playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Guardians of the Galaxy Vol. 3 ภาคจบที่เพลย์เซฟ+ยัดเยียดดราม่าจนล้นทะลัก (ไม่มีสปอยล์)

Guardians of the Galaxy Vol. 3

Summary

โดยรวมเป็นผลงานปิดฉากของเจมส์กันที่ไม่น่าประทับใจนัก  แม้จะชอบบทสรุปของตัวละครหลายตัวในเรื่อง แต่ตัวหนังขาดความแปลกใหม่  เนื้อเรื่องของร็อกเก็ตยืดยาวยัดเยียดดราม่าจนเกินพอดี ทุกอย่างถูกทำออกมาเพลย์เซฟไปหมด ไม่ต่างอะไรกับ Ant-Man and the Wasp: Quantumania เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตัวร้ายก็มีบทออกมาในรูปแบบเดียวกัน และตัวละคร Adam Warlock ก็มีบทน้อยจนน่าผิดหวัง

 

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • บทสรุปตัวละครออกมาดี
  • เล่าจุดกำเนิดร็อกเก็ต

Cons

  • ขาดความแปลกใหม่
  • ยัดเยียดดราม่ายืดยาวจนเกินไป
  • บอสตัวร้ายไม่เก่ง
  • บท Adam Warlock ออกน้อย

Guardians of the Galaxy Vol. 3 ภาคจบของแก๊งการ์เดียนที่เป็นผลงานสุดท้ายของเจมส์กันทำให้กับมาร์เวล ก่อนจะไปรับตำแหน่งประธาน DC ซึ่งผู้เขียนเองก็คาดหวังว่านี่จะเป็นภาคจบทิ้งทวนที่เจมส์กันน่าจะตั้งใจทำมากที่สุด แต่ผลงานที่ออกมากลายเป็นว่าเต็มไปด้วยความผิดหวัง เหมือนเจมส์กันแค่มารับหน้าที่ทำทิ้งทวนเพื่อส่งไม้ต่อให้มาร์เวลเท่านั้น เรื่องราวทั้งหมดเต็มไปด้วยความซ้ำซาก+เพลย์เซฟแบบถึงที่สุด ตามรอยผลงานอย่าง Ant-Man and the Wasp: Quantumania ไม่มีผิดเพี้ยน
Guardians of the Galaxy Vol. 3 (2023) on IMDb

ADBRO

รีวิว Guardians of the Galaxy Vol. 3 (ไม่มีสปอยล์ส่วนสำคัญ)

เนื้อเรื่องเริ่มจากการมาของ Adam Warlock ที่รับงานมาจับตัวร็อกเก็ตกลับไปหา The High Evolutionary แต่เกิดความผิดพลาดทำให้ร็อกเก็ตบาดเจ็บ และมีคิลสวิทช์ในร่างกาย ไม่สามารถรักษาได้ถ้าไม่หาทางปิดระบบที่ถูกฝังไว้ในตัวก่อน ทำให้ทุกคนในทีมต้องออกไปตามหาต้นกำเนิดของร็อกเก็ต ซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ส่วนนี้หนังแบ่งช่วงเล่าเรื่องเป็นแฟลชแบ็คตั้งแต่จุดกำเนิดแรกของร็อกเกตที่เป็นสัตว์ทดลอง ก่อนกลายมาเป็นอย่างปัจจุบัน โดยเป็นแฟลชแบ็คหลายครั้งตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งยาวมากกินเวลาไปรวมๆ แทบจะครึ่งเรื่องเลย แล้วความยาวนี้ก็ไม่ใช่รายละเอียดลงลึกอะไรมาก แต่เป็นการเล่าเรื่องด้วยฉากดราม่าถึงกลุ่มเพื่อนร็อกเก็ตที่เป็นสัตว์ทดลองด้วยกันล้วนๆ จุดประสงค์ของเจมส์กันก็คือต้องการบิ้วดราม่าน้ำตาแตกให้กับผู้ชมโดยเอาความน่าสงสารของสัตว์ทดลองมาขายแบบยัดเยียดฮาร์ดเซลมาก ซึ่งแม้แต่ผู้ชมที่อ่อนไหวรักสัตว์ก็อาจจะรู้สึกว่ามันจงใจสร้างดราม่ากับสัตว์มากเกินไปทั้งเรื่องเลย

