รีวิว Dabba Cartel (Netflix) แม่บ้านอินเดียปิดฝาปิ่นโต เปิดตำนานแก๊งค้ายาแบบ Breaking Bad
Dabba Cartel
Summary
Dabba Cartel เป็นซีรีส์ที่ถึงจะได้รับแรงบันดาลมาจาก Breaking Bad เต็มๆ โดยเปลี่ยนมาเป็นแนวธุรกิจยาเสพติดที่ส่งผ่านการผูกปิ่นโตในอินเดีย ไอเดียโครงเรื่องมีความเหมือนแต่ก็พยายามฉีกแนวให้แตกต่างไปได้ เพียงแต่ 5 ตอนแรกต้องใช้เวลาในการยกระดับจากกัญชาไปยาอี และค่อยผลิตเองในตอน 6 ทำให้เรื่องเริ่มต้นช้า ดูธรรมดา ไม่เดือดเข้มข้นพอ และยังมีข้อบกพร่องในการพัฒนาตัวละครจากการเล่าเรื่องที่ไวเกินไป แต่หลังจากนั้นซีรีส์ก็จุดติดและสร้างความตื่นเต้นได้ดี ผสมผสานประเด็นทางสังคมที่ท้าทายสังคมอินเดียอย่างความรักในเพศเดียวกันกับปมชนชั้นจัณฑาล และการทิ้งท้ายด้วยจุดพลิกผันที่น่าติดตาม ทำให้ซีรีส์นี้ยังคงมีเสน่ห์เป็นของตัวเองและสร้างความคาดหวังสำหรับซีซั่นต่อไปว่าจะดีขึ้นกว่านี้ได้ ถ้าผู้ชมมีความอดทนพอที่จะผ่านช่วงการปูเรื่องที่ค่อนข้างยาวนานในตอนแรกได้ก็ยังแนะนำครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- ปรับเรื่องราวค้ายามาเป็นวัฒนธรรมอินเดียได้ดี
- ประเด็นทางสังคมความรักในเพศเดียวกันและชนชั้นในอินเดีย
- การผสมผสานทักษะทำอาหารเข้ากับการผลิตยา
- มีพากย์ไทย
Cons
- ความขัดแย้ง 5 ตอนแรกไม่เข้มข้นพอ
- พัฒนาตัวละครไม่ดีเพราะเล่าเรื่องไวเกินไป
ADBRO
Dabba Cartel ขบวนการแม่บ้าค้ายา ซีรีส์ Netflix Original จากอินเดีย แนวอาชญากรรม 7 ตอนจบซีซั่นแรก นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มแม่บ้านที่ผันตัวมาเป็นแก๊งค้ายาเสพติด โดยใช้ธุรกิจส่งปิ่นโตอาหารในมุมไบเป็นฉากบังหน้า
รีวิว Dabba Cartel
ซีรีส์นี้ได้รับแรงบันดาลใจอย่างชัดเจนจาก “Breaking Bad” เช่นเดียวกับผลงานร่วมสมัยอีกหลายเรื่องที่นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในบริบทท้องถิ่นของตน โดย Dabba Cartel เลือกใช้วัฒนธรรมการส่งอาหารกลางวันผ่านปิ่นโตซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอินเดียมาเป็นแกนหลักของเรื่อง เมื่อแม่บ้าน 5 คนรวมตัวกันก่อตั้งแก๊งค้ายาที่ไม่มีใครคาดคิด
แม้จะมีไอเดียที่น่าสนใจ แต่การเล่าเรื่องกลับไม่ได้สร้างความโดดเด่นเท่าที่ควร เนื่องจากไม่สามารถสร้างตัวละครที่มีความพิเศษเทียบเท่าวอลเตอร์ ไวต์จาก Breaking Bad ได้ตั้งแต่แรก เรื่องราวจึงเริ่มต้นด้วยการค้ากัญชาระดับเล็ก ที่พวกเธอถูกบังคับจากหนุ่มขี้ยาลูกน้องแก๊งค้ายา ก่อนค่อยๆ พัฒนาไปสู่การค้ายาอีและการผลิตยาเสพติดของตนเอง
