รีวิวซีรีส์เกาหลี Extracurricular (Netflix) ชมรมลับ ธุรกิจรัก เรื่องราวดาร์คไซด์ของวัยรุ่นไซด์ไลน์
Extracurricular
สรุป
นี่เป็นซีรีส์เกาหลีแบบ Original Netflix แท้ๆ ที่หลุดจากแนวเรื่องและอารมณ์เดิมๆ ของสายเกาหลีไปแทบทั้งหมด มีเรื่องรักแซมมาเพียงน้อยนิดแต่ก็กำลังดีพอเหมาะกับเรื่องแล้ว ในช่วงครึ่งแรกของเรื่องจะดูเรื่อยๆ ไม่ดาร์คสักเท่าไหร่ แต่พอจากนั้นไปเรื่องถูกปรับโหมดเข้าสู่โหมดดาร์คของจริง แม้อาจจะมีหลุดเรื่องคาแรกเตอร์ตลกๆ ของตัวร้ายมาแทรกทำให้ดูขัดๆ ไม่สมจริง แต่ยังดีที่เรื่องส่วนอื่นดูจริงจังและจบแบบไม่เอาใจคนดูสายเกาหลีฟินๆ แต่เลือกจบแบบเรียลดาร์คตามที่ตัวเรื่องจริงๆ ควรจะเป็นได้ดี
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- ความดาร์คของเรื่องช่วงหลังที่เข้มข้นหดหู่รุนแรง
- ตัวละคร “หัวหน้าอี” ขโมยซีนเด่นทั้งบทและการแสดงจนน่าจดจำ
- นักแสดงตัวหลักเล่นได้สมบทบาทแม้จะเป็นแค่วัยรุ่น
- เจาะธุรกิจเด็กไซด์ไลน์ขายตัวรุ่นใหม่กันอย่างละเอียด
- เรื่องรักมีแซมมาเบาๆ แบบไม่เกินเลยจากโทนดาร์คของเรื่อง
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- คาแรกเตอร์กับบทของตัวร้ายประจำเรื่องดูตลกจนดูขัดไม่เข้ากับโทนเรื่องจริงจัง
- เรื่องเกี่ยวกับ SEX แต่ไม่มีฉากอะไรแบบนั้นหรือแม้แต่ล่อแหลมเลยสักนิดจนส่วนนี้ดูเบาไป
- บทตำรวจในเรื่องใส่มาน้อย แถมไม่ได้ช่วยให้เรื่องมีลุ้นชิงไหวพริบไล่ตามกันทันแบบที่ควรจะเป็น
- ตัวละครกีแทนักเรียนหัวโจกของเรื่องขาดปูมหลังจนดูร้ายแบบไม่มีมิติของตัวละครจนเกินไป
- ขาดเพลงประกอบฉากแบบซีรีส์เกาหลีปกติ มีแค่เพลงเปิดไตเติลเป็นหลัก
- บทพ่อของพระเอกเปิดมาแปบเดียวแล้วก็ถูกตัดทิ้งหายไป
Extracurricular ชมรมลับ ธุรกิจรัก ซีรีส์เกาหลีแบบ Original Netflix แท้ๆ มาครบ 10 ตอนรวดเดียวจบ เรื่องราวด้านมืดของวัยรุ่นที่ทำธุรกิจไซด์ไลน์ จนต้องเข้าสู่วังวนความรุนแรงของอาชญากรรมที่ไม่อาจหวนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกต่อไป
ตัวอย่าง Extracurricular ชมรมลับ ธุรกิจรัก
บทความมีสปอยล์เนื้อหาบางส่วน แต่ไม่ใช่จุดหักมุมสำคัญของเรื่อง
ซีรีส์เกาหลีแนวทริลเลอร์ด้านมืดของนักเรียนไฮสคูล เรื่องราวของหนุ่มนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน โอ จีซู (รับบทโดยคิม ดงฮี) ที่มีอาชีพลับทำเงินมหาศาลจากการคุมงานขายตัวของเด็กสาววัยรุ่น แต่แล้ววันหนึ่งก็พลาดท่าถูกเพื่อนสาวร่วมโรงเรียน แพกยูรี (รับบทโดยพัค จูฮยอน) มารู้ความลับนี้ด้วย ในขณะเดียวกัน ซอ มินฮี (รับบทโดย จอง ดาบิน) เพื่อนร่วมห้องสาวสวยกลับมาเป็นเด็กในสังกัดของจีซูโดยไม่รู้ตัว
สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่ซีรีส์ที่ออกมาอาทิตย์ละตอนสองตอนแบบปกติ แต่มารวดเดียวจบ 10 ตอน ซึ่งก็หมายความว่าเป็นซีรีส์ Original Netflix แท้ๆ ที่ทำลงโดยตรงไม่ขึ้นกับเรตติ้ง มีการถ่ายทำแบบทีเดียวจบต่างไปจากละครเกาหลีที่นิยมถ่ายไปฉายไป เพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างเรตติ้งจากการปรับเปลี่ยนบท หรือตัดบทให้ตอนน้อยลงก็ยังได้ถ้าเรตติ้งไม่ดี (ปกติเกาหลีจบที่ 16 ตอนเสมอ) ซึ่งพอเป็นงานสร้างแบบนี้เลยทำให้เห็นว่าอารมณ์และแนวทางของเรื่องค่อนข้างแตกต่างจากปกติไปมาก ทุกตอนไม่ได้มุ่งเน้นที่เปิดปมขมวดปมให้จบแบบมีลุ้นกันเฉียดฉิวเพื่อให้คนติดตามต่อเนื่องไปทุกอาทิตย์ แต่เป็นการเล่าเรื่องยาวๆ แล้วถึงช่วงตัดจบตอนก็ตัดไป ไม่ได้บิ้วหนักแบบปกติ แล้วพอเริ่มตอนใหม่ก็มักจะต่อกันเหมือนฉากต่อฉากหนังยาวๆ มากกว่าจะกระโดดเรื่องไปจุดอื่นแบบที่ซีรีส์ปกติมักชอบทำกัน
จุดเด่นของตัวเรื่องที่บอกว่าขายความดาร์คกันตั้งแต่หน้าปก แต่เอาจริงคือค่อนข้างใช้เวลานานกว่าจะถึงจุดนั้น โดยช่วงแรกเรื่องเดินหน้าสำรวจเส้นทางการทำธุรกิจและชีวิตของตัวละครหลักทั้ง 3 ตัว โอ ซีจู พระเอกของเรื่องเด็กเรียนดีที่มีอาชีพลับๆ เหมือนพ่อเล้า แต่ตัวเขาเองบอกว่าเป็นงานรักษาความปลอดภัยให้กับลูกค้าต่างหาก ซึ่งเรื่องเปิดมาตอนแรกอาจจะงงๆ กันสักนิดเพราะไม่มีฉากอย่างว่า แต่กลับเป็นเรื่องการข่มขู่รีดไถเงินจากหนุ่มโรคจิตที่มาใช้บริการของเขาแล้วทำเกินเลยกับสาวๆ โดยมี “หัวหน้าอี” (ถ้าเปิดซับแบบ CC จะเป็น ลี แต่เสียงเกาหลีจริงคืออี) รับบทโดย Choi Min Soo ที่เป็นด่านหน้าคอยรับส่งทำงานคุ้มครองสาวๆ โดยที่ทั้งหมดไม่เคยพบหน้ากัน ซึ่งพระเอกจะถูกทุกคนเรียกว่า “ลุง” เพราะคิดว่างานแบบพ่อเล้าคนที่คุมน่าจะเป็นชายสูงวัยแนวๆ มาเฟียแบบภาพลักษณ์ที่จำๆ กันมา ซึ่งประเด็นการเข้ามาทำงานนี้ของพระเอกก็ถูกเฉลยง่ายๆ ตั้งแต่เริ่มว่า พ่อแม่ทิ้งไปทำให้ความฝันเข้าเรียนมหาลัยมีปัญหา ต้องหาเงินมาเลี้ยงตัวและใช้จ่ายกับการเรียนสูงถึงเกือบร้อยล้านวอน แม้คนดูจะสงสัยว่าทำไมมันมากจัง แต่ตัวเรื่องไม่ได้ลงรายละเอียดว่าทำไมต้องใช้เงินขนาดนี้เลย แล้วข้ามไปเล่าเรื่องวิธีการทำธุรกิจของเขาแทนโดยละเอียด ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวกับการเจาะโลกของการบริการทางเพศยุคใหม่แบบนี้ ที่มีอุปกรณ์ไอทีหลายอย่างเข้ามาช่วยเหลือ อย่างริสแบนด์ติดตามตัวไว้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีฉากอย่างว่าอะไรทั้งสิ้นในเรื่องนี้ (หรือแม้แต่วาบหวิวก็ไม่มี) ซึ่งถ้าเป็นซีรีส์ฝรั่งจุดนี้มีความแรงกว่ามากแน่นอน