รีวิว Eric เอริค (Netflix) สืบสวนคดีเด็กหายภายใต้ปมปัญหาทางจิตที่ยัดมาจนล้น
Eric เอริค
Summary
ซีรีส์แนวสืบสวนผสมปมปัญหาทางจิตที่เรื่องลงลึกในดราม่าปัญหาครอบครัวกับปมเกย์ในยุค 80 โดยใช้คดีเด็กหาย 2 คดีเข้ามาเกี่ยวพันกัน แต่เรื่องหยิบจับปมปัญหาใส่ลงมาเยอะมากจนทำให้เรื่องไม่สมูธ และความเข้มข้นของเรื่องทั้งสองส่วนก็ไม่เท่ากัน เรื่องของเบเนดิกต์ที่ต้องเล่นกับตัวละครมอนสเตอร์เอริคค่อนข้างน่าเบื่อจากบุคลิกความผิดปกติทางจิตที่ใส่มาเยอะจนล้นเกินไป ส่วนของนักสืบเข้มข้นกว่ามากในเรื่องคดีเด็กหายกับความเป็นเกย์ของเขา แต่ก็ใส่ปมปัญหาเกย์มาเยอะมากเพียงเพื่อให้เชื่อมกับตอนจบสุดท้ายเท่านั้นครับ แต่โดยรวมก็เป็นซีรีส์ที่มีความแปลกและลึกมากในปมปัญหาต่างๆ ที่ยังชวนให้ลองดู และเรื่องก็จบใน 6 ตอนซึ่งไม่ยาวมากครับ
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- สืบสวนผสมจิตวิทยาในคดีเด็กหาย
- นักแสดงดัง เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
- ปัญหาเกย์ในยุค 80
- 6 ตอนจบ
- มีพากย์ไทย
Cons
- ปมเรื่องเยอะเกินจนล้น
- ปัญหาทางจิตใส่มาเยอะวนซ้ำตลอดเรื่อง
- ตัวละครเด็กบทน้อย ขาดความน่าสนใจ
Eric เอริค ลิมิเต็ดซีรีส์ Original Netflix 6 ตอนจบ มีพากย์ไทย เมื่อลูกชายหายตัวไป พ่อผู้อับจนหนทาง พยายามต่อสู้กับด้านมืดในจิตใจที่มาในรูปร่างของมอนสเตอร์สีฟ้ากับตำรวจผู้มุ่งมั่นพยายามสืบคดีเด็กคนนี้ แต่ก็ไปพบกับเบาะแสคดีคนหายที่เขายังปิดไม่ลง
รีวิว Eric เอริค (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์ใช้นิวยอร์กในช่วงยุค 1980 เป็นโลเกชั่นในการเล่าเรื่องนี้ โดยมี เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ มาเป็นตัวยืนชูโรงทำให้เรื่องนี้ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที โดยเรื่องดำเนินไปในแนวสืบสวนคดีเด็กหาย เอ็ดการ์ลูกชายวัย 9 ขวบของวินเซ็นต์หายตัวไปตั้งแต่เริ่มเรื่อง โดยมี “เลอดรอยต์” ตำรวจผิวดำเป็นตัวเอกร่วมอีกคน แสดงโดย แมคคินลีย์ เบลเชอร์ เดอะเธิร์ด ที่อาจจะไม่คุ้นชื่อกันดี แต่เขาพึ่งเล่นเป็น อารอง ในซีรีส์วันพีชไป ซึ่งโดนเมคอัพจนไม่เห็นหน้าตาจริง แต่บทในซีรีส์นี้โดดเด่นคู่กับเบเนดิกต์แบบไม่แพ้กันเลย
