playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว DEVOTION Netflix มิตรภาพต่างสีผิวกับวีรบุรุษนักบินผิวดำในสงครามเกาหลีที่ถูกลืมเลือน

DEVOTION

Summary

นี่คือหนังที่จับชีวประวัติคนผิวดำช่วงสั้นๆ ออกมาได้น่าประทับใจ สะเทือนใจ เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีการต่อสู้ชีวิตและมิตรภาพที่น่ายกย่องมากๆ จนทำให้อินไปเรื่องราวโดยเฉพาะตอนท้ายๆ อาจจะน้ำตาซึมแบบไม่รู้ตัว ฉากเครื่องบินรบแม้มีไม่เยอะก็ยังทำได้ดีน่าตื่นเต้นในแบบเครื่องบินรบใบพัดโบราณ ในภารกิจสงครามเกาหลีที่ถูกลืมเลือนเหมือนวีรบุรุษในเรื่องนี้ด้วยเช่นกันครับ

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • หนังชีวประวัติวีรบุรุษนักบินผิวดำคนแรกที่ถูกลืมเลือนในสงครามเกาหลีเหนือใต้
  • มิตรภาพของนักบินต่างสีผิว
  • ฉากรบแบบเครื่องบินโบราณทำออกมาได้น่าตื่นเต้น
  • นักแสดงเปี่ยมด้วยเสน่ห์
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ฉากรบไม่ได้เยอะแบบที่หลายคนคาดหวัง

ADBRO

DEVOTION  เรื่องราวจากตัวตนจริงของ เจสซี่ แอล. บราวน์ เจ้าหน้าที่นักบินผิวดำผู้บุกเบิกประจำกองทัพเรือ กอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับเพื่อนนักบินคู่หู ทอม ฮัดเนอร์ ขณะที่ทั้งคู่บินทะยานฝ่าอันตรายในช่วงสงครามเกาหลีปี 1950 ก่อนจะกลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกลืมเลือนไปพร้อมสงคราม
Devotion (2022) on IMDb

รีวิว DEVOTION Netflix

หนังจากงานสร้างของโคลัมเบียร์พิคเจอร์ก่อนลงฉายโรงในเดือนพฤจิกายน 2022 แล้วก็มาลงสตรีมมิ่งพาราเมาท์พลัสในอเมริกา แต่ลิขสิทธิ์ผู้จัดจำหน่ายทั่วโลกตกเป็นของโซนี่ ซึ่งก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้ไ้ดมาลง Netflix และก็กลายเป็นหนังที่ดีต่อใจมากๆ ด้วยหลายๆ องค์ประกอบในเรื่องที่บรรจงสร้างมาอย่างดี ซึ่งถ้าไม่รู้ที่มาที่ไปนี่ก็คงนึกว่า Netflix ยกระดับงานสร้างของตัวเองได้ขนาดนี้หรือ ซึ่งก็ยังไม่ใช่

เจสซี่ แอล. บราวน์ ตัวจริง

แนวหนังคนผิวดำโดยปกติแล้วมักจะมาในรูปของคนชนชั้นล่างต่ำต้อยที่ถูกดขี่กระทำต่างๆ นาๆ  แต่เรื่องนี้คือตัวเอก เจสซี่ แอล. บราวน์ เป็นนักบินผิวดำคนแรกที่ที่สังกัดกองเรือรบ แล้วก็ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งน้อยมากที่หนังอเมริกาจะยกประวัติศาสตร์ในช่วงนี้มาเล่า จนภารกิจของอเมริกาในสงครามเกาหลีเหนือใต้นี้ถูกเรียกว่า “สงครามที่ถูกลืม” รวมถึงตัวเจสซี่เองก็ด้วย ตัวหนังเรื่องนี้คือเรื่องราวชีวิตของเขาที่ฝ่าฝันอุปสรรคมากมายมาตลอดชีวิต ก่อนที่จะกลายเป็นวีรบุรุษที่หายสาบสูญไปในสงครามนี้ด้วยเช่นกัน

