รีวิวซีรีส์ Diablero Season 1-2 รวมพลคนล่าปีศาจไส้แห้งแห่งเม็กซิโกซิตี้
Diablero ดิอาเบลโร
-
คะแนนซีซั่น 1 - 7/10
7/10
-
คะแนนซีซั่น 2 - 8/10
8/10
สรุป
สรุปซีซั่นแรก ซีรีส์แนวแอ็กชั่นโหดๆ ผสมตลกร้ายไปพร้อมกัน แม้พล็อตเรื่องไม่แปลกใหม่ แต่หนังลงรายละเอียดตัวละครทุกตัวได้ดี มีจุดเด่นแตกต่างกันไปไม่น้อยหน้าตัวเอกหลัก แล้วก็มีรายละเอียดการใช้เวทมนต์หลากหลายต้องแก้ทางกันด้วยสมองมากกว่ากำลัง หนังแต่ละตอนสั้นแค่ 30 กว่านาที 8 ตอนทำให้เดินเรื่องเร็วไม่ยืดเยื้อเลย แต่ข้อเสียคือปมเยอะแล้วทำค้างไว้ไปต่อซีซั่น 2 เยอะเกินไปหน่อย กับ CG ฉากใหญ่ตอนจบที่ดูปลอมมากไปจนทำให้ตอนจบดูดรอปลงกว่าตอนแรกที่ยังเป็นการต่อสู้ดิบๆ ซะอีก
สรุปซีซั่น 2 โดยรวมทำดีกว่าซีซั่นแรกมากในหลายๆ ทาง แม้ CG ตัวปีศาจใหญ่ๆ จะดูพยายามใช้ความมืดกลบเยอะไปหน่อย แต่เรื่องราวโดยรวมสนุกกว่า และก็มีการเคลียร์ปมที่ทิ้งไว้ในซีซั่นแรกจนหมด ถ้าดูซีซั่นแรกมาแล้วก็ต้องห้ามพลาดเลยครับ
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- แอ็กชั่นโหดเลือดสาดผสมตลกร้าย
- ตัวละครแนนซี่โดดเด่นมีเสน่ห์มาก
- รายละเอียดโลกที่มีนักล่าปีศาจหากินเป็นอาชีพ
- การต่อสู้ด้วยคาถาอาคมแก้ทางกันด้วยสมอง
- เดินเรื่องเร็วไม่มีอืด
Cons
- พล็อตเรื่องหลักไม่แปลกใหม่ธรรมดาไป
- CG ฉากต่อสู้ครั้งใหญ่ตอนจบซีซั่น 1 ดูปลอมมากไป
Diablero ดิอาเบลโร ซีรีส์ Netflix จาก Mexico พบกับโลกของ “เอลวิส” นักล่าปีศาจไส้แห้ง แห่งเม็กซิโกซิตี้ ที่วันๆ ต้องตามล่าหาปีศาจในร่างมนุษย์เพื่อจับมาใส่ขวดส่งขาย ก่อนจะได้มาพบกับบาทหลวงที่กำลังตามหาลูกสาวที่ถูกปีศาจลักพาตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตัวอย่าง Diablero ดิอาเบลโร ss1
หนังแนวตัวเอกล่าปีศาจที่พล็อตค่อนข้างโหลเอามากๆ แล้วในยุคนี้ ซึ่งทีมสร้างเรื่องนี้ก็คงรู้ตัวดีกว่าพล็อตแบบนี้มันซ้ำซากไปแล้ว ก็เลยต้องพยายามทำอะไรให้แตกต่างออกไปให้มากที่สุด ซึ่งในที่นี้คือการยำและขยายโลกในเรื่องนี้ไปให้มากที่สุดในซีซั่นแรก เรื่องราวจะเป็นจุดเริ่มของสังคมโลกที่มีปีศาจปะปนกับมนุษย์แบบไม่ได้ลับมากเท่าไหร่ ผ่านการตามหาลูกสาวของบาทหลวงหนุ่ม “รามิโร” ที่ไม่เคยเชื่อว่าปีศาจมีจริง กับ “เอลวิส” นักล่าปีศาจที่เกิดมาก็อยู่ในครอบครัวล่าปีศาจมาตลอด และฝันอยากเป็นนักล่าปีศาจอันดับ 1 ของวงการให้ได้