ซีรีส์เล่าเรื่อง 2 ทาง และก็แยกเป็น 2 คดีที่มีจุดทับซ้อนกันเล็กๆ โดยเรื่องของวินเซ็นต์ก็คือพ่อที่มีปัญหาทางจิต ชอบทะเลาะเบาะแว้งกับทุกคน โดยงานของเขาคือรายการเชิดหุ่นทางทีวีให้เด็กดู แล้วกำลังมีปัญหาต้องการไอเดียใหม่ๆ จนทำให้เขาเริ่มมีปัญหากับทีมงาน กลับมาบ้านก็มีปัญหากับภรรยา เรื่องเล่าย้อนกลับไปให้ผู้ชมได้เห็นปัญหานี้สั้นๆ ก่อนที่เอ็ดการ์จะหายตัวไปและทิ้งภาพสเก็ตมอนสเตอร์สีฟ้าที่ชื่อว่า “เอริค” ที่กลายเป็นไอเดียทำให้เขาเอาไปใช้เสนอทีมงานสร้างมันเป็นหุ่นเชิดตัวใหม่ เพราะคิดว่าสิ่งนี้ถ้าได้ออกทีวีจะช่วยตามหาลูกได้ แต่กลายเป็นว่าเขาเองต้องพบกับภาพหลอนว่าเอริคมีตัวตนอยู่ข้างเขาจริงๆ และคอยป่วนทุกเหตุการณ์ที่เขาพยายามทำมันเพื่อตามหาลูก ซึ่งเรื่องก็แปลกประหลาดออกแนวจิตวิทยาเต็มตัว โดยตัวละครวินเซ็นต์เหมือนคนบ้าที่พูดคุยกับเอริคแม้จะมีคนอื่นอยู่ด้วย ก่อนจะค่อยๆ เฉลยว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา โดยมีปูมหลังชีวิตที่เรื่องค่อยๆ เฉลยออกมาเรื่อยๆ ว่าเกี่ยวข้องกันยังไง กลายเป็นดราม่าครอบครัวที่แตกร้าวลึกลงไปทุกส่วนมาก่อนเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นซะอีก แล้วเรื่องก็ไม่ได้เป็นแนวทางเด็กหายอย่างที่เห็นในตอนแรกอีกด้วยครับ
ส่วนอีกทางคือตัวละครนักสืบเลอดรอยต์ เขานำสืบคดีเอ็ดการ์ก็จริง แต่เรื่องแค่นำคดีนี้ให้มาเกี่ยวข้องกับคดีเก่าที่เขายังปิดไม่ลง โดยเป็นเด็กผิวดำวัย 14 ปีที่หายไปปีกว่า แต่สังคมกลับไม่สนใจเท่าคดีของเอ็ดการ์ที่เป็นเด็กผิวขาว ซึ่งแม้เรื่องจะวกกลับไปสืบคดีเอ็ดการ์อยู่นิดๆ แต่เรื่องของวินเซ็นต์ก็ค่อยๆ เฉลยตัวเองแล้วว่าเอ็ดการ์หายไปไหน ทำให้เรื่องเส้นเรื่องนี้จริงๆ คือการนำเสนอตัวละครนักสืบผิวดำที่เป็นเกย์ในยุค 1980 ซึ่งสมัยนั้นยังเหยียดหยามบูลลี่สภาพเพศที่แตกต่างอยู่ เรื่องนำเสนอปัญหาความเป็นเกย์ของเขาที่มีคู่ชีวิตเป็นเอดส์ในยุคนั้นที่ถูกรังเกียจและก็กำลังใกล้ตาย เขาต้องปกปิดชีวิตตัวเองไว้ในขณะที่สืบคดีเด็กหาย 2 คนไปพร้อมกัน และคดีเด็กผิวดำนั้นก็มีร่องรอยชี้นำว่านี่เป็นคดีใหญ่กว่าที่คิด ซึ่งเรื่องก็พาส่วนนี้ไปไกลมากจนกลายเป็นคดีสะเทือนนิวยอร์คเลยทีเดียว
ซีรีส์มีเนื้อหาที่เข้มข้นลงลึกทั้ง 2 ด้าน แต่ปัญหาที่เห็นคือความพยายามใส่เรื่องราวเยอะเกินไป อย่างเรื่องราวของวินเซ็นต์ในแต่ละตอนก็พยายามทำให้มีตัวละครคนใกล้ตัวที่น่าสงสัยทำให้เรื่องเขวเป็นช่วงๆ แต่เรื่องก็เฉลยในตัวมันเองแบบง่ายๆ ถึงแม้ปมยิบย่อยของวินเซนต์จะมีส่วนสำคัญกับการหายตัวไปของลูกชาย แต่เรื่องใส่ปมพวกนี้มาเยอะเกินไปจริงๆ เมื่อเทียบกับตอนจบสุดท้ายที่เคลียร์ปมออกมาได้สั้นๆ ว่าเป็นปัญหาครอบครัวง่ายๆ เท่านั้น และก็ยังมีความพยายามตีฟูตอนท้ายให้เรื่องดูยิ่งใหญ่ผสานคู่ไปเหตุการณ์อีกด้านของนักสืบเลอดรอยต์ที่กำลังคลายปมด้วยเหมือนกันก็ทำให้มันดูแปลกๆ ไม่เข้ากันเท่าไหร่
