รีวิว His Dark Materials HBO เทียบเวอร์ชั่นหนัง วรรณกรรมเยาวชนที่ท้าทายความเชื่อศาสนาคริสต์
His Dark Materials
สรุป
His Dark Materials ในเวอร์ชั่นนี้คุณภาพงานผลิตสูงมาก งาน CG ไร้ที่ติ อาจจะเหนือกว่าเวอร์ชั่นภาพยนตร์ในหลายจุดด้วยซ้ำ มีความกล้าเล่นเรื่องแก่นหลักตามนิยายที่เกี่ยวพันหักล้างศาสนาคริสต์มากกว่า รวมถึงเรื่องราวไปไกลกว่า จบเรื่องราวที่ภาพยนตร์ทำค้างไว้หมด และยังมีส่วนของนิยายภาคต่อมารวมไว้ในซีซั่นแรกนี้ด้วย ถ้าชอบหนังแฟนตาซีฟอร์มยักษ์คือห้ามพลาดครับ
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- CG คุณภาพสูงลื่นไหลไม่มีที่ติหรือขัดตาเลย
- การเดินตามนิยายมีรายละเอียดครบมาก
- เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาไม่โดนตัดออกไป
- มีความรุนแรงแต่ไม่มีให้เห็นตรงๆ ไม่มีเลือด เด็กดูได้
Cons
- เรื่องราวหนักกว่าแนวแฟนตาซีอย่างนาเนียหรือแฮรี่ เด็กอาจจะไม่ได้ดูสนุกเพลินเท่าสองเรื่องนั้น
- นักแสดงไลร่าเวอร์ชั่นนี้ไม่น่ารักเท่าภาพยนตร์
- แม่มดในเวอร์ชั่นนี้มีคนเดียว ไม่ได้มาเป็นกองทัพ (แต่คนเดียวก็ทรงพลังมาก)
His Dark Materials HBO ซีรีส์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์จากชุดนิยายวรรณกรรมเยาวชนชื่อเดียวกันมี 3 เล่ม ของไทยมีฉบับแปลในชื่อ “ธุลีปริศนา” เล่มแรกชื่อตอน “มหันตภัยขั้วโลกเหนือ” ซึ่งซีรีส์นี้ทำตามนิยายแบ่งเป็น 3 ซีซั่นจบเช่นกัน ซีซั่นแรกมี 8 ตอนจบครบหมดแล้ว สามารถดูได้ผ่าน HBO ที่นี่
ตัวอย่าง His Dark Materials HBO
ความเป็นมาของภาพยนตร์ก่อนเป็น His Dark Materials HBO
His Dark Materials ก่อนหน้านี้ได้ทำเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์ชื่อ The Golden Compass (2007) ชื่อไทย “อภินิหารเข็มทิศทองคำ” ช่วงกระแสนาเนียกับแฮรี่พอร์ตเตอร์ดังๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์มากพอจนโดนปิดโปรเจ็กต์ภาคต่อไป (สนใจรับชมดูผ่าน Netflix ได้ที่นี่) และในฉบับภาพยนตร์ยังดัดแปลงเรื่องราวส่วนสำคัญที่เกี่ยวกับศาสนาในนิยายไปมาก จนเหลือแค่การผจญภัยแฟนตาซีล้วนๆ เพียงเท่านั้น และเรื่องราวก็ยังไม่ทำจนจบเล่มแรกดีด้วย (ค้างไว้ภาคต่อ) ซึ่งถ้าทำต่อก็ยังสงสัยว่าจะเดินเรื่องไปทางไหน เพราะในนิยายจะเกี่ยวพันกับศาสนาคริสต์มาก จนเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ท้าทายความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่ถูกพูดถึงกันมากว่าตรงข้ามกับนาเนียโดยสิ้นเชิง (ซึ่งคนเขียนเรื่องนี้ก็ไม่ชอบนาเนียเอามากๆ ด้วย)
การปลุกชีพเรื่องนี้กลับมาจึงเหมือนเป็นการชำระล้างเวอร์ชั่นก่อนให้สำเร็จ ซึ่งการที่ CG ก้าวหน้าและลดต้นทุนลงไปมาก ก็ทำให้ซีรีส์แฟนตาซีของ HBO เรื่องนี้มีคุณภาพสูงมาก เรียกว่าดูดีสูสี CG ของภาพยนตร์ต้นฉบับ (ซึ่งก็ทำดีเช่นกัน) แต่ที่ดีกว่าคือการเพิ่มรายละเอียดต่างๆ ในฉบับภาพยนตร์ที่เล่าไม่หมด หรือไม่ลงลึกถึงรายละเอียดสำคัญหลายอย่าง และไม่กล้าเล่นเรื่องศาสนาหนักๆ แบบในนิยาย ซึ่งในซีรีส์นี้เรียกว่าเก็บกลับมาหมด จนเป็นเวอร์ชั่นที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบที่สุดเมื่อเทียบกับนิยายต้นฉบับครับ แต่ก็ยังมีการย่อลงมาบ้างเพื่อให้กระชับจบใน 8 ตอนของซีซั่นแรก
ซีรีส์นี้เป็นเรื่องราวของโลกแฟนตาซีที่เหมือนเป็นคู่ขนานกับโลกที่เราอยู่อาศัยปกติ โดยมนุษย์ทุกคนจะมีภูติประจำตัวเป็นสัตว์ต่างๆ แทนความเชื่อวิญญาณในโลกปกติของเรา แล้วก็ยังมีเรื่องเล่าตำนาน ศาสนา และสถาณที่สำคัญๆ แบบในโลกปกติ แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ในซีซั่นแรกนี้