playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Geek Girl (Netflix) ซีรีส์รักวัยรุ่นที่สนุกแบบแปลกประหลาด จนต้องห้ามพลาด!

Summary

อยากให้มองข้ามหน้าตาและชื่อเรื่องนี้ไปโดยเฉพาะชื่อไทยที่เห่ยมาก ถึงพล็อตเรื่องจะเป็นแนวซินเดอเรลล่าแจ้งเกิดในวงการแฟชั่นที่ดูไม่แปลกใหม่ แต่เรื่องจริงกลับโดดเด่น สนุก ตลก สดใส มีสไตล์ของตัวเองในแบบที่คาดไม่ถึง ด้วยการถ่ายทอดลงลึกถึงประสบการณ์จริงของผู้เขียนเรื่องนี้เองที่เป็นออทิสติกมาตลอดและไม่รู้ตัวเองจนกระทั่งตอนโต โดยเรื่องใช้ความเป็น Geek บังหน้าบุคลิกภาพที่เป็นปมปัญหาของนางเอกส่งต่อให้เธอได้เข้าวงการแฟชั่นตั้งแต่วัยเด็กเหมือนตัวผู้เขียนจริงๆ ทำให้เรื่องลึกเข้าถึงตัวละครในแง่มุมนี้ได้อย่างแท้จริง มีเรื่องรักเป็นแค่ส่วนเสริมแบบใสๆ แต่สะท้อนความรู้สึกรักครั้งแรกของ Geek ออกมาได้ดี  และทุกตัวละครในเรื่องนี้ยังโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีเนื้อเรื่องย่อยที่เล่าไปพร้อมกับเส้นทางชีวิตของนางเอกได้อย่างกลมกลืน นี่เป็นซีรีส์วัยรุ่นม้ามืดที่ดีมากจนไม่อยากให้ใครพลาดเลยครับ (เดี๋ยวไม่ได้ทำต่อจนจบ 6 เล่มตามนิยาย)

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนที่เป็นออทิสติกและ Geek
  • สร้างจากนิยายดังของอังกฤษ
  • สนุกแบบใสๆ แต่ก็เข้มข้นในมุมของคนที่เป็นออทิสติก
  • เรื่องรักวัยรุ่นคลีนมากไม่มีมุกทะลึ่ง
  • นักแสดงโดดเด่นมีเอกลักษณ์มากทุกคน
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • จังหวะดังในวงการแฟชั่นของนางเอกค่อนข้างเป็นไปแบบง่ายๆ

ADBRO

Geek Girl สาวเนิร์ดอยากจะชิค ซีรีส์ Original Netflix วัยรุ่นรักโรแมนติก 10 ตอนจบซีซั่น 1 สร้างจากนิยายดังของอังกฤษ เรื่องราวของเด็กสาววัยรุ่นที่เป็น Geek ในโรงเรียนและได้เข้าสู่วงการแฟชั่นที่แตกต่างจากความเป็นตัวเธออย่างสุดขั้ว

Geek Girl (2024) on IMDb

ตัวอย่าง Geek Girl

รีวิว Geek Girl (ไม่สปอยล์)

*Geek ในความหมายดั้งเดิม หมายถึง คนแปลกประหลาด คนที่ดูผิดปกติ และใช้ในความหมายว่า ความเพ้อฝัน ความสนใจคลั่งไคล้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ 

ซีรีส์วัยรุ่นที่พล็อตเรื่องเหมือนซินเดอเรลล่าสมัยใหม่อีกเรื่อง แต่เรื่องนี้มาในรูปแบบนางเอกที่เป็น Geek เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์โบราณ ฝันอยากเป็นนักบรรพชีวิน มีความแตกต่างจากสังคมเพื่อนในโรงเรียนจนถูกกลั่นแกล้ง จนเธอพลัดหลงเข้ามาในวงการแฟชั่นกลายเป็นางแบบหน้าใหม่โด่งดังและพบรักกับท็อปโมเดลชายที่เหมือนเจ้าชายในวงการนี้ 