หนังเริ่มเรื่องด้วยการเล่าโลกนี้ว่ามี 2 ด้านขาวกับดำ ดีกับเลว พระเจ้ากับปีศาจคานอำนาจกันในโลกมนุษย์ แต่เทวฑูตของพระเจ้ากลับหายไปจากโลกจนหมด จนทำให้สังคมมนุษย์มีปีศาจปะปนอยู่เต็มไปหมด ซึ่งปีศาจพวกนี้แฝงมาในรูปของควันดำเข้าสิงร่างกายมนุษย์ให้ทำชั่ว เพื่อกัดกินภายในก่อนย้ายร่างไปหาที่สิงสู่ใหม่ แล้วคนที่ถูกสิงก็กลายร่างได้เหมือนพวกมิวแตนท์กลายพันธ์แบบ X-Men มีรูปร่างลักษณะดุร้ายแตกต่างกัน (ตัวแรกที่เอลวิสปราบในเรื่องเป็นปลาหมีก) การปราบปีศาจในเรื่องก็ไม่ได้แบบมีดาบเล่มโตหรือชักปืนไล่ยิงปีศาจเท่ๆ อะไรแบบนั้น แต่เป็นการต่อสู้แบบปราบปีศาจด้วยเวทมนตร์กับการไล่ผีแนว เอ็กซอร์ซิสต์ ที่กึ่งๆ คล้ายบาทหลวงไล่ผีสิงคนด้วยไบเบิล แต่ในเรื่องนี้เป็นการท่องมนต์ดำแทน โดยหลังปราบได้ก็จับใส่ขวดนำมาแลกเงินกับร้านรับซื้อในเมือง ซึ่งก็การซื้อขายเอาปีศาจไปทำยาหรือไปทำเป็นเกมการพนันสู้กันในกรงแบบ MMA โดยให้ปีศาจที่จับมาสิงร่างมนุษย์สู้กันในกรงหาเงินเข้ากระเป๋าให้มนุษย์แทน
หนังใช้เวลาช่วงแรกปูให้คนเข้าใจโลกในเรื่องนี้แบบแนวสังคมเศรษฐกิจการมีนักล่าปีศาจและธุรกิจต่างๆ ที่ต้องพึ่งพากันติดต่อซื้อขายของปราบปีศาจกัน รวมถึงความสามารถพิเศษของตัวละครแต่ละตัวที่ไม่ใช่แค่เอลวิสกับน้องสาวที่มีมนต์มายาแบบพวกเล่นคุณไสยไว้เป็นสกิลต่อสู้ แต่ยังมี “แนนซี่” สาววัยรุ่นผู้เป็นร่างทรงของปีศาจมาตั้งแต่เด็ก แล้วสามารถเรียกปีศาจมาสิงเมื่อไหร่ก็ได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองมีความสามารถเหนือมนุษย์ แต่ก็ต้องพึ่งเสียงดนตรีไว้ควบคุมสติเพื่อให้กลับมาร่างเดิมได้ นอกจากนั้นก็ยังมีโลกของศาสนจักรที่ค่อนข้างลึกลับว่าพวกนี้เป็นฝ่ายไหนกันแน่และมีความสามารถอะไรกันบ้าง อีกทั้งยังมีพวกนักล่าปีศาจที่ล่าพวกเดียวกันเองอีกด้วย ซึ่งประเด็นพวกนี้จะถูกเล่ามาแค่เปิดเรื่อง แล้วค้างไว้ไปต่อซีซั่นต่อไป แต่ก็ไม่ได้เป็นการค้างแบบทำให้หงุดหงิดอะไรนะครับ แค่ว่าตัวเอกแวะรายทางไปเจอแล้วยังปิดจ๊อบไม่สนิทแบบฝากไว้ก่อนเดี๋ยวมาเคลียร์ทีหลังเท่านั้นครับ
หนังมีความโหดรุนแรงสูงมากพอสมควร แต่เป็นแบบแอ็กชั่นปีศาจตบตีกันเลือดสาดพร้อมตลกร้ายโหดๆ ที่บางครั้งก็ออกแนวชวนแหวะ แต่ก็มีส่วนเรื่องรักแซมๆ เข้ามาผ่านตัวบาทหลวงกับน้องแนนซี่ ที่เล่นได้น่ารักและก็มีบทโดดเด่นมีเสน่ห์เฉพาะตัวจนเกินหน้าตัวเอลวิสที่เป็นพระเอกของเรื่องด้วย ซึ่งในด้านเอลวิสจะเป็นพาร์ทความรักในครอบครัวพี่ชายน้องสาว พ่อกับลูกที่บาดหมางกัน หนังเติมตรงนี้เข้ามานิดๆ หน่อยๆ เพื่อดึงให้ตัวละครทุกตัวในเรื่องเข้ากับธีมครอบครัวเดียวกัน ตามแบบที่หนังฟาสแอนด์ฟิวเรียสใช้เลย