ส่วนของแก๊งการ์เดียนที่พยายามหาทางช่วยร็อกเก็ตก็เต็มไปด้วยเรื่องอีรุงตุงนัง จริงๆ ก็ตามสูตรของการ์เดียนภาค 1-2 นั่นแหละครับ แต่ว่าพอเป็นภาคจบ แล้วนักแสดงก็หมดสัญญาเลิกเล่นในหนังชุดนี้หลายคน เจมส์กันก็เหมือนอยากยัดอยากเคลียร์ทุกอย่างให้หมดๆ ไป จึงพยายามยัดตัวละครเหล่านี้เข้ามาให้มีบทบาทแทรกระหว่างภารกิจช่วยร็อกเก็ต จนทำให้หลายๆ อย่างดูฝืนๆ อย่างความพยายามเรียกร้องความสนใจของปีเตอร์กับกาโมราคนใหม่ ที่ไม่มีความทรงจำของปีเตอร์เหลืออีกแล้ว ซึ่งแรกๆ ก็ดูโอเคดี แต่พอทำซ้ำย้ำๆ หลายครั้งจนเหมือนเป็นการตื้อให้สาวกลับมารับรัก มันก็เลยเป็นบทที่ออกมาน่ารำคาญอยู่ไม่น้อย ในแง่ของคนไม่อินและการพยายามยัดเรื่องตรงนี้มาให้จบแบบลวกๆ ซึ่งความจริงถ้าไม่ใช่ภาคจบก็น่าจะใช้เวลาสานสัมพันธ์ใหม่กันต่อไปในเรื่องอื่นได้อีก แต่นี่คือจบ Zoe Saldana ประกาศชัดก่อนฉายว่าเลิกเล่นบทนี้แล้ว และก็ไม่มีใครมารับบทแทนนี้แทนได้

ส่วนตัวละครที่เหลือก็พยายามแบ่งบทให้ Mantis  Drax Nebula ได้มีบทบาทร่วมกันมากที่สุด เพราะทั้ง 3 คนนี้ก็หมดสัญญาเลิกเล่นแล้วเช่นกัน อย่าง Dave Bautista ประกาศตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเล่นเป็นเรื่องสุดท้ายของมาร์เวลแล้ว เพราะทนการเมคอัพทั้งตัวก่อนเข้าฉากไม่ไหวด้วย ซึ่งเจมส์กันก็พยายามใช้พวกเขาให้คุ้มกับหนังส่งท้ายเรื่องนี้ที่สุด ซึ่งก็ออกมาได้ดีตามสูตรสำเร็จการรวมทีมแบบเดิมกับมุกตลกจากคาแร็กเตอร์หน้าตายของทั้ง 3 คนมาใช้ ซึ่งก็พอให้ขำได้นิดหน่อย แต่ถ้าเป็นแฟนตัวยงมากก็อาจจะขำมากหน่อย (ที่จริงผู้เขียนก็เป็นแฟนเรื่องนี้มากเพราะซื้อบลูเรย์ทั้ง 2 ภาคมาเก็บ ไม่เคยซื้อเรื่องอื่นของมาร์เวลเลย ยังรู้สึกแค่ขำนิดๆ เท่านั้น แต่คนนั่งข้างขำหนักมาก) ส่วนตัวละคร Groot ก็ใช้ประโยชน์จากร่างกายที่เติบโตขึ้น กลายมาเป็นตัวหลักสายบู๊ของเรื่องนี้ไป และนอกจากนั้นหนังยังพยายามเอาตัวละครเก่าจากภาคก่อนๆ กลับมาให้หมด ซึ่งก็รวมถึงตัวละครที่แฟนเรื่องนี้รักมากที่สุดด้วย

