playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Dark Matter (Apple TV+) เนื้อเรื่องวนเวียนไปหลายโลก แต่ไม่ค่อยคืบหน้าไปไหนเลย

Dark Matter

Summary

ซีรีส์แนวไซไฟที่อาศัยโลกควอนตัมมาอ้างอิงให้เป็นจินตนาการโลกหลายเวอร์ชั่นไร้จุดจบ แต่ว่าซีรีส์ก็ไม่ได้จำลองโลกเหล่านั้นให้ดูกันเต็มๆ เป็นเพียงแค่ฉากสั้นๆ ประดับเรื่องเท่านั้น ก่อนที่จะเน้นการเล่าเรื่องดราม่าความสัมพันธ์ตัวละครที่เรื่องแทบไม่ขยับไปไหนเลย ก่อนไปปล่อยของช่วงตอนท้ายๆ มีความแปลกใหม่ให้ได้เห็น แต่ก็ยังไม่พอจะกลับมาทำให้เรื่องดีมากนัก แต่โดยรวมถ้าคุณชอบแนวไซไฟก็ยังถือว่าดูได้เพราะก็มีช่วงที่เรื่องนำเสนอหลักการเดินทางข้ามโลกในแบบของตัวเองได้แปลกดีครับ   

 

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ซีรีส์แนวไซไฟโลกหลายเวอร์ชั่น
  • สร้างจากนิยายดัง
  • จบสมบูรณ์ในซีซั่นนี้เลย

Cons

  • โลกแปลกประหลาดมีแค่ฉากสั้นๆ
  • เนื้อเรื่องช่วงกลางยืดและซ้ำแทบไม่ไปไหน
  • บทของ Jennifer Connelly น้อย

 

 

Dark Matter ซีรีส์ Apple TV+ 9 ตอนจบ เป็นซีรีส์ไซไฟระทึกขวัญที่ดัดแปลงมาจากหนังสือขายดีของ Blake Crouch และเป็นครีเอเตอร์เรื่องนี้เองด้วย ติดตามเรื่องราวของ Jason Dessen (รับบทโดย Joel Edgerton) นักฟิสิกส์ อาจารย์ และพ่อครอบครัว ที่คืนหนึ่งขณะเดินกลับบ้านบนถนนในชิคาโก เขาถูกลักพาตัวไปสู่อีกโลกที่เป็นทางแยกเวอร์ชันหนึ่งของชีวิตเขา
Dark Matter (2024) on IMDb

Dark Matter รีวิวมีสปอยล์บางส่วน

 

ซีรีส์ Apple ที่หยิบเอาทฤษฎีควอนตัมลงมาเล่นอีกเรื่องต่อจาก Constellation ที่พึ่งจบไปหมาดๆ แล้วก็นำเสนอโลกควอนตัมในแบบต่างมิติซ้อนทับกัน มีตัวละครเดียวกันต่างโลกอีกเวอร์ชั่นมาเจอกันในมิติพิศวง โดยมีเครื่องมือจากอวกาศมาทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ในเรื่องนี้ทุกอย่างอยู่บนโลกปกติในปัจจุบัน วางตัวเองอยู่บนพื้นฐานไซไฟที่เรียบๆ กว่ามาก โดยมีอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดมิติควอนตัมเป็นห้องที่มีลักษณะเป็นกล่องตัดสัญญาณทุกอย่างแบบกรงฟาราเดย์แต่หนาแน่นกว่า เรื่องเอาจินตนาการแนวไซไฟมาผสมเข้ากับแนวทางศาสนาพุทธ โดยการอธิบายว่าให้นึกถึงการฝึกสมาธิที่ห้ามคิดอะไรสักอย่างจนเกิดสมาธิขั้นสูง  แต่ในกรณีนี้คือการเอาห้องหรือกล่องนี้มาช่วยตัดทุกสิ่งจากโลกภายนอกออกไป โดยมียาฉีดที่ช่วยให้สมองรับรู้มิตินี้ได้เพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งมันดูเป็นกลไกที่ซับซ้อนแบบเดียวกับหนังของโนแลนอย่าง Inception ที่เน้นหลักการทำให้เรื่องลึกมีมิติหลายชั้น ในเรื่องนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ไม่ได้ซับซ้อนเท่าและไม่ได้มีตัวละครอื่นมาเกี่ยวข้องมาก เรื่องนำเสนอแค่บางคนที่ได้เข้าไปอยู่ในกล่องนี้และพบกับประตูไปสู่โลกอื่นมากมายในเวลาจำกัด ซึ่งต้องหาทางเปิดประตูไปยังโลกที่ตั้งใจไว้ แม้แต่การกลับโลกเดิม แต่มันไม่ได้ทำได้ง่ายๆ มันมีเงื่อนไขทางจิตใจเป็นปมซ่อนอยู่ของแต่ละคน ซึ่งทุกคนต้องเอาชนะใจตัวเองเพื่อหาประตูไปสู่โลกที่ต้องการให้ได้ครับ