ในส่วน CG เอฟเฟ็กต์ความสมจริง หนังเริ่มเรื่องจากการไล่ผีปีศาจธรรมดาดูดิบๆ กับ CG เอฟเฟ็กต์ที่ดูดีสมจริงกับเรื่องแบบไม่ขัดตา แต่แล้วหนังค่อยๆ ไต่ระดับเรื่องราวใหญ่โตขึ้นไปจนถึงบอสปีศาจระดับโลก ซึ่งเริ่มต้องใช้ CG ที่เกินกำลังของงบสร้างแล้ว ทำให้ตอนหลังนอกจากจะดูพล็อตไม่สดใหม่แล้ว CG ยังนำมาใช้แบบดูปลอมๆ ทำให้หนังที่ตอนแรกดุรุนแรงดิบๆ กลายเป็นหนังแบบสู้กันด้วย CG ปลอมๆ ดูโลวเกรดไปเลย
ในซีซั่นแรกหนังมีเปิดปมมีพล็อตรองไว้เยอะแยะมากมาย แต่ยังดีที่ความยาวแต่ละตอนแค่ประมาณ 35 นาที หนังจึงเล่าทุกปมด้วยความไว แล้วก็ไม่ได้มีช่วงไหนยืดเยื้อ โดยยังโฟกัสอยู่กับเมนหลักของเรื่องคือการตามหาเด็กที่หายไปที่เป็นกุญแจสำคัญไปจนจบไม่ค้างคา ซึ่งหนังผูกเรื่องราวฝั่งของเด็กที่ถูกลักพาตัวไปตัดสลับกลับมาเชื่อมกับฝั่งตัวละครหลักได้น่าสนใจ มีที่มาที่ไปใบ้ให้คิดทีละนิดจนเรื่องราวต่อกัน แต่ก็ไม่ได้เคลียร์ปมรองต่างๆ ให้จบเพื่อไปต่อซีซั่นไป แม้จะไม่ถึงกับค้าง แต่ก็รู้สึกว่าหนังเปิดปมไว้เยอะมากแบบตั้งใจเกินไป ซึ่งก็ต้องรอดูว่าซีซั่น 2 จะเคลียร์ตรงนี้หมดหรือไม่
Diablero เป็นหนังแอ็กชั่นออกแนวโหดผสมตลกร้ายไปพร้อมกัน แม้พล็อตเรื่องไม่แปลกใหม่ แต่หนังลงรายละเอียดตัวละครทุกตัวได้ดี มีจุดเด่นแตกต่างกันไปไม่น้อยหน้าตัวเอกหลัก แล้วก็มีรายละเอียดการใช้เวทมนต์หลากหลายต้องแก้ทางกันด้วยสมองมากกว่ากำลัง หนังแต่ละตอนสั้นแค่ 30 กว่านาทีเดินเรื่องเร็วไม่ยืดเยื้อเลย แต่ข้อเสียคือปมเยอะแล้วทำค้างไว้ไปต่อซีซั่น 2 เยอะเกินไปหน่อย กับ CG ฉากใหญ่ตอนจบที่ดูปลอมมากไปจนทำให้ตอนจบดูดรอปลงกว่าตอนแรกที่ยังเป็นการต่อสู้ดิบๆ ซะอีก
รีวิวสรุป Diablero ดิอาเบลโร SS2 (ไม่มีสปอยล์)
ตัวเนื้อเรื่องต่อจากตอนจบภาคก่อนหนึ่งปีที่ทุกคนที่รอดมาพยายามตามหาบาทหลวงรามิโรที่หายไป แต่ก็ไม่พบ วันหนึ่งทั้งทุกคนก็ได้สัญญาณจากรามิโรว่าให้ช่วยป้องกันประตูสวรรค์ที่จะถูกปิดลง แต่ทุกคนก็ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น จึงตัดสินใจตามหารามิโรที่ปากทางนรก เรื่องราวการเดินทางช่วยรามิโรพร้อมกับภารกิจกู้โลกครั้งใหม่จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
