รีวิว Guillermo del Toro’s Pinocchio พิน็อกคิโอ แบบเดิมๆ ไม่ได้มีอะไรใหม่

Guillermo del Toro’s Pinocchio (พิน็อกคิโอ: หุ่นน้อยผจญภัย โดยกีเยร์โม เดล โตโร) ผลงานของผู้กำกับดีกรีออสการ์นำนิทานอิตาลีคลาสสิก “พิน็อกคิโอ” มาทำเป็นสต็อปโมชัน ลง Netflix มาติดตามการผจญภัยสุดป่วนของพิน็อกคิโอที่อยากกลายมาเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ กัน

กีเยร์โม เดล โตโร ผู้กำกับดีกรีออสการ์นำนิทานกคลาสสิก “พิน็อกคิโอ” มาแปลงโฉมเป็นแนวมิวสิคัลแบบสต็อปโมชัน ลง Netflix ซึ่งความคาดหวังจากชื่อผู้กำกับก็คงทำให้หลายคนคิดว่างานนี้น่าจะดาร์ค แต่เปล่าเลย นี่ยังเป็นพิน็อกคิโอแบบเดิม ด้วยเรื่องราวแบบเดิม แค่เพิ่มตัวละครโน่นนิดนี่หน่อยเข้ามาทั้งนั้น

เอาว่าใครที่ไม่เคยดูพิน็อกคิโอหรือรู้จักมาก่อนเลยก็คงเพลิดเพลินกับการเล่าเรื่องราวนิทานแฟนตาซีสอนเด็กที่สนุกพอตัวอยู่  หรือเด็กเองก็คงสนุกกับเรื่องนี้แน่ๆ แม้จะมีหลายฉากที่ออกแนวทำร้ายทารุณเด็กพอสมควร แต่สำหรับผู้ชมที่รู้จักหรือเคยดูเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายรอบ หลายเวอร์ชั่น ย่อมคาดหวังการตีความใหม่ความแตกต่าง ซึ่งจริงๆ ตัวผู้กำกับเองก็บอกว่าตีความเล่าเรื่องให้เหมือนเป็นการกำเนิดของตัวละครนี้ใหม่ แต่ผู้เขียนเองแทบมองไม่เห็นเลยว่ามันมีการเล่าเรื่องหรือตีความใหม่อะไรขนาดนั้นจริงๆ ครับ เพราะเส้นเรื่องก็ยังเป็นแบบเดิมคือ คนสร้างพิน็อกคิโอมีลูกชายตายไป เสียใจมากเลยสร้างพิน็อกคิโอขึ้นมา นางฟ้าก็มาใส่ชีวิตให้ พิน็อกคิโอมีชีวิตมาก็เป็นเด็กดื้อ ไม่ฟังพ่อ เวลาโกหกจมูกก็ยาวขึ้น จากนั้นก็ทะเลาะกับพ่อออกไปผจญภัย ถูกคนหลอกไปหาประโยชน์ แล้วสุดท้ายแล้วก็กลับมาเจอกับพ่อ มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ได้ ซึ่งความแตกต่างในเส้นเรื่องนั้นแทบเบาบางมาก มีแค่ตัวละครประกอบใหม่เป็นลิงคณะละครสัตว์ หรือเรื่องเกี่ยวกับสงครามที่ใส่มาสั้นๆ ยกเว้นคุณอาจจะไปฟังพวกนิทานบทย่อเบาๆ อะไรแบบนั้น ตัวเรื่องนี้ก็จะมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ถึงกับฉีกตีความใหม่อะไรอย่างผู้กำกับบอกไว้เลย (ซึ่งจริงๆ พิน็อกคิโอต้นฉบับดาร์คและโหดร้ายมาก ตอนจบก็ไม่ได้ก็สมหวังเป็นคนด้วย)

สิ่งที่เหลือคืองานสต็อปโมชั่นของเรื่องที่ดูดีสวยงาม ลื่นไหลมากจนเหมือนแอนิเมชั่นเลยก็ว่าได้ พ่วงกับการออกแบบตัวละครแฟนตาซีต่างๆ สไตล์ กีเยร์โม เดล โตโร ที่ดูชวนฝันร้ายหน่อย อย่างนางฟ้าในเรื่องก็เหมือนปีศาจมากกว่า 

ส่วนฉากมิวสิคัลของเรื่องจัดว่าน้อยนิด มีจริงๆ ประมาณแค่ 3 ฉาก ตัวเน็ตฟลิกซ์เองแปลและมีพากย์ไทยร้องเพลงสวมทับลงไปด้วย ซึ่งโอเคเลยแม้จะไม่ถึงกับเป็นเพลงที่ไพเราะติดหูอะไรมาก

รวมๆ แล้วก็ถือว่าเป็นงานแฟนตาซีเด็กสวยๆ ที่ดูเพลินได้ แต่ถ้าจะหวังการตีความใหม่ก็คงข้ามไปไม่ต้องดูเลยครับ

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่