ข้อจำกัดด้านจำนวนตอนที่มีเพียง 7 ตอน ทำให้การปูเรื่องในช่วงแรกใช้เวลานานเกินไป โดยเรื่องราวเพิ่งเข้าสู่ประเด็นการค้ายาอีและการรวมตัวของสมาชิก 3 คนแรกเมื่อจบตอนที่ 2 ส่วนสมาชิกอีก 2 คนค่อยทยอยเข้ามาในภายหลัง แม้เนื้อเรื่องจะมีการยกระดับเมื่อกลุ่มแม่บ้านเริ่มค้ายาอี แต่ก็ยังไม่ถึงจุดเดือด เนื่องจากพล็อตหลักของการผลิตยาเองยังไม่ปรากฏ ทำให้ 5 ตอนแรกค่อนข้างจืดชืดสำหรับผู้ชมที่คุ้นเคยกับซีรีส์แนวนี้มาก่อน
ความน่าสนใจของเรื่องถูกจำกัดด้วยโครงเรื่องที่ไม่แปลกใหม่ นอกจากแนวคิดการซ่อนยาในปิ่นโตอาหาร วิธีการส่งยาไม่มีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง ทำให้ขาดความขัดแย้งทางธุรกิจที่เข้มข้นเหมือนใน Breaking Bad หรือซีรีส์แนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ การที่ตัวละครหลักเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่ไม่มีประสบการณ์ด้านอาชญากรรมมาก่อน แม้จะพยายามเพิ่มมิติให้กับตัวละครแม่สามีของนางเอกที่มีอดีตเกี่ยวข้องกับวงการค้ายา แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความน่าติดตาม
จุดอ่อนสำคัญของซีรีส์คือการเร่งเดินเรื่องแบบรวบรัด ทำให้พัฒนาการของตัวละครดูเร็วเกินไป การแสดงให้เห็นความร่ำรวยของตัวละครทำได้เพียงการตัดฉากเล่าอย่างรวดเร็ว ปัญหาชีวิตของแต่ละคนถูกนำเสนอและแก้ไขอย่างฉาบฉวย ขาดการใส่รายละเอียดที่จำเป็นเพื่อพัฒนาเรื่องราวของตัวละครให้มีความลึกซึ้งและน่าติดตาม
เมื่อเข้าสู่ตอนที่ 6 เรื่องราวของ Dabba Cartel พลิกโฉมสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อกลุ่มแม่บ้านยกระดับธุรกิจด้วยการเริ่มผลิตยาเสพติดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้วัตถุดิบจากยาที่เคยแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาแต่ถูกแบนไปแล้ว ซึ่งยังคงมีการผลิตในอินเดีย ประเด็นนี้ไม่ใช่การพลิกโฉมแบบกะทันหัน แต่ถูกปูพื้นมาตั้งแต่ต้นเรื่องอย่างแยบยล
ความน่าสนใจเพิ่มขึ้นเมื่อเส้นเรื่องของผู้ตรวจสอบยาจากรัฐบาลที่ใกล้เกษียณ ซึ่งร่วมมือกับตำรวจสาวที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ มาบรรจบกับเส้นเรื่องหลักพอดี ทำให้ซีรีส์ระเบิดความตื่นเต้นในแบบฉบับของตัวเองได้อย่างเต็มที่
จุดเด่นที่น่าสนใจคือการที่กลุ่มแม่บ้านต้องอาศัยความรู้จากนักเคมีแบบเดียวกับวอลเตอร์ ไวต์ แต่มีการปรับให้เข้ากับบริบทของเรื่องอย่างชาญฉลาด โดยตัวละครหลักได้นำทักษะการทำอาหารมาประยุกต์ใช้ในการจดจำสูตรและสัดส่วนการผลิตยา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตแม่บ้านและธุรกิจผิดกฎหมายได้อย่างลงตัว
ซีซั่นแรกปิดฉากในตอนที่ 7 ด้วยการนำเสนออาชญากรระดับสูงที่เข้ามาสั่นคลอนธุรกิจของกลุ่มแม่บ้าน ทิ้งท้ายให้ผู้ชมได้เห็นว่าความหายนะที่แท้จริงในโลกอาชญากรรมกำลังรอพวกเธออยู่ในซีซั่นต่อไป สร้างความน่าติดตามอย่างยิ่ง