แต่สิ่งที่เรื่องนี้ต่างออกไปก็คือ Holly Smale ผู้เขียนนิยายชุดเรื่องนี้มีประสบการณ์จริงแบบเดียวกับตัวละคร  ตอนเด็กเธอถูกกลั่นแกล้งมาตลอดเพราะเข้ากับใครไม่ได้ อายุ 15 ปีได้เข้าวงการนางแบบ 2 ปี แต่ก็ไม่ได้ชอบมัน เธอมารู้ว่าตัวเองเป็นออทิสติกสเปกตรัมเมื่ออายุ 39 ปี (แต่เธอเขียน Geek Gril ก่อน 6 ปี) จากการโต้เถียงกับผู้ชายในแอปหาคู่แล้วโดนว่าถึงปัญหาที่ตัวเธอเองก็ไม่เคยเข้าใจมาก่อน จนบอบช้ำทางจิตใจอย่างหนัก แต่เธอก็สงสัยว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดถูกต้อง จึงไปทำแบบทดสอบออนไลน์และพบว่าเข้าข่ายเป็น จึงให้หมอวินิจฉัยอาการจนยืนยันว่าเธอเป็นออทิสติกจริงๆ ซึ่งเคสแบบนี้มีพบได้เป็นปกติว่าหลายครอบครัวไม่รู้ว่าลูกอยู่ในกลุ่มอาการนี้ ซึ่งไม่ใช่ออทิสติกแบบที่เห็นได้จากหน้าตา แต่เป็นอาการเข้าสังคมไม่ได้ การพูดคุยมีปัญหา ซึ่งสมัยก่อนยากที่จะเข้าใจ 

จากประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ตัวละคร Harriet Manners (เล่นโดย Emily Carey ผลงานก่อนนี้จาก House of the Dragon) ไม่ใช่สาววัยรุ่นเพ้อฝันอย่างซีรีส์วัยรุ่นเรื่องอื่นทั่วไปที่ผ่านมา แม้จะมีตัวละครเป็น Geek เหมือนกันอย่างซีรีส์ Never Have I Ever ของ Netflix เอง แต่เรื่องนี้เธอคือ Geek จริงๆ ที่มีอาการเข้าสังคมไม่ได้ หวาดกลัวสิ่งรอบข้างที่แปลกใหม่ ถูกสังคมโรงเรียนกลั่นแกล้งเพราะความที่เธอแปลกประหลาดกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด จากอาการประหม่าสับสน พุดคุยโดยการตั้งคำถามไม่หยุด อาการต่างๆ ในเรื่องที่เธอแสดงออกก็คืออาการของคนเป็นออทิสติกที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว และซีรีส์ก็ไม่ได้บอกออกมาตรงๆ แต่มีคำใบ้ให้พอเข้าใจว่าเธอผิดปกติ อย่างการที่พ่อของเธอพยายามคิดว่าอาการของเธอคือพฤติกรรมรับมือกับการเสียแม่ไปตั้งแต่เด็กและจะดูแลเธอตลอดไป ซึ่งจริงๆ แล้วตัวละครนี้ก็คือสิ่งที่ผู้เขียน Holly Smale เป็นอยู่ตลอดมานั่นเอง และซีรีส์ก็นำเสนอส่วนลึกของประสบการณ์นี้ออกมาในแง่มุมที่น่าสงสารมาก ให้ได้เห็นส่วนลึกที่เกาะกุมจิตใจคนที่เป็นแบบนี้แต่พูดและแสดงออกมาให้ถูกต้องกับสังคมรอบข้างไม่ได้ แม้ว่าจะพยายามแค่ไหนก็มักพบกับความล้มเหลวตามมาเสมอ