แล้วก็ไม่ได้มีฉากแอ็กชั่นหรือความรุนแรงอะไรอื่นอีกเลย นอกจากแค่ฉากในจินตนาการที่ดูรุนแรงแทรกมานิดหน่อย ส่วนใหญ่เป็นแค่ฉากลุ้นกับความเสี่ยงที่พระเอกต้องเจอ หลังแพกยูรีเพื่อนสาวคนใหม่จับได้ บทตัวเรื่องก็ออกแนวผจญภัยวัยรุ่นผสมกับเรื่องรักปนมานิดๆ ทำให้เรื่องราวช่วงแรกแทบไม่รู้สึกว่าดาร์คอะไรสักเท่าไหร่ ตัวเรื่องแม้จะไม่ถึงขนาดอืดอาด แต่ก็ไม่ได้มีเนื้อหาเข้มข้นมีจุดพีคต่อตอนอะไรมากนัก เหมือนหนังแนวเส้นทางธุรกิจวัยรุ่นวัยเรียนลับๆ ซะมากกว่า
ตัวเรื่องมาเริ่มดาร์คเข้มข้นกันจริงๆ ก็ช่วงท้ายตอน 6 กับฉากแอ็กชั่นเลือดสาดที่จัดมาให้แบบเกินคาด ซีรีส์เหมือนเปลี่ยนโหมดเลือกฉายด้านดิบที่เสี่ยงกับความรุนแรงของธุรกิจนี้มาให้ดูกัน จากที่เรื่องช่วงแรกอาจจะดูไม่ดาร์ค ฉากนี้เป็นเหมือนประตูเปิดเข้าสู่เรื่องดาร์คจริงๆ ของเรื่อง แต่จุดนี้กลับมีปัญหาไปพร้อมกันเมื่อฉากที่ดาร์คมากๆ พึ่งผ่านไปฉากต่อมากลับกลายเป็นเรื่องตลกแบบงงๆ จากบุคลิกตัวร้ายโรคจิตของเรื่องที่เป็นมาเฟียคุมสาวขายบริการตัวจริง แต่กลับทำตัวติ๊งต๊องมีเรื่องกลัวเมียใส่มาจนเหมือนหนังตลก แม้แต่ทรงผมหน้าตาคาแรกเตอร์ก็ตั้งใจให้ดูเหมือนพวกดาราตลก ทำให้คนที่รู้สึกว่าเรื่องน่าจะดาร์คต่อเนื่องมีผิดหวังได้ แต่ยังดีที่เรื่องราวต่อจากนั้นค่อยๆ กลับเข้าสู่วังวนของความดาร์คได้ แม้อาจจะยังรู้สึกแปลกๆ กับบทตัวร้ายเรื่องนี้ก็ตาม แต่เรื่องส่วนอื่นก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มีส่งท้ายฉากตะลุมบอนเล่นใหญ่ของเรื่องที่แทรกมาด้วยความโหดดิบของ “หัวหน้าอี” แล้วก็มาต่อด้วยบทสรุปของเรื่องที่ตัวพระเอก “โอ จีซู” แบบไม่คาดคิดว่าเรื่องและตัวละครเด็กวัยรุ่นที่แม้จะทำธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็ยังดูใสซื่อมาตลอดเรื่องจะดิ่งลงมาถึงด้านมืดตรงจุดนี้ได้เหมือนกัน ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความกล้าของทีมสร้างเกาหลีเรื่องนี้ ที่ไม่จบแบบเอาใจคนดูสายเกาหลีเลยแม้แต่น้อย และมีปลายเปิดนิดๆ แบบจะทำต่อก็ยังไปได้
ส่งที่ต้องชื่นชมจริงๆ คือการรับบทของตัวละครหลักในเรื่องนี้ที่ดูมืออาชีพกันแทบทุกคน แม้เรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่น แต่ก็มีจุดเด่นเอกลักษณ์และการแสดงที่น่าประทับใจ ดูแล้วอินไปกับเรื่องราวได้ไม่น้อย อย่าง “คิม ดงฮี” จากบทพระเอกของเรื่องที่ต้องดูเป็นคนหัวดีอ่อนโลก เก็บตัว มีสัตว์เลี้ยงเป็นปูเสฉวนที่มักจะซ่อนตัวในกระดองแทนเหมือนนิสัยพระเอก แค่มีความรู้เรื่องการทำธุรกิจตรงนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาดูกร้านโลก แต่เอาจริงๆ คือเขาก็ยังเป็นเด็กที่ไม่ประสีประสากับเรื่องอื่นๆ เลยแม้แต่การจีบหญิง ซึ่งเรื่องวางให้เขาปิ๊ง แพกยูรี นางเอกของเรื่องแต่แรก แม้ตอนแรกบุคลิกหน้าตาซื่อๆ อาจจะดูค้านหรือเหมือนจงใจให้ซ่อนความลับแล้วแกล้งทำตัวแบบนั้น แต่เมื่อเรื่องราวเดินหน้าไปก็ทำให้เราค่อยๆ เข้าใจตัวละครนี้มากขึ้นจนรู้สึกว่าสมเหตุผลและเป็นไปได้จริงๆ รวมถึงปริศนาของเรื่องว่าเขากับหัวหน้าอีมารู้จักกันได้ยังไง ก็ถูกเฉลยในตอนหลัง (ตอน 8) ซึ่งทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ลึกซึ้งของสองคนนี้ได้ในที่สุด
แพกยูรี นางเอกของเรื่องที่หน้าเหมือน “ปันปัน” ดาราวัยรุ่นบ้านเรามาก ตั้งแต่ลุคหน้าตาท่าทางที่ออกแรงๆ ไม่ใช่แนวสวยหวานตั้งแต่เปิดเรื่อง (แต่ก็มีฉากแต่งสวยหวานให้ดูด้วย) เธอเป็นตัวละครที่เหมือนตัวเร่งเข้าสู่ด้านมืดของเรื่อง ทั้งจากตัวเธอเองที่มีความโรคจิตซ่อนอยู่ในใจ อย่างฉากเปิดตัวที่เห็นกันในเทรลเลอร์ว่ายิงหัวพ่อแม่บนโต๊ะอาหาร หรือการใช้เล็บสะกิดเนื้อจนเลือดออก “พัค จูฮยอน” สอบผ่านฉลุยกับความโรคจิตพวกนี้ และยังเป็นตัวละครที่มาแทนพระเอกในหลายๆ ฉากของเรื่องยามคับขัน แต่หนังก็ไม่ได้ถึงขนาดพลิกให้เธอนำทั้งหมด ตัวเรื่องยังมีการประคับประคองกัน และก็ใส่เรื่องโรแมนติกเล็กๆ ลงไปบางครั้งไม่ให้หนังดูมืดหม่นจนเกินไป และก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในแบบธุรกิจ ชีวิตวัยรุ่นวัยเรียน รวมถึงเรื่องความรักที่หนังมีคำตอบให้ตอนท้าย ในแบบที่ไม่ต้องจงใจปั้นแต่งให้โรแมนติก แต่ก็เป็นฉากที่ได้ใจคนดูไม่น้อยแน่นอน“หัวหน้าอี” ตัวละครที่ต้องเรียกว่าขโมยซีนทุกครั้งที่ออกมา และเป็นตัวละครที่มีฉากที่น่าจดจำที่สุดของเรื่องแน่นอน ทั้งฉากแอ็กชั่นที่โหดดิบรุนแรงได้ใจคนดูแบบจ้วงไม่ยั้ง และฉากหดหู่สะเทือนใจไปกับชะตากรรมของเขา ต้องเรียกว่าทั้งการแสดงและบทของเขาแม้จะเป็นบทซัพพอร์ทไม่ใช่เมนหลัก แต่ก็กลายมาเป็นตัวละครที่คนดูเทใจให้ทุกคนแน่นอน แต่ก็อาจจะเพราะคาแรกเตอร์นี้ถูกสร้างมาจากต้นแบบของหนังดราม่าแอ็กชั่นขึ้นหิ้งฝรั่งเศสเมื่อปี 1994 Léon: The Professional ที่เป็นชายสูงวัยทำงานด้านมืด แต่กลับมีนิสัยส่วนตัวเรียบง่ายอ่อนโยน โดยทั้งลุคหน้าตา แนวคิด บุคลิก รวมถึงบทของเรื่องที่ผูกพันกับ “ซอ มินฮี” เด็กสาวที่มาขายบริการ ที่เขาพยายามไม่ให้เธอมาทำตรงนี้ด้วยความรู้สึกห่วงใย ก็เหมือนกับที่ลีอองผูกพันกับมาธิลด้าในเรื่องนั้นเช่นกัน ซึ่งถ้าใครเคยดูลีอองมาก่อนคงรู้สึกได้ตั้งแต่แรกๆ และมายืนยันในตอนหลังที่เรื่องมีการพูดถึงสองคนนี้ว่าเป็นลีอองกับมาธิลด้าหรือไง ซึ่ง “จอง ดาบิน” ที่เล่นเป็นเด็กสาวขายตัวคนนี้ก็รับบทส่งอารมณ์กับรุ่นใหญ่อย่างได้ดีพอจนทำให้เรารู้สึกเศร้าสะเทือนใจไปกับชะตากรรมของทั้งคู่ได้จริงๆ แต่เรื่องก็ไม่ได้มีแต่ความหดหู่ เพราะเรื่องราวของสองคนนี้ก็มีส่วนที่สดใสแซมอยู่ด้วยเล็กๆ แบบเดียวกับที่หนังลีอองเป็นอยู่เลย แนะนำเลยว่าถ้าใครชอบบทของสองคนนี้ และอยากหาหนังที่มีอารมณ์เรื่องราวแบบนี้ให้ดูลีอองได้เลยครับ
