลวกันแน่ โดยเอาตัวบันนี่กับฮันนี่มายืนคนละฝั่ง แสดงให้เห็นจุดยืนที่มาของทั้งสองคนที่ต่างกัน แต่ต้องมาร่วมกันปกป้องนาเดียลูกสาวของเขาในปัจจุบัน ซึ่งนาเดียตอนเด็กก็มีบทได้โชว์สกิลการเอาตัวรอดแบบเด็กๆ ที่น่าทึ่ง เป็นการปูให้เห็นว่านาเดียในอนาคตที่เราได้เห็นในภาคแรกมีที่มายังไงได้น่าประทับใจอยู่ครับ เพียงแต่ว่าปัญหาคือตัวเรื่องกลับไม่ทำจบในภาคเดียวเลย ทำให้ตอนท้ายเรื่องก็ยังค้างคาหลายอย่างไว้ โดยเฉพาะบอสตัวร้ายที่ยังไม่รู้ว่าจะเล่าไปต่อยังไงครับ ซึ่งผิดกับภาคอิตาลีที่มีการจบปิดปมทั้งหมดในซีซั่นได้ดีกว่าในฐานะสปินออฟเหมือนกัน

 

สรุป ซิทาเดลอินเดียที่เรื่องราวยังอยู่ในจักรวาลเดียวกันทั้งหมด และก็ช่วยเล่าเรื่องจุดกำเนิดความเก่งของนาเดียนางเอกในภาคแรกได้ดี โดยมีพ่อแม่เป็นตัวเอกและเล่นบทสายลับได้ดีเป็นของตัวเองไม่แพ้เวอร์ชั่นอื่น โดยเรื่องยังติดตลกแบบหนังอินเดียแทรกแค่ช่วงแรกกับเพลงแทรกบางครั้ง (ไม่มีฉากเต้น) แต่ว่าโครงเรื่องทั้งหมดก็ยังคงเล่าย้อนอดีตกับปัจจุบันมาเจอกันจนดูเป็นแพทเทิร์นเดิมๆ ไปแล้ว แม้จะพยายามคงความซับซ้อนหักมุมไว้แต่ก็ขาดความสดใหม่ ฉากแอ็กชั่นตอนแรกทำได้ดี แต่หลังจากนั้นมีแต่การขายฉากลองเทคยาวๆ ซึ่งดูดีในแง่นี้ แต่ก็ดูน่าเบื่อเมื่อมันยาวแบบงั้นๆ ไม่ได้สวยเท่อะไรมาก แต่ถ้าติดตามภาคอเมริกากับอิตาลีมาก่อนแล้วก็ยังควรดูภาคนี้อยู่เพราะมันเกี่ยวข้องกันทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้จบในภาคเดียวเหมือนกันครับ 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!