playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ Cross (Prime) ดัดแปลงสร้างจากนิยายได้ดี แต่มองข้ามคนดูหน้าใหม่ไปเลย

Cross

Summary

ซีรีส์ที่หยิบตัวละครจากนิยายดังมาสร้างใหม่ ในส่วนของคดีฆาตกรต่อเนื่องทำได้ดีน่าติดตาม และยังมีคดีส่วนตัวพระเอกที่ลึกลับแทรกเข้ามาไม่แพ้กัน ซึ่งซีรีส์มีฉากหักมุมหลายครั้งที่ค่อนข้างคาดไม่ถึงกับตัวร้ายที่มีผู้สมรู้ร่วมคิดหลายคนมาก แต่ว่าบทกลับเขียนได้ไม่รัดกุมพอ มีช่องโหว่หลายครั้ง และยังไม่มีการเล่าปูมหลังตัวละครให้กับผู้ชมที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนเลย ทำให้เรื่องดูทำมาฉาบฉวยเอาใจแค่คนอ่านนิยายมากไปหน่อย และนักแสดงที่เล่นเป็นครอสแม้คาแรกเตอร์วิธีคิดที่แสดงออกมาจะทำได้ดี แต่ตัวนักแสดงก็ยังดูไม่มีเสน่ห์มากพอให้รู้สึกทึ่งตามนั้นได้ครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • สร้างจากนิยายดังมาก่อน (มีแปลไทย)
  • ช่วงสืบสวนคดีมีความซับซ้อนน่าติดตาม
  • ตัวร้ายมีหลายคน คาดเดายาก
  • ประกาศทำซีซั่น 2 ตั้งแต่แรก
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • บทมีช่องโหว่หลายครั้ง
  • ไม่อธิบายปูมหลังตัวละครหลายตัว
  • นักแสดงไม่ค่อยมีเสน่ห์มาก
  • เรื่องวนอยู่กับปัญหาคนดำเป็นหลัก

 

ADBRO

Cross ซีรีส์ amazon Prime 8 ตอนจบซีซั่น สร้างจากนิยายของ James Patterson. เรื่องราวของ Alex Cross  ตำรวจดีทรอยต์ที่ตามล่าฆาตกรต่อเนื่องในเมืองที่ถูกผูกเข้ากับปัญหาการเรียกร้องสิทธิของคนดำ ในขณะที่เขาก็มีปัญหาถูกคุกคามชีวิตครอบครัวจากคนร้ายปริศนาที่ตามล่าเขาจากเรื่องในอดีต

Cross (2024) on IMDb

รีวิวซีรีส์ Cross (ไม่สปอยล์)

ซีรีส์จากนิยายดัง แต่ไม่ได้หยิบเนื้อหาจากนิยายมาทำตรงๆ เป็นการดัดแปลงเรื่องราวขึ้นมาใหม่ โดยมีพื้นฐานตัวละครจากนิยายเป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้เคยนำมาเป็นทำเป็นภาพยนตร์มาแล้ว 3 ครั้ง Kiss the Girls และ Along Came a Spider ที่ได้ มอร์แกน ฟรีแมน มาเล่น และตามมาด้วยภาคของผู้กำกับ ร็อบ โคเอน ซึ่งการนำทำซีรีส์เหมือนยกเครื่องใหม่หมดให้เป็นแนวสืบสวนมากกว่าแอ็กชั่นแบบในหนัง  โดยตัวเอกครอสนั้นก็คือตำรวจที่จบด็อกเตอร์อาชญาวิทยา มีความสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงอ่านใจฆาตกรได้ จึงทำให้เรื่องนี้เป็นแนวสืบสวนแกะรอยตามล่าฆาตกรกันทั้งเรื่อง แทบไม่มีฉากไหนเป็นแอ็กชั่นจริงจังเลย (ไม่เหมือนรีชเชอร์ที่เป็นทั้งแอ็กชั่นและสืบสวนพร้อมกัน) แถมยังโฟกัสที่ตัวฆาตกรที่เปิดเผยตัวตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งเป็นการเผยให้เห็นขั้นตอนการฆ่าเหยื่อทั้ง 8 ตอน ฆาตกรจะค่อยๆ ลงมือไปทีละขั้นๆ ด้วยวิธีที่แปลกพิดารจนกว่าเหยื่อจะสมบูรณ์พร้อมเพื่อถูกฆ่า ซึ่งครอสก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาช่วยเหยื่อรายนี้คนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ โดยครอสก็รู้ว่าใครเป็นฆาตกรตั้งแต่ตอน 3 แต่เรื่องใช้วิธีเล่าโดยเบี่ยงหลบให้ฆาตกรรอดไปได้เรื่อยๆ จากเส้นสายที่มี แม้ว่าครอสจะรู้และมั่นใจขนาดบุกเข้าไปคุยกันตรงๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานมัดตัวนอกจากทฤษฎีที่เขาเชื่อมโยงเองจากการข้อมูลที่มี ซึ่งมันไม่พอที่จะจับกุมตัวได้  ซึ่งตัวเรื่องก็ยังปิดบังตัวผู้สมรู้ร่วมคิดของฆาตกรไว้หลายคน และเป็นจุดหักมุมสำคัญของเรื่องที่จะปล่อยออกมาภายหลังว่าใครคือคนช่วยฆาตกรเป็นช่วงๆ ซึ่งก็มีฉากหักมุมหลายครั้งและก็ทำเซอร์ไพรส์ได้มากเหมือนกันเพราะตัวละครพวกนี้ปรากฏมาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว แต่ทำให้ผู้ชมมองข้ามไปได้ ด้วยวิธีการหลอกที่เนียนมากและคาดไม่ถึง

นอกจากคดีหลักแล้วยังมีคดีรองที่สำคัญกับตัวครอสกว่า เมื่อครอบครัวเขาถูกคนลึกลับบุกเข้ามาวางสิ่งของปริศนาไว้ในบ้าน โดนแฮ็กกล้องวงจรปิด โดยการกระทำของคนร้ายนี้ก็เชื่อมโยงกับภรรยาของเขาที่ถูกฆาตกรรมไปเมื่อปีก่อนและยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ซึ่งฉากของคดีนี้แทรกมาเป็นระยะๆ แต่ลึกลับกว่าคดีหลัก แถมยังปั่นป่วนตัวครอสมากกว่าเมื่อการตายของภรรยาทำให้เขายังมีปัญหาทางใจหลุดจากปมนี้ไม่ได้ และกลายเป็นการแสดงออกด้วยความรุนแรงจนเกินเหตุ ซึ่งตัวเรื่องก็เชื่อมโยงส่วนนี้เข้ากับคดีหลักในแง่ของตำรวจผิวดำที่มาอยู่ข้างตำรวจคนขาวและละเมิดสิทธิของคนผิวดำไป เป็นการทิ้งพวกพ้องคนดำด้วยกัน ซึ่งซีรีส์ดูให้ความสำคัญกับจุดนี้มากและนำมันไปเฉลยในตอน 8 ตอนจบของเรื่องเต็มๆ โดยจะจบคดีหลักส่วนใหญ่ก่อนในตอน 7 แล้วตอน 8 คือช่วงเฉลยคดีส่วนตัวของครอสที่มีจุดหักมุมทำได้ดีพอกัน เมื่อเป็นตัวละครที่ออกมาแล้วตั้งแต่แรก แต่ทำให้ผู้ชมมองข้ามได้ตลอด จนกระทั่งมารู้การเชื่อมโยงเหตุผลแรงจูงใจที่มาทั้งหมดที่ทำให้คนร้ายหลอกครอสได้ แต่ครอสก็ยังใช้จิตวิทยาที่เขามีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เสี่ยงตายที่คนร้ายวางไว้เหมือนกับคดีหลักเช่นกัน (ไม่มีฉากแอ็กชั่นด้วยทั้งคู่)

ต้องยอมรับว่าตัวเรื่องการสืบคดีทำได้ดีมีความน่าติดตามค่อนข้างมาก ส่วนนี้คือพาให้ผู้ชมติดตามดูได้เรื่อยๆ ว่าเรื่องจะจบลงตรงไหนยังไงเพราะคาดเดาแทบไม่ได้เลย แม้แต่ขั้นตอนกระบวนการของคนร้ายก็วิปริตมาก มีความเป็นเอกเทศแปลกใหม่จากเรื่องอื่นโดยทั่วไป แถมคนร้ายยังมีกันหลายคนในทั้ง 2 คดีซึ่งยังไงผู้ชมก็เดาไม่ถูกได้ทั้งหมดแน่ๆ (หรือเดาไม่ได้เลยด้วย) แต่จุดอ่อนก็มาพร้อมกันเมื่อแรงจูงใจของตัวคนร้ายที่ช่วยฆาตกรยังดูมีข้อกังขา ดูง่ายไปจนไม่น่าเชื่อว่าลงมือทำ หรือบทที่มีช่องโหว่หลุดๆ โผล่มาอยู่เรื่อย ตัวคนร้ายเองก็ไม่ชัดเจนว่ามีอำนาจกุมความลับใครต่อใครไว้เยอะขนาดนั้นยังไง ซึ่งซีรีส์ถึงขนาดวางไว้เป็นพล็อตต่อในซีซั่น 2 เลยกับความลับที่เขากุมไว้อยู่แม้จะโดนจับไปแล้ว ซึ่ง amazon prime ประกาศทำซีซั่น 2 ก่อนฉายแล้วด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นเนื้อเรื่องต่อกันเลยตรงๆ

นอกจากนี้ตัวละครเพื่อนๆ กับผู้ช่วยของครอสเองก็มีหลายคนมาก แต่ว่ากลับไม่มีการเล่าประวัติให้รู้เลยว่าใครเป็นใคร นอกจากเพื่อนสนิทคู่หู ซึ่งผู้สร้างทำมาเหมือนให้ผู้อ่านนิยายเข้าใจอยู่กลุ่มเดียว แต่ไม่คิดจะทำให้คนดูหน้าใหม่เข้าใจเลย (ผู้เขียนก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) ซึ่งมันทำให้เกิดปัญหาเมื่อเราไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนคนนี้ถึงมาช่วยเขาทำงานเฉพาะกิจนี้ได้ในแบบที่นอกเหนือจากความสามารถตำรวจปกติทำได้ แสดงว่าพวกนี้เก่งมาก แต่กลับไม่มีแบ็คกราวด์ให้เข้าใจเลยนอกจากคนที่เป็นนักข่าว แต่ผู้ชมก็รู้เพียงแค่นี้เท่านั้น หรือแม้แต่ตัวครอสเองก็ด้วย เพราะในเรื่องบอกว่าใครๆ ก็รู้จักเขาเป็นคนดังมีชื่อเสียงมาก แต่นี่เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่เขาปรากฏตัวเอง ซึ่งตัวนักแสดง Aldis Hodge ก็ไม่ค่อยมีเสน่ห์มากพอให้น่าติดตามขึ้นไปอีก ต่างกับเพื่อนของเขา Isaiah Mustafa ที่ไปๆ มาๆ มีบทเด่นมากกว่าในเรื่องการติดตามตัวผู้ร้ายครับ (ตัวเอกเหมือนนักจิตวิทยา เพื่อเป็นตำรวจขาลุย)

 

สรุป ซีรีส์ที่หยิบตัวละครจากนิยายดังมาสร้างใหม่ ในส่วนของคดีฆาตกรต่อเนื่องทำได้ดีน่าติดตาม และยังมีคดีส่วนตัวพระเอกที่ลึกลับแทรกเข้ามาไม่แพ้กัน ซึ่งซีรีส์มีฉากหักมุมหลายครั้งที่ค่อนข้างคาดไม่ถึงกับตัวร้ายที่มีผู้สมรู้ร่วมคิดหลายคนมาก แต่ว่าบทกลับเขียนได้ไม่รัดกุมพอ มีช่องโหว่หลายครั้ง และยังไม่มีการเล่าปูมหลังตัวละครให้กับผู้ชมที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนเลย ทำให้เรื่องดูทำมาฉาบฉวยเอาใจแค่คนอ่านนิยายมากไปหน่อย และนักแสดงที่เล่นเป็นครอสแม้คาแรกเตอร์วิธีคิดที่แสดงออกมาจะทำได้ดี แต่ตัวนักแสดงก็ยังดูไม่มีเสน่ห์มากพอให้รู้สึกทึ่งตามนั้นได้ครับ

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VIDEO เพิ่มคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!