ส่วนตัวละครอย่างกีแท (รับบทโดย Nam Yoon Soo) แม้จะลงไว้ว่าเป็นคาแรกเตอร์หลัก แต่ตัวบทกลับไม่ค่อยมีมิติตัวละครลึกอะไรนัก วนๆ อยู่กับการเป็นหัวโจกของชั้น ม.5 ของโรงเรียน ที่ดูเกินๆ ไปเหมือนกันว่าทำไมหลายๆ คนถึงยอมมาเป็นลูกน้องหรือลูกไล่ให้จนมากเกินปกติ และก็ไม่มีการลงลึกถึงปูมหลังใดๆ ให้ดู ทำให้แม้นักแสดงที่รับบทจะเข้ากันได้สมกับบทบาท แต่ตัวเรื่องกลับอ่อนด้อยมากที่สุดจนจบ ไปอย่างน่าเสียดาย ผิดกับแฟนสาวของเขามินฮีที่มีบทเด่นกว่ามากอย่างน่าจดจำ
ตัวละครอื่นอย่างครูแนะแนว (รับบทโดย Park Hyuk Kwon) แม้จะออกมาตลอดเรื่อง แต่กลับไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก รวมถึงตำรวจคดีเยาวชน (รับบทโดย Kim Yeo Jin) แม้เรื่องจะเปิดตัวเธอเหมือนเชิงสืบสวนดูน่าติดตามว่าจะจับผิดสาวถึงธุรกิจของพระเอกได้เมื่อไหร่ แต่กลายเป็นว่าบทมันเบาบางและออกมาน้อยเกินไป แถมยังทำให้เธอกลายเป็นคนไม่ทันเกมไปจนจบเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนที่ใส่มาแบบน่าผิดหวังเอามากๆ ทั้งๆ ที่น่าจะรุกรับชิงไหวพริบได้มากกว่านี้
สำหรับใครที่หวังเพลงประกอบเข้ากับเรื่องตามแบบซีรีส์เกาหลีปกติก็คงต้องผิดหวัง เมื่อเรื่องมีแค่เพลงไตเติลมันส์ๆ เท่านั้นกับเพลงตอนจบนิดนึง
นี่เป็นซีรีส์เกาหลีแบบ Original Netflix แท้ๆ ที่หลุดจากแนวเรื่องและอารมณ์เดิมๆ ของสายเกาหลีไปแทบทั้งหมด มีเรื่องรักแซมมาเพียงน้อยนิดแต่ก็กำลังดีพอเหมาะกับเรื่องแล้ว ในช่วงครึ่งแรกของเรื่องจะดูเรื่อยๆ ไม่ดาร์คสักเท่าไหร่ แต่พอจากนั้นไปเรื่องถูกปรับโหมดเข้าสู่โหมดดาร์คของจริง แม้อาจจะมีหลุดเรื่องคาแรกเตอร์ตลกๆ ของตัวร้ายมาแทรกทำให้ดูขัดๆ ไม่สมจริง แต่ยังดีที่เรื่องส่วนอื่นดูจริงจังและจบแบบไม่เอาใจคนดูสายเกาหลีฟินๆ แต่เลือกจบแบบเรียลดาร์คตามที่ตัวเรื่องจริงๆ ควรจะเป็นได้อย่างดีมากครับ
สปอยล์อธิบายฉากจบสุดท้าย
ซีรีส์เลือกจบแบบปลายเปิดไม่บอกอะไรคนดูมาก แต่จากภาพที่ฉายให้ดูว่าเป็นเมืองชายทะเลที่เจริญมาก ก็น่าจะเป็นซิดนีย์ประเทศออสเตรเลียจริงๆ รวมถึงฉากจบตอนท้ายปูเสฉวนมีคนมาเติมน้ำให้ ก็คิดได้อย่างเดียวคือพระเอกยังไม่ตาย เพราะไม่งั้นต้องมีฉากตำรวจพบเจอเขา ไม่ใช่ฉากที่ตำรวจหญิงจินตนาการว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น ซึ่งถ้าพระเอกตายนางเอกคงไม่ลงทุนแบกศพไปอยู่แล้วครับ