และด้วยความที่เป็นซีรีส์ งบงานสร้างก็ไม่ได้สูงมากจนสามารถทำโลกแปลกประหลาดได้มากนัก ซีรีส์จึงมักใช้การสร้างภาพแค่ช่วงเปิดประตูออกไปให้ดูโลกที่แปลกประหลาดเพียงสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลกว่านั้น แต่โลกที่นำเสนอในเรื่องหลายฉากก็มีจินตนาการที่น่าสนใจว่า ถ้าทำเป็นโลกเต็มๆ ให้สำรวจไปจะเป็นยังไง อย่างโลกที่มีไวรัสล้างโลกแบบโควิดขั้นรุนแรง โลกที่เหมือนป่าแฟนตาซี โลกที่มีรังสีจากอวกาศทะลุมาบนโลกตรงๆ โลกที่มีแมลงกินทุกอย่างในโลกไปจนหมด แต่พวกนี้จะเป็นแค่ช่วงแรกของการเข้าไปสู่โลกควอนตัมเท่านั้น เพราะช่วงหลังคือตัวเอกสามารถเข้าใจวิธีการเปิดประตูไปเจอโลกดีๆ ได้ระดับหนึ่งแล้ว ช่วงหลังจึงกลายเป็นแนวโลกคู่ขนานที่มีความต่างกันนิดหน่อยกับโลกปกติ เรื่องก็กลายเป็นแนวการสำรวจค้นหว่าสิ่งที่คล้ายเหล่านี้ใช่โลกจริงๆ ที่เขาตามหาหรือไม่

ในส่วนดราม่าเรื่องเล่า 2 โลกพร้อมกันคือ ตัวเอก เจสันคนแรก เรียกว่าเจนสัน 1 ถูกเจสัน 2 จับตัวไปสลับโลกกัน โดยเจสัน 2 ต้องการชีวิตครอบครัวไม่ต้องการชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่เขาเป็นคนสร้างกล้องควอนตัมนี้ขึ้นมา เรื่องเล่าสลับชีวิต 2 ด้าน โดยตัวร้ายเจสัน 2 พยายามปรับตัวเก็บประสบการณ์ที่ตัวเองไม่มีเพื่อไม่ให้ครอบครัวจับได้ ส่วนเจสัน 1 ก็ต้องผจญภัยไปกับโลกต่างๆ โดยมีหมอจิตวิทยาที่เป็นภรรยาในโลกนี้ตามมาด้วย และทั้งคู่ก็กลายเป็นคู่หูเหมือนพระเอกนางเอกกันจริงๆ เพราะผ่านการผจญเฉียดตายกันมาเยอะมาก ซึ่งเรื่องค่อยๆ ปลูกสร้างดราม่าความสัมพันธ์นี้ได้ดีจนเหมือนเธอเป็นนางเอกตัวจริงมากกว่าบทของ Jennifer Connelly ที่เล่นเป็นภรรยาในโลกปกติอีกด้วย 

ปัญหาของซีรีส์เรื่องนี้คือหลังจากเฉลยความสามารถของกล่องควอนตัมในช่วงแรกแล้ว เรื่องแทบจะไม่มีอะไรให้เล่า นอกจากการเปิดประตูวนไปมาในโลกที่เกือบเหมือนกันทั้งหมด โดยมีการเฉลยความลับเพิ่มมาน้อยมากในแต่ละตอนว่า เจสัน 1 จะแก้ไขปมในการเปิดประตูกลับบ้านยังไง เจสัน 2 ก็จะพบเจอกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในการสวมรอยอยู่ตลอด เรื่องวนแบบนี้อยู่หลายตอนไม่ไปไหน จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายตอน 7-8-9 ถึงจะมีเนื้อหาใหม่ที่แตกต่างออกไป แล้วก็เป็นเซอร์ไพรส์ที่ฉีกแนวโลกควอนตัมไปอีกแบบ ซึ่งช่วงนี้คือทำได้สนุกกว่าเพราะเป็นปมปัญหาที่แทบไม่มีทางแก้ไขได้ แต่เรื่องก็สามารถหาทางออกจากจุดนี้ไปได้แล้วจบได้ค่อนข้างดี เป็นการจบแบบสมบูรณ์ไม่มีทิ้งค้างไว้ทำต่อไปครับ

 

สรุป ซีรีส์แนวไซไฟที่อาศัยโลกควอนตัมมาอ้างอิงให้เป็นจินตนาการโลกหลายเวอร์ชั่นไร้จุดจบ แต่ว่าซีรีส์ก็ไม่ได้จำลองโลกเหล่านั้นให้ดูกันเต็มๆ เป็นเพียงแค่ฉากสั้นๆ ประดับเรื่องเท่านั้น ก่อนที่จะเน้นการเล่าเรื่องดราม่าความสัมพันธ์ตัวละครที่เรื่องแทบไม่ขยับไปไหนเลย ก่อนไปปล่อยของช่วงตอนท้ายๆ มีความแปลกใหม่ให้ได้เห็น แต่ก็ยังไม่พอจะกลับมาทำให้เรื่องดีมากนัก แต่โดยรวมถ้าคุณชอบแนวไซไฟก็ยังถือว่าดูได้เพราะก็มีช่วงที่เรื่องนำเสนอหลักการเดินทางข้ามโลกในแบบของตัวเองได้แปลกดีครับ   

 

 

รวมรีวิว apple TV+ คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!