โดยปกติเชื่อเลยว่าเราผู้ชมค่อนข้างจะเอียนๆ แล้วกับหนังคนดำ หลายอย่างดูเหมือนยัดเยียดจนมากเกินไป แต่กับเรื่องนี้คือแทบไม่มีความรู้สึกอวย ยัดเยียด อะไรไว้ในเรื่องนี้เลย เพราะนี่คือหนังที่เล่าถึงมุมมองคนผิวดำที่ฝ่าฝันศึกรอบด้านจากสังคมเหยียดผิวของอเมริกันไว้เงียบๆ คนเดียว ซึ่งในเรื่องแม้เขาจะถูกกระทำแบบมิชอบในรูปแบบต่างๆ ทั้งการสอบทหารที่พยายามเข้มงวดบีบให้เขาออกมากกว่าคนอื่น หรือการได้มาอยู่ในกองทัพเป็นนักบินแล้วก็ยังไม่วายถูกเหยียด หรือสื่อก็พยายามจับเขาสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวความลำบากตรงนี้ให้ถ่ายทอดออกมา แต่ตัวเจสซี่เองกลับเลือกที่จะไม่ปริปาก ไม่พูดถึง กดอารมณ์ ข่มทุกอย่างไว้ในใจก่อนปล่อยให้มันสลายหายไปหมดสิ้นในเวลาสั้นๆ เขาคิดเพียงแต่ว่ามาปฏิบัติหน้าที่แล้วก็หวังกลับไปหาลูกเมียที่อยู่ที่บ้านเท่านั้น ซึ่งทำให้เรื่องราวของเจสซี่แตกต่างจากหนังผิวดำอื่นๆ ที่มักมีอารมณ์เดือดดาลเก็บไว้ในใจ แล้วก็ไปแสดงออกภายหลัง และตัวนักแสดง โจนาธาน เมเจอร์ส (ตอนนี้รับบทบอสใหญ่แคงในมาร์เวลอยู่ด้วย) ก็เล่นบทนี้ได้อย่างเข้าถึงมีเสน่ห์ที่เราเชื่อได้เลยว่าคนๆ นี้คือคนผิวดำที่แม้ถูกกระทำมาตลอด แต่ก็มีมิตรภาพให้แก่คนอื่นเสมอ

นอกจากนี้แล้วตัวหนังยังดำเนินเรื่องด้วยมิตรภาพนักบินสองผิวสีที่เป็นคู่หูกันในเวลาต่อมา ตัวเอกอีกคนคือ ทอม ฮัดเนอร์ ที่มีตัวตนจริงเช่นกัน เขากลับรู้สึกว่าสังคมต่างปฏิบัติกับเจสซี่อย่างไม่เป็นธรรม และพยายามปกป้องเพื่อนอยู่ตลอด แต่นั้นกลับทำให้เจสซี่รู้สึกว่าเป็นการทำร้ายเขา เหมือนเขาต้องคอยถูกช่วยเหลือจากคนอื่น ทั้งๆ ที่เจสซี่เองต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเองมาตลอดจนมาเป็นถึงนักบินที่มีตำแหน่งสูงกว่าทอมด้วย ซึ่งบทมิตรภาพระหว่างสองคนนี้คือเป็นอะไรที่กระชากใจมาก เมื่อความหวังดีของทอมกลับทำร้ายเจสซี่มากกว่าสังคมที่เหยียดเจสซี่เองซะอีก 

ในส่วนของฉากสงครามเครื่องบินรบ แน่นอนว่าคนที่ดูแค่หน้าปกคงคาดหวังว่านี่จะเป็นหนังแนวท็อปกันที่มีฉากรบเท่ๆ ก็ต้องเข้าใจก่อนว่านี่เป็นหนังสงครามย้อนยุคปี 1950 ซึ่งเครื่องบินรบยังใช้ใบพัดด้านหน้าบินช้าไม่ได้ไวเหนือเสียงแบบปัจจุบัน ทั้งยังไม่มีตัวช่วยดีดตัวออกจากเครื่องด้วย และก็ไม่ได้มีฉากสงครามอะไรมาก แต่ทุกฉากที่เรื่องนี้ทำออกมาก็ทำได้ดีในระดับที่เต็มขอบเขตของเครื่องบินรบสมัยก่อนทำได้ และก็ยังมีฉากการฝึกแลนดิ้งบนเรือรบน้ำมันที่ยากลำบาก ฉากเอาเครื่องลงจอดเมื่อถูกยิงขัดข้องแบบดิบๆ ฉากไล่ล่ากลางเวหาก็มีครบ และทุกฉากก็มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทางที่ทำดีพอตัวเลย เสียดายที่ไม่มี ATMOS แค่นั้น

 

โดยรวมนี่คือหนังที่จับชีวประวัติคนผิวดำช่วงสั้นๆ ออกมาได้น่าประทับใจ สะเทือนใจ เปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีการต่อสู้ชีวิตและมิตรภาพที่น่ายกย่องมากๆ จนทำให้ผู้ชมอินไปเรื่องโดยเฉพาะตอนท้ายๆ อาจจะน้ำตาซึมไม่รู้ตัวครับ

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!