แต่นี่ก็ไม่ใช่ซีรีส์แนวดาร์คหดหู่ของคนเป็น Geek ออทิสติกตรงๆ ถึงเรื่องราวนำเสนอปมด้อยชีวิตของเธอออกมาก็จริง แต่ก็นำสิ่งนี้มาเป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนเรื่องราวในวงการแฟชั่น เมื่อวงการนี้แสวงหาความโดดเด่นเป็นตัวเองมากกว่าอย่างอื่น การที่เธอเป็นเด็กสาวประหม่าพูดอะไรเปิ่นๆ ผิดๆ ถูกๆ ออกมาตลอด กลับต้องตาโดนใจแมวมองในวงการ Wilbur Evans (แสดงโดย Emmanuel Imani) นักแสดงผิวดำที่แสดงพลังเล่นเป็นเหมือนแม่ทูนหัวให้นางเอกแบบสุดใจ น่าทึ่งมากๆ กับการแสดงในบทบาทนี้ที่โดดเด่นแบบตัวแม่ในวงการ โดยมี Betty (แสดงโดย Hebe Beardsall) ผู้ช่วยที่มีบุคลิกหลุดๆ เสริมเข้าไปอีกคนได้อย่างน่ารัก  แม้เรื่องจะทำให้นางเอกดูเข้าวงการง่าย ได้จังหวะเหมาะเจาะเหมือนไม่ต้องพยายามก็ได้ดี แต่เนื้อแท้เรื่องก็แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามต่อสู้กับสังคมแฟชั่นที่ขัดแย้งกับตัวตนเธออย่างมากตลอดเวลา โดยมีอุปสรรคอย่างนางแบบในวงการด้วยกัน เจ้าของโมเดลลิ่งที่ไม่ชอบเธอตั้งแต่แรกและมองเธอเป็นแค่ตัวทำเงินที่ต้องรีบกอบโกย และมีดีไซเนอร์ตัวแม่ของวงการอย่าง Yuji Lee (แสดงโดย Sandra Yi Sencindiver) ที่จับตาดูเธออย่างเข้มข้นตลอดเวลา และมีบุคลิกเฉพาะตัวที่แตกต่างแบบเดียวกับนางเอก ทำให้เธอดูเหมือนเป็นคนที่เข้าใจนางเอกอย่างลึกๆ ในทันทีที่มองเห็นกัน แต่ไม่พูดออกมา และก็มีซีนประทับใจเล็กๆ ที่ทำให้เห็นว่าทั้งคู่เป็นไทป์เดียวกันแต่ต่างที่วัยวุฒิประสบการณ์เท่านั้นครับ

เรื่องยังมี Nick Park (เล่นโดย Liam Woodrum) พระเอกท็อปโมเดลที่มีประสบการณ์มาก่อนมาคอยสอนแนะนำการทำงาน โดยเรื่องราวรักแรกพบนั้นก็ทำให้สถานการณ์ร้ายๆ ทั้งหลายกลายเป็นดีไปได้ ด้วยความเป็นธรรมชาติของทั้งคู่ที่เคมีต้องกันในระหว่างที่รับงานด้วยกัน ซึ่งความรักในเรื่องหวานแบบใสๆ เป็นธรรมชาติมาก และยังหยอดมุกตลกไว้ตลอดเวลาจากบุคลิกของนางเอกที่เป็น Geek ชอบคิดคาดเดาเรื่องไปเองตลอดกับบทสนทนาที่เธอเชี่ยวชาญเรื่องสัตว์โบราณ โดยไม่มีมุกหรือฉากทะลึ่งใดๆ ให้เห็นเลยสักครั้ง (ต่างกับ Never Have I Ever ที่ขยันเล่นมุกแบบนี้บ่อย แม้จะดูใสๆ เหมือนกัน) 

นอกจากนี้แล้วเรื่องยังใส่เรื่องราวครอบครัวที่เป็นอุปสรรคและแรงผลักดันได้อย่างน่าติดตาม เมื่อแม่เลี้ยงของนางเอกที่พยายามขัดขวางการเป็นนางแบบของเธอด้วยความหวังดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะ แต่นางเอกกลับคิดว่าแม่เลี้ยงเกลียดและใจร้ายกับเธอ และบันทึกมันลงไปในสมุดรวมคนที่เกลียดเธอไว้ ต่างกับบทบาทของพ่อที่พยายามสนับสนุนผลักดันลูกไปสู่สิ่งใหม่ๆ เพราะเขาเองก็รู้ว่าลูกมีความผิดปกติทางการเข้าสังคมและพยายามช่วยให้ลูกได้ทดลองทำมัน โดยที่มีเขาคอยช่วยเหลือข้างหลัง ซึ่งเรื่องก็ผลักดันปมนี้ไปสู่ชีวิตใหม่ของครอบครัวที่น่าติดตามไม่แพ้เส้นชีวิตของนางเอกเลย และก็เรื่องก็นำเสนอความสัมพันธ์ของครอบครัวในแบบฟีดกู๊ดมาก