นี่เป็นภาคต่อที่จับทางได้แล้วว่าคนดูชอบอะไร ซีรีส์จึงเปิดมาด้วยเรื่องราวที่รวดเร็วพร้อมตลกแบบเข้าเป้า ด้วยการให้ตัวละคร 3 คนหลักที่เหลืออยู่ (ขาดแค่บทหลวงในภาคแรก) ได้โผล่มาโชว์สกิลกันตั้งแต่เริ่มเลย ซึ่งภาคนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครหญิงทั้งสองคนอย่างน้องสาวของเอลวิส ที่มาเป็นนักล่าปีศาจแบบเดียวกับพี่เต็มตัวแล้ว พร้อมทั้งทักษะสกิลที่เริ่มพัฒนาขึ้นเหนือกว่าพี่ ส่วนแนนซี่ก็ยังเป็นตัวเด่นของเรื่องอยู่เช่นเคยตั้งแต่แรกจนจบ พร้อมด้วยสกิลใหม่ๆ อย่างการตามรอยจากกลิ่นของปีศาจ และในซีซั่น 2 นี้เธอจะได้ปีศาจตัวใหม่เข้ามาสิงและโหดกว่าเดิม รวมถึงมีฉากเซ็กซี่ขึ้นกว่าเดิมมาก รับรองว่าใครที่ชอบแนนซี่ในซีซั่นแรก มาซีซั่นนี้จะยิ่งชอบตัวละครนี้มากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก และเธอก็ยังเป็นตัวพลิกเกมของเรื่องอีกด้วย
ในส่วนเอลวิสภาคนี้ไม่ค่อยได้โชว์ฝีมืออะไรมากกว่าภาคก่อน ทีมสร้างคงต้องการเปิดโอกาสให้ตัวละครหญิงได้เด่นมากขึ้นจึงลดบทบาทเขาลงมาให้พอดีๆ เท่ากับคนอื่น ซึ่งซีซั่นนี้เราจะได้เห็นนักล่าปีศาจหญิงเพิ่มมาอีกหลายคน แล้วก็มีพลังที่เหนือกว่าผู้ชายมากๆ รวมถึงเป็นกุญแจสำคัญที่อธิบายปมลูกของน้องสาวเอลวิสที่หายไปด้วย
ตัวเนื้อเรื่องยังเดินเรื่องด้วยการเจอปีศาจระดับบิ๊กๆ เหมือนเดิม แต่เพิ่มปัญหาจากศาสนจักรเข้ามาอีกทาง ซึ่งตัวเรื่องราวผูกโยงต่อเนื่องจากซีซั่นแรกได้ดีว่าทำไมศาสนจักรถึงกลายมาเป็นฝ่ายตัวร้ายไปได้ ทั้งๆ ที่ความจริงต้องป้องกันปีศาจจากมนุษย์?
ซีซั่นนี้โดยรวมทุกอย่างดีกว่าซีซั่นแรกแทบทุกๆ อย่าง เนื้อเรื่องมีทิศทางชัดเจนแต่แรกว่าต้องตามล่าบอส รวมถึงมุกตลกที่ยังคงขำๆ โหดๆ เหมือนเดิม มีที่เพิ่มมาก็คือเรื่องราวดราม่าใหม่ๆ ด้านความรักที่ลึกซึ้งระหว่างตัวละคร แต่มีปัญหาหนึ่งที่รบกวนการดูเอามากๆ คือ เรื่องราวช่วงเจอปีศาจในแบบต่างๆ กลับอาศัยความมืดเข้ามากลบ CG ไปเกือบหมด ทำให้เราแทบไม่เห็นตัวชัดๆ เห็นแบบตัดภาพสั้นๆ จนดูแล้วน่ารำคาญมาก ผิดกับซีซั่นแรกที่เปิดเผยสว่างเห็นจะๆ จนดูเหมือนว่าซีซั่นสองงบน้อยลงมากจนไม่สามารถทำ CG ตัวปีศาจให้เห็นในที่สว่างๆ ได้ชัด ซึ่งกว่าจะเห็นตัวปีศาจในเรื่องชัดนี่ก็เอาซะเกือบจบเรื่องแล้ว และก็เห็นแค่บางส่วน แบบไม่ใช่การเคลื่อนไหวทั้งตัว แถมโผล่มาสั้นมากแปบเดียวจบ ดูยังไงก็รู้สึกว่าซีซั่นนี้โดนหั่นงบทำ CG ลงมากแน่ๆ
ตัวซีรีส์จบเรื่องราวที่ค้างไว้จากซีซั่นแรกหมดสิ้นทุกอย่าง ซึ่งถ้าดูซีซั่นแรกแล้วยังมีค้างปมไหนก็ต้องมาดูซีซั่น 2 เพื่อให้เคลียร์หมด แล้วตอนจบซีซั่น 2 ก็เปิดเรื่องราวใหม่เลย ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า ซีรีส์ทุนต่ำเรื่องนี้จะไปต่อได้อีกแค่ไหนครับ