playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga ไฟ ฝัน ประชัน เพลง

ไฟร์ซาก้า: ไฟ ฝัน ประชัน เพลง

สรุป

ตัวเรื่องมีความแปลก สนุก ตลก แอบมีแฟนตาซีแบบทั้งในจินตนาการและของจริงประกอบเพลงที่อลังการเหมือนได้ดูการแสดงระดับโลกมารวมไว้ในเรื่อง รวมถึงยังมีเรื่องเพี้ยนๆ นอกเหนือจากเพลงมาทำให้ขำกันอีกด้วย แต่ก็มีเนื้อหาดราม่าลึกๆ กินใจอยู่หลายอย่าง ทั้งในเรื่องการเดินตามรอยฝันไม่ย่อท้อแม้ใครจะมองว่าเป็นไปไม่ได้ ซึ่งแอบทำให้น้ำตาซึมเล็กได้เหมือนกัน แต่ข้อเสียก็คงเป็นความยาวสองชั่วโมงของหนังที่มีช่วงดราม่าตัวพระเอกที่มีนิสัยเด็กๆ น่ารำคาญตลอดเรื่อง แต่เรื่องก็พาเขากลับมาจบในแบบที่น่ารักและน่าประทับใจได้ในภายหลังครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เสียงร้องของนางเอกเรเชล แม็คอาดัมส์ที่ทรงพลัง และสะกดคนดูได้ทุกครั้งที่ออกมา
  • ฉากแฟนตาซีประกอบเพลงแบบมิวสิควิดีโอกับบนเวทีประกวดทำได้อลังการมาก
  • เพลงในเรื่องคัดมาดีเพราะทุกเพลง
  • หนังมีมุกตลกจิกกัดหลายอย่างแรงๆ โดยเฉพาะประเทศอเมริกา
  • หน้าตาของพระเอกที่เห็นก็ตลกแล้ว และแอบน่าสงสารไปพร้อมกันจากบทที่เขาถูกมองว่าเป็นตัวตลกมาตลอดชีวิต
  • ฉากวิวทิวทัศน์ไอซ์แลนด์กับยุโรปสวยๆ ในเรื่อง

Cons

  • ตัวเรื่องมีช่วงยืดเยื้อจากตัวพระเอกที่มีนิสัยเด็กๆ น่ารำคาญอยู่เยอะ
  • มีเรื่องแฟนตาซีกับผีสางใส่มาแบบงงๆ ไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไร และก็ตัดจบแบบง่ายๆ
  • หลายเพลงในเรื่องเพราะมาก แต่กลับถูกตัดจบห้วนๆ จนอารมณ์ขาดช่วง

ADBRO

Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga (ไฟร์ซาก้า: ไฟ ฝัน ประชัน เพลง) หนัง Original Netflix เล่าเรื่องราวคู่รักที่เติบโตมาในเมืองเล็กๆ ของไอซ์แลนด์ และมีฝันไกลไปถึงการแข่งขันร้องเพลง Eurovision Song Contes แต่คนในเมืองเห็นเขาทั้งคู่เป็นเพียงตัวตลกเท่านั้น 

 Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga

รีวิวไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญในเรื่อง

ภาพยนตร์แนวดนตรีตลกดราม่า พ่วงแฟนตาซีนิดๆ เรื่องราวอิงกับการประกวดร้องเพลง Eurovision Song Contest ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีตัวแทนแต่ละประเทศเข้ารวมและโหวตให้คะแนนกัน (มีกฏห้ามโหวตประเทศตัวเอง) เมื่อลาร์ส (วิล เฟอร์เรลล์) และซิกริด (เรเชล แม็คอาดัมส์) เพื่อนสนิทวัยเด็กที่เติบโตมาในเมืองเล็กๆ ของไอซ์แลนด์ และร่วมทำวงดนตรีในชื่อ “ไฟร์ซาก้า” ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในฐานะตัวแทนประเทศเข้าร่วมการแข่งขันร้องเพลง Eurovision Song Contest ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นี่เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ตัวตลกในสายตาของคนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้

ตัวเรื่องเป็นแนวดนตรีกึ่งๆ มิวสิควิดีโอไปพร้อมกัน จึงมีฉากแฟนตาซีเพ้อฝันผสมเข้ามาอยู่ตลอดเรื่อง ซึ่งส่วนนี้แหละเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ที่ทำออกมาได้สนุกทุกครั้งกับการตัดฉากร้องเพลงประกอบมิวสิควิดีโอผสานไปกับการดำเนินเรื่องจริง โดยตัวเอกทั้งคู่ลาร์สกับซิกริดจะมีไอเดียบ้าๆ หลุดโลกหลายอย่าง อย่างฉากแรกของเรื่องจะก็เป็นมิวสิควิดีโอ Volcano Man ซึ่งก็หลุดโลกไปเลย แต่ในเรื่องจะเป็นแค่จินตนาการตอนอัดเสียงร้องในเมืองชนบทเล็กๆ แห่งนี้เท่านั้น

Volcano Man

แต่ฉากหลุดโลกประกอบเพลงไม่ได้มีเพียงแค่ในจินตนาการเท่านั้น ในเรื่องยังมีช่วงการประกวดของจริง มีเครื่องอุปกรณ์ประกอบฉากและเครื่องแต่งกายเพี้ยนๆ ของพวกเขาอยู่ด้วย โดยเนื้อเรื่องวางไว้ให้เกิดเรื่องบังเอิญทำให้เขาได้เป็นตัวแทนไอซ์แลนด์ ทำให้รัฐบาลต้องหาทีมผู้ช่วยสนับสนุนไอเดียเพี้ยนๆ ของลาร์สให้ออกมาดีไม่ขายหน้าในฐานะตัวแทนประเทศ ซึ่งไอเดียเพี้ยนๆ ที่ออกมาประกอบเพลงในเรื่องอาจจะดูตลกๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วเข้ากันกับเพลงที่ร้องได้เป็นอย่างดีเลย ทำให้เห็นว่าไอเดียเพี้ยนๆ ของพระเอกก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครๆ คิด รวมถึงเสียงร้องของ ซิกริด (เรเชล แม็คอาดัมส์) ในฐานะนางเอกของเรื่องก็ทรงพลังเอามากๆ ไม่แน่ใจว่าร้องสดหรือลิปซิ้ง แต่เสียงที่เปล่งออกมาทุกครั้งโดดเด่นสะกดคนดูได้ชะงัดทันที ในขณะที่ตัวพระเอกลาร์สจะเป็นแค่ลูกคู่กับรับบทคิวหลุดตลกๆ (ในเรื่องลาร์สจะถูกวางไว้ว่าเป็นตัวซวยคอยถ่วงนางเอก) มากกว่ามีบทนำในเรื่องเพลงจริงๆ แต่ทั้งคู่ก็เป็นส่วนผสมที่ประหลาดและลงตัวไปกับเรื่องราวเพี้ยนๆ แต่จริงจังกับความฝันไปพร้อมกัน

ตัวเรื่องไม่ได้มีแค่เพลงของสองคนนี้ แต่มีเพลงจากผู้ร่วมแข่งขันประเทศอื่นในแถบยุโรปด้วย ซึ่งก็เพราะทุกเพลง และมีฉากแสงสีเสียงเร้าใจสุดๆ หลายฉากทำออกมาเหมือนกำลังดูมายากลประกอบเพลงได้อย่างน่าทึ่ง สมกับเป็นการประกวดเพลงระดับโลกที่หลายคนน่าจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน เพราะบ้านเราก็ดูกันแต่เดอะว้อยซ์เพียงเท่านั้น ซึ่งในเรื่องก็แอบมีฉากจิกกัดเดอะว้อยซ์ด้วย ผ่านตัวละครนักท่องเที่ยวอเมริกันที่ไปเที่ยวยุโรป ซึ่งตัวเรื่องก็ขยันจิกกัดคนอเมริกันกับวัฒนธรรมต่างๆ ที่แตกต่างจากยุโรปผ่านตัวพระเอกที่ปากหมาสุดๆ เนื่องจากตัวเรื่องให้เขาเกิดและเติบโตภูมิใจกับความสวยงามของดินแดนแถบนี้ ที่ผิดกับอเมริกาที่ดูหยาบกร้านไม่ค่อยมีวัฒนธรรมสวยงามอะไรแบบยุโรปนัก (แต่ผู้สร้างเรื่องนี้เป็นอเมริกันนะ)

หนังมีพล็อตเสริมเป็นเรื่องดราม่าจากที่ใครๆ ก็มองว่า “ลาร์ส” (พระเอกของเรื่องที่เห็นหน้าก็ฮาแล้ว) เป็นตัวตลกสุดเห่ยประจำเมืองมาตั้งแต่เด็กจนโตเข้าวัยกลางคนก็ยังไม่เลิกฝันถึงการประกวด Eurovision แถมคนในเมืองเองก็ยังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ร้องเพลงพิสูจน์ความสามารถเลยสักครั้ง นอกจากร้องเพลง ยายา ดิ๊งด่อง (Ja Ja Ding Dong) วนไปมาไม่รู้จบเท่านั้น ใครอยากฟังว่าเพลงอะไรกดฟังที่นี่เลยครับ ซึ่งมุก ยายา ดิ๊งด่อง นี่ก็เรียกเสียงฮาได้จริงๆ แถมยังมีความสำคัญไปถึงตอนจบเรื่องสุดท้ายอีกด้วย