แม้จะเริ่มต้นช้าในห้าตอนแรก แต่จุดพลิกผันในช่วงท้ายทำให้ Dabba Cartel สามารถสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองและกลายเป็นซีรีส์ที่น่าจับตามองในซีซั่นต่อไป เมื่อกลุ่มแม่บ้านต้องเผชิญหน้ากับโลกอาชญากรรมที่โหดร้ายและซับซ้อนมากขึ้น
ซีรีส์ยังมีอีกมิติที่น่าชื่นชมคือการนำเสนอความสัมพันธ์แบบรักระหว่างตัวละครหญิงสองคน ได้แก่ หนึ่งในแม่บ้านสมาชิกแก๊งกับตำรวจสาวที่กำลังสืบสวนคดีนี้โดยลำพัง แม้จะเป็นพล็อตคุ้นเคยที่ให้ตัวละครจากสองฝั่งตรงข้ามมาหลงรักกันโดยไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย แต่ซีรีส์กล้าที่จะนำเสนอประเด็นนี้และให้พื้นที่กับความรักของทั้งคู่ รวมถึงความพยายามที่จะหาทางออกจากอินเดียร่วมกัน
การนำเสนอความสัมพันธ์นี้สะท้อนปัญหาสังคมในอินเดียที่มีความรุนแรงกว่าในไทยมาก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ได้ แม้จะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมรองรับในอนาคต แต่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมอินเดียต่อความรักในเพศเดียวกันยังคงเป็นเรื่องยากลำบาก
นอกจากนี้ ซีรีส์ยังแทรกประเด็นปัญหาชนชั้นในสังคมอินเดียไว้อย่างแยบยล ผ่านตัวละครสาวที่มาจากชนชั้นจัณฑาล ซึ่งไม่ได้รับการเคารพจากผู้คนในสังคมแม้แต่น้อย ทำให้เธอมีปมด้อยติดตัวมาตลอด แม้ภายหลังจะมีฐานะร่ำรวยจากธุรกิจค้ายาแล้วก็ตาม
การผสมผสานประเด็นสังคมเหล่านี้เข้ากับโครงเรื่องหลักช่วยเพิ่มมิติความลึกซึ้งให้กับซีรีส์ ทำให้ซีรีส์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวการค้ายาเสพติดเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนปัญหาสังคมที่หลากหลายในอินเดียร่วมสมัย ทั้งเรื่องเพศสภาพ ชนชั้น และวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ซีรีส์มีความโดดเด่นและน่าติดตามยิ่งขึ้น
สรุป Dabba Cartel เป็นซีรีส์ที่ถึงจะได้รับแรงบันดาลมาจาก Breaking Bad เต็มๆ โดยเปลี่ยนมาเป็นแนวธุรกิจยาเสพติดที่ส่งผ่านการผูกปิ่นโตในอินเดีย ไอเดียโครงเรื่องมีความเหมือนแต่ก็พยายามฉีกแนวให้แตกต่างไปได้ เพียงแต่ 5 ตอนแรกต้องใช้เวลาในการยกระดับจากกัญชาไปยาอี และค่อยผลิตเองในตอน 6 ทำให้เรื่องเริ่มต้นช้า ดูธรรมดา ไม่เดือดเข้มข้นพอ และยังมีข้อบกพร่องในการพัฒนาตัวละครจากการเล่าเรื่องที่ไวเกินไป แต่หลังจากนั้นซีรีส์ก็จุดติดและสร้างความตื่นเต้นได้ดี ผสมผสานประเด็นทางสังคมที่ท้าทายสังคมอินเดียอย่างความรักในเพศเดียวกันกับปมชนชั้นจัณฑาล และการทิ้งท้ายด้วยจุดพลิกผันที่น่าติดตาม ทำให้ซีรีส์นี้ยังคงมีเสน่ห์เป็นของตัวเองและสร้างความคาดหวังสำหรับซีซั่นต่อไปว่าจะดีขึ้นกว่านี้ได้ ถ้าผู้ชมมีความอดทนพอที่จะผ่านช่วงการปูเรื่องที่ค่อนข้างยาวนานในตอนแรกได้ก็ยังแนะนำครับ