รีวิว Coffee & Kareem คู่หูต่างวัยต่างผิวสีที่ฮากลิ้งยิงมุกกันทุกนาที
Coffee & Kareem
สรุป
หนังตลกเบาหวิวที่ไม่ได้น่าจดจำอะไรนัก ตัวเรื่องพ่นคำหยาบสัปดนเรื่องสีผิวเยอะตลอดเวลากับเนื้อเรื่องที่กลวงโบ๋ แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรมาก ละทิ้งทุกอย่างไปเพื่อเสพมุกตลกในเรื่องก็ฮาได้จริง แต่อาจจะเป็นมุกตลกอเมริกันมากสักนิด ถ้าตามทันก็ฮา ไม่ทันก็อาจจะงงบ้างนิดๆ แต่โดยรวมก็ถือว่าสอบผ่านในเรื่องความตลก แต่สอบตกในเนื้อเรื่องอย่างแรงครับ
Overall
6/10User Review
( vote)Pros
- ตลกสัปดนเสียดสีเรื่องสีผิวกับสังคมอเมริกัน
- คุณแม่จอมโหดในเรื่อง
Cons
- เนื้อเรื่องกลวงโบ๋
- นักแสดงเด็กขาดเสน่ห์ไม่น่ารัก
- บทตัวร้ายพยายามตลกร้าย แต่กลับไม่ค่อยตลก
Coffee & Kareem (คอฟฟี่กับคารีม) หนังตลกเรื่องใหม่ Netflix เรื่องราวของตำรวจผิวขาวที่หลงรักแม่หม้ายลูกติดผิวดำ ที่ทั้งเขาและลูกชายไม่กินเส้นกัน แต่ต้องมาจับมือร่วมกันสืบคดียาเสพติดล็อตใหญ่ที่มีตำรวจทุจริตอยู่เบื้องหลัง
ตัวอย่าง Coffee & Kareem (คอฟฟี่กับคารีม)
หมายเหตุ: บทความปลอดสปอยล์ (เพราะไม่มีอะไรให้สปอยล์อยู่ดี)
หนังตลกเบาสมองถึงขั้นกลวงมากๆ เรียกว่าเป็นตลกแบบที่คนดูไม่ต้องสนใจเนื้อเรื่องอะไรทั้งสิ้น บทเริ่มมาง่ายๆ แค่ว่า “คอฟฟี่” ตำรวจหนุ่มผิวขาวเป็นแฟนกับแม่หม้ายผิวดำ ที่มี “คารีม” ลูกติดอ้วนๆ ตัวแสบที่ไม่ยอมให้ชีวิตรักของแม่สมหวังกับคอฟฟี่ ด้วยการไปจ้างวานนักเลงมาทำร้ายเขา แต่แล้วกลับกลายเป็นว่าต้องไปเจอกับคดีฆาตกรรมตำรวจที่พัวพันไปถึงยาเสพติดล็อตใหญ่ จนเขากลายมาเป็นผู้ต้องหาซะเอง แถมยังพ่วงด้วยการถูกหาว่าลักพาตัวคารีมไปทำมิดีมิร้ายอีก นั่นทำให้คอฟฟี่ต้องหาทางพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตัวเองด้วยการตามจับคนร้ายตัวจริงให้ได้ โดยมีคารีมหนีบสอยห้อยตามไปเป็นคู่หูด้วยตลอดเวลา ซึ่งกลายเป็นช่วงเวลาปรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปพร้อมกัน
หนังขายตลกเสียดสีหยาบโลนกันทุกคำพูด โดยหลักๆ มาจากคารีมเด็กอ้วนผิวสีที่ถูกวางคาแรกเตอร์ให้เป็นเด็กฝีปากร้าย ด่าเจ็บแสบหยาบคายเต็มไปด้วยมุกสัปดนตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มเรื่อง โดยที่เจ้าหนูนี่ก็ไม่กลัวอะไรด้วย เห็นคนยิงตายก็ยังหน้าตาเฉย เรียกว่าหนังละทิ้งเหตุผลทั้งหมดไปเพียงเพื่อขายความตลกสุดโต่งกันเต็มที่ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าหนังตลกขำจริงแทบทุกประโยคที่คารีมพ่นออกมา เพื่อสอนให้คอฟฟี่ตำรวจผิวขาวดูแสบห้าวเก๋าเป้งขึ้นกว่าเดิม จากภาพลักษณ์ตำรวจก๋องแก๋งที่หนังปูไว้ให้คอฟฟี่เป็นเหมือนตำรวจอ่อนหัดสุดในสถานี ทำงานพลาดจนถูกย้ายไปเป็นตำรวจจราจร ซ้ำร้ายยังตกกระไดพลอยโจนโดนใส่ร้ายป้ายสีซะเต็มกระบุง คอฟฟี่จึงต้องพยายามกู้ชีวิตตัวเองกลับคืนมา แต่ดันต้องมาพึ่งพาเด็กอายุ 12 ปีอย่างคารีม ซึ่งหนังตัดความสมเหตุผลทั้งหลายออกไปหมด ให้คารีมเหมือนเป็นพี่เลี้ยงคอฟฟี่ซะมากกว่า ก็เลยกลายเป็นความฮาที่ได้เห็นตำรวจทำอะไรเอ๋อๆ เพี้ยนๆ จากคำแนะนำเด็กแสบอย่างคารีม แม้แต่การขับรถตำรวจหนีผู้ร้ายก็ยังให้คารีมเป็นคนขับหนีได้แบบฮาๆ เรียกว่าถ้าจะเอาความสมจริงหรือมีเหตุผลกับเรื่องนี้คงได้เครียดมากกว่าฮาครับ
ถึงแม้ว่าเรื่องมันจะไม่สมเหตุอะไรเลยก็ตาม แต่ก็เพื่อให้มุกตลกต่างๆ มันเกิดขึ้นได้ อันนี้พอเข้าใจได้ไม่ใช่เรื่องแย่นักถ้าคนไม่ซีเรียสตรงนั้น แต่ที่แย่เป็นที่บทเนื้อเรื่องมันเบาหวิวกลวงโบ๋เหมือนไม่ได้คิดปมเรื่องอะไรเลยสักอย่าง ใครเป็นคนร้ายก็เปิดตัวกันจะๆ คนร้ายตัวจริงก็ออกแนวบ้าบอเข้าไว้เพื่อให้ตลก แต่มันไม่ค่อยจะตลกสักเท่าไหร่เพราะความไม่สมบทบาทของเรื่องนี่แหละครับ ส่วนที่ตลกจริงๆ ก็ยังอยู่กับสองตัวเอกหลัก พ่วงแม่ของคารีมเข้ามาช่วยด้วยตอนหลังอีกนิดหน่อย ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าบทมีความลึกกว่านี้อีกสักนิด หนังจะขยับเกรดตัวเองได้สูงขึ้นกว่านี้อีกเยอะครับ
ตัวละครคารีมอาจจะขัดใจหลายคน เพราะเจ้าเด็กบ้านี่ดูไม่เหมือนเด็กสักเท่าไหร่ คาแรกเตอร์ก็ไม่น่ารักชวนให้มีเสน่ห์อะไร แม้มุกที่พ่นออกมาจะตลก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดูแล้วรักในตัวน้องนักแสดงคนนี้ได้แบบหนังเด็กเรื่องอื่นๆ แต่ส่วนคอฟฟี่ที่ออกแนวตลกหน้าตายเอ๋อๆ ไปกับแอ็กชั่นตำรวจหลุดๆ นั้นเข้าท่า มีความฮาเข้ากับหน้าตาคาแรกเตอร์ตัวแสดงสอบผ่านเลย แต่เคมีทั้งคู่ดูแล้วก็ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก จนสุดท้ายตอนจบที่กลายเป็นครอบครัวกันได้ก็ไม่รู้สึกอินฟินไปตามนั้น กลับกันตัวแม่ที่เปิดตัวว่าเก่งในภายหลังกลับดูดี มีความเจ๋งห้าวเป้งตัวแม่แท้ๆ ซึ่งถ้าเรื่องเล่นกัน 3 คนแต่แรก หนังน่าจะสนุกและมีมุกอะไรมากกว่านี้อีกเยอะครับ
สรุปเป็นหนังตลกเบาหวิวที่ไม่ได้น่าจดจำอะไรนัก ตัวเรื่องพ่นคำหยาบสัปดนเรื่องสีผิวเยอะตลอดเวลากับเนื้อเรื่องที่กลวงโบ๋ แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรมาก ละทิ้งทุกอย่างไปเพื่อเสพมุกตลกในเรื่องก็ฮาได้จริง แต่อาจจะเป็นมุกตลกอเมริกันมากสักนิด (อย่างมุกตำรวจผิวขาวเรียกชายผิวดำหยุดรถ) ถ้าตามทันก็ฮา ไม่ทันก็อาจจะงงบ้างนิดๆ แต่โดยรวมก็ถือว่าสอบผ่านในเรื่องความตลก แต่สอบตกในเนื้อเรื่องอย่างแรงครับ