หนังทำให้เห็นว่าคนในเมืองเล็กๆ ที่รู้จักหน้าค่าตากันหมด มักจะมีนิสัยพอเพียง พอใจกับสิ่งเป็นอยู่ และไม่ได้ฝันไกลนัก แต่เมื่อมีคนที่มีความฝันไกลกว่ามาบอกเล่าความฝันให้คนในเมืองฟัง ก็เลยกลายเป็นเหมือนแกะดำไปในตัว และใช้เรื่องตรงนี้มาเป็นดราม่าสำคัญในชีวิตของพระเอกที่ลึกๆ กลัวการเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คน แต่ก็ยังไม่ยอมทิ้งฝันนั้นไปสักที ซึ่งก็เป็นจุดเด่นของเขาที่นางเอกหลงรัก แม้ใครจะมองว่าเขาเพี้ยนไม่ควรคบด้วย ในขณะที่นางเอกเหมือนดาวจรัสแสงที่ถูกพระเอกบดบัง แม้แต่พ่อแม่ของทั้งคู่เองก็ยังไม่ยอมรับในตัวทั้งสองคน เนื่องด้วยไม่เชื่อว่าลาร์สจะทำสำเร็จได้จากนิสัยไม่ยอมโตเอาแต่ฟุ้งฝันถึงการประกวดมาตลอดชีวิต และก็มองไม่ออกว่าไอเดียทำวงเพี้ยนๆ ของลาร์สมีดีตรงไหน นอกจากจะกลายเป็นตัวตลกขายขี้หน้าของเมืองและประเทศไอซ์แลนด์ในการประกวดระดับโลกขนาดนี้

ตัวหนังดูสนุกขยันยิงมุกตลกตั้งแต่แรกก่อนเข้าประกวดใหญ่ยูโรคอนเทสต์ แต่พอถึงช่วงหลักนี้เรื่องราวค่อนข้างเป็นดราม่าความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งคู่เยอะ โดยมีตัวละครนักร้องจากรัสเซียมาแทรกความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แม้จะดูเหมือนเป็นตัวร้าย แต่เรื่องก็ไม่ได้ทำให้ใครเป็นตัวร้ายจริงจังนัก เป็นแค่อุปสรรคคั่นเรื่องพอหอมปากหอมคอเท่านั้น แต่หนังก็ใช้เวลาส่วนนี้นานมากไปเพราะเรื่องยาวถึง 2 ชั่วโมง และความน่าสนใจอยู่ที่ช่วงร้องเพลงมากกว่าดราม่าของตัวพระเอกที่ออกจะน่ารำคาญจากนิสัยเด็กๆ ของเขา ยังดีที่ตอนจบของเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีน่าประทับใจจนแอบมีน้ำตาซึมได้จากเพลงสุดท้ายที่ลาร์สเลือกเล่นเปียโนให้นางเอกร้อง และสะกดคนดูด้วยเนื้อเพลงในแบบท้องถิ่นชนบทไอซ์แลนด์ กับเสียงร้องที่เพราะจับใจมากจริงๆ ครับ (ในเรื่องอ้างอิงไปถึงโน้ตสปียอร์กที่เป็นตำนานของไอซ์แลนด์เลยทีเดียว)

ตัวเรื่องมีความแปลก สนุก ตลก แอบมีแฟนตาซีแบบทั้งในจินตนาการและของจริงประกอบเพลงที่อลังการเหมือนได้ดูการแสดงระดับโลกมารวมไว้ในเรื่อง รวมถึงยังมีเรื่องเพี้ยนๆ นอกเหนือจากเพลงมาทำให้ขำกันอีกด้วย แต่ก็มีเนื้อหาดราม่าลึกๆ กินใจอยู่หลายอย่าง ทั้งในเรื่องการเดินตามรอยฝันไม่ย่อท้อแม้ใครจะมองว่าเป็นไปไม่ได้ ซึ่งแอบทำให้น้ำตาซึมเล็กได้เหมือนกัน แต่ข้อเสียก็คงเป็นความยาวสองชั่วโมงของหนังที่มีช่วงดราม่าตัวพระเอกที่มีนิสัยเด็กๆ น่ารำคาญ แต่เรื่องก็พาเขากลับมาจบในแบบที่น่ารักและน่าประทับใจได้ในภายหลังครับ

รวมหนัง/ซีรีส์แนวดนตรีของ Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!