และซีรีส์ก็ไม่ได้พาเรื่องเข้าไปในวงการแฟชั่นเพียงอย่างเดียว แต่มีชีวิตในโรงเรียนค่อนข้างเยอะไปพร้อมกัน โดยนอกจากปัญหาที่เธอถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลาและชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังเธอกลายเป็นนางแบบดังแล้ว เรื่องนำเสนอเพื่อนของเธอ 2 คน Nat Gray (แสดงโดย Rochelle Harrington) นักแสดงที่เล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เธอไม่ใช่ Geek แต่เข้าใจตัวตนของนางเอก เรื่องให้เธอมีความฝันเป็นนางแบบมาตลอด โดยที่แม่ก็ส่งเสริมสนับสนุนหัดเธอให้พร้อมตั้งแต่เด็กๆ ซีรีส์สร้างปมปัญหาให้เกิดขึ้นเมื่อความฝันนี้ไม่เกิดกับเธอแต่เกิดขึ้นกับนางเอก และยังปิดบังเธอที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว แม้พล็อตมันอาจจะดูง่ายๆ แต่เรื่องก็นำเสนอปมนี้อย่างจริงจังในมุมของคนเป็น Geek ที่ยากจะเข้าใจว่าต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้กับเพื่อนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเรื่องก็ผูกปมนี้และคลายปมเข้ากับบุคลิกตัวตนความเป็น Geek ของเธอได้อย่างน่าประทับใจ และยังส่งต่อเรื่องราวของ Nat ให้ไปต่อกับนางเอกในวงการแฟชั่นได้อีกด้วยครับ

ส่วนเพื่อนของเธออีกคนคือ Toby Pilgrim (เล่นโดย Zac Looker) หนุ่ม Geek ผิวดำผมฟูที่ดูเหมือนตัวละครสมทบเล็กๆ แต่บทของเขาช่วงท้ายเรื่องที่คุยกับนางเอกก็คือซีนที่น่าประทับใจที่สุด ด้วยบทสนทนาแบบ Geek คุยกันซึ้งๆ เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเดียวดายในสังคมโรงเรียน ถึงการเปรียบตัวเองเป็นหมีขั้วโลกที่อยู่ผิดที่ เหมือนเกิดมาเป็นคนประหลาดที่หาที่อยู่ให้ตัวเองสงบไม่ได้ หรือแม้แต่การหาพวกเดียวกันก็ยังไม่รู้วิธี แต่ Toby ก็ตอบและมอบความหวังให้นางเอกในแบบหมีขั้วโลกน่ารักๆ จากมุมมองของ Geek ได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งนี่คือซีนที่สะท้อนความเป็น Geek ที่ดีสุดของเรื่องนี้แล้วครับ

สรุป อยากให้มองข้ามหน้าตาและชื่อเรื่องนี้ไปโดยเฉพาะชื่อไทยที่เห่ยมาก ถึงพล็อตเรื่องจะเป็นแนวซินเดอเรลล่าแจ้งเกิดในวงการแฟชั่นที่ดูไม่แปลกใหม่ แต่เรื่องจริงกลับโดดเด่น สนุก ตลก สดใส มีสไตล์ของตัวเองในแบบที่คาดไม่ถึง ด้วยการถ่ายทอดลงลึกถึงประสบการณ์จริงของผู้เขียนเรื่องนี้เองที่เป็นออทิสติกมาตลอดและไม่รู้ตัวเองจนกระทั่งตอนโต โดยเรื่องใช้ความเป็น Geek บังหน้าบุคลิกภาพที่เป็นปมปัญหาของนางเอกส่งต่อให้เธอได้เข้าวงการแฟชั่นตั้งแต่วัยเด็กเหมือนตัวผู้เขียนจริงๆ ทำให้เรื่องลึกเข้าถึงตัวละครในแง่มุมนี้ได้อย่างแท้จริง มีเรื่องรักเป็นแค่ส่วนเสริมแบบใสๆ แต่สะท้อนความรู้สึกรักครั้งแรกของ Geek ออกมาได้ดี  และทุกตัวละครในเรื่องนี้ยังโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีเนื้อเรื่องย่อยที่เล่าไปพร้อมกับเส้นทางชีวิตของนางเอกได้อย่างกลมกลืน นี่เป็นซีรีส์วัยรุ่นม้ามืดที่ดีมากจนไม่อยากให้ใครพลาดเลยครับ (เดี๋ยวไม่ได้ทำต่อจนจบ 6 เล่มตามนิยาย)

 

   

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!