ส่วนตัวร้ายของเรื่อง Adam Warlock กับ The High Evolutionary ในส่วนของ Adam กลายเป็นตัวละครที่ปูพื้นไว้นานตั้งแต่จบภาค 2 แต่กลับมีบทในเรื่องนี้น้อยมากจนน่าผิดหวัง เรื่องนี้เขาเป็นเพียงตัวละครที่วางไว้ใช้ในเรื่องต่อๆ ไปของมาร์เวล จึงมีบทบาทแค่ตอนเริ่มเรื่อง แล้วก็โผล่มานิดหน่อย ก่อนมีบทบาทสำคัญทิ้งท้าย ซึ่งผู้ชมที่เป็นแฟนก็คงชอบกับบทบาทนี้ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเซอร์ไพรส์อะไรมากมาย

สำหรับ The High Evolutionary เป็นตัวร้ายที่มาแนวเดียวกับ Kang ใน  Ant-Man and the Wasp: Quantumania ไม่มีผิด คือเป็นตัวร้ายที่เปิดตัวกับเกริ่นนำพลังเหมือนมหาศาลยิ่งใหญ่ น่าเกรงกลัวมาก แต่พอฉากต่อสู้จริงกลายเป็นตัวร้ายง่อยๆ ที่แก๊งการ์เดียนแทบจะกระทืบจมดิน ไม่มีฉากให้ลุ้นเลยสักนิด รวมๆ เป็นตัวร้ายที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างดราม่าให้ร็อกเก็ตล้วนๆ จนไม่เหลือความลึกของบทเลยแม้แต่น้อย

งาน CG ของเรื่องนี้ยังอยู่ในมาตรฐานไม่มีหลุด มีปัญหาอะไรจากที่เห็น แต่ขอติว่าการถ่ายทำด้วยกล้องไอแม็กซ์ นำมาฉายในโรงไอแม็กซ์กลับไม่รู้สึกถึงสเกลภาพขนาดใหญ่ได้เลย แล้วก็เป็นผลงาน 3D ที่ภาพแบนมากทั้งเรื่อง เทียบกับ Avatar ไม่ได้เลยสักนิดแนะนำเลยว่าดูโรงธรมดาได้ก็พอ

ตัวหนังจบแบบแฮปปี้เพลย์เซฟทุกอย่าง จนเหมือนโดนหลอกจากการโปรโมทมาตลอดเหมือนกัน แล้วก็มีเอนด์เครดิตแรกเป็นการรวมทีมใหม่การ์เดียนที่มาร์เวลคงมีบทบาทกำหนดว่าอยากได้แบบนี้ ตัวละครเหล่านี้จึงอายุน้อยและได้ไปต่อยาวๆ แน่ ส่วนเอนด์เครดิตที่สองเป็นการทิ้งท้ายที่อาจจะถูกใจแฟนๆ แต่ผู้เขียนว่าควรจะจบบทบาทของตัวละครนี้ไปเลยจะน่าประทับใจกว่าครับ

โดยรวมเป็นผลงานปิดฉากของเจมส์กันที่ไม่น่าประทับใจนัก  แม้จะชอบบทสรุปของตัวละครหลายตัวในเรื่อง แต่ตัวหนังขาดความแปลกใหม่  เนื้อเรื่องของร็อกเก็ตยืดยาวยัดเยียดดราม่าจนเกินพอดี ทุกอย่างถูกทำออกมาเพลย์เซฟไปหมด ไม่ต่างอะไรกับ Ant-Man and the Wasp: Quantumania เลยแม้แต่น้อยครับ

 

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นในดิสนีย์+ ได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!