ส่วนเรื่องของนักสืบเลอดรอยต์ค่อนข้างดีกว่าในแง่ของแนวสืบสวนเด็กหายแบบจริงจัง เรื่องดำเนินไปแบบเข้มข้นว่าเขากำลังขุดคุ้ยไปเจอกับอะไรบางอย่างในปกปิดไว้ โดยระหว่างทางก็นำเสนอภาพชีวิตความเป็นเกย์ของเขาออกมาในยุค 80 ที่คนยังต้องปกปิดไว้เพราะโดนสังคมรังเกียจ แต่เรื่องก็จริงจังกับส่วนนี้มากตลอดเรื่องกลายเป็นแนวชีวิตของเกย์แบบเครียดๆ โดยไม่เปิดเผยให้รู้เลยว่าเพื่ออะไร จนกระทั่งตอนจบของเรื่องถึงเข้าใจว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งสามารถทำเป็นซีรีส์ได้อีกเรื่องแยกจากกันไปได้เลย แต่การเอามาผสมรวมกันทำให้น้ำหนักของการสืบสวนคดีเอ็ดการ์น้อยลงมาก จนเหมือนสองเรื่องนี้แยกจากกันไปเลยครับ
ส่วนที่แอบน่าเบื่ออีกอย่างคือการแสดงบทคนบ้าของ เบเนดิกต์ เขาเล่นได้ดีมากก็จริงในบทที่ต้องเหมือนพูดกับมอนสเตอร์ที่ไม่มีใครเห็นตลอดเวลา โดยที่คนรอบข้างก็ไม่เข้าใจว่าเขาพูดกับใคร แต่ว่าพอเรื่องเสนอการพูดวนซ้ำๆ แบบนี้ตลอดเรื่อง พ่วงกับปัญหาการติดเหล้าเมายาของเขา ทำให้ตัวละครนี้ดูเละเทะแบบน่าเบื่อ แม้เรื่องจะสร้างปมส่วนนี้มาเพื่อให้เขาต่อสู้จนหลุดพ้นในตอนท้าย แต่มันก็ดูแล้วงี่เง่าในช่วงเวลาที่กำลังตามหาลูกชาย แต่อยู่ดีๆ ก็หันไปเสพยาเพียงเพื่อให้ตัวละครดูมีปมต้องแก้แบบไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ครับ แต่ตรงข้ามกันบทนักสืบเกย์ของแมคคินลีย์นี่เล่นได้ดีมาก เป็นตัวละครที่พยายามเก็บกดแบกรับทุกอย่างไว้ในยุคที่เกย์ไม่ได้รับการยอมรับ และก็ถูกปลดปล่อยออกมาในช่วงหลังเมื่อตัวตนของเขาถูกเปิดเผยก็กลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมประทุออกมาทันที แค่ได้ยินใครพูดคำว่า “ตุ๊ด” เท่านั้น
สรุป ซีรีส์แนวสืบสวนผสมปมปัญหาทางจิตที่เรื่องลงลึกในดราม่าปัญหาครอบครัวกับปมเกย์ในยุค 80 โดยใช้คดีเด็กหาย 2 คดีเข้ามาเกี่ยวพันกัน แต่เรื่องหยิบจับปมปัญหาใส่ลงมาเยอะมากจนทำให้เรื่องไม่สมูธ และความเข้มข้นของเรื่องทั้งสองส่วนก็ไม่เท่ากัน เรื่องของเบเนดิกต์ที่ต้องเล่นกับตัวละครมอนสเตอร์เอริคค่อนข้างน่าเบื่อจากบุคลิกความผิดปกติทางจิตที่ใส่มาเยอะจนล้นเกินไป ส่วนของนักสืบเข้มข้นกว่ามากในเรื่องคดีเด็กหายกับความเป็นเกย์ของเขา แต่ก็ใส่ปมปัญหาเกย์มาเยอะมากเพียงเพื่อให้เชื่อมกับตอนจบสุดท้ายเท่านั้นครับ แต่โดยรวมก็เป็นซีรีส์ที่มีความแปลกและลึกมากในปมปัญหาต่างๆ ที่ยังชวนให้ลองดู และเรื่องก็จบใน 6 ตอนซึ่งไม่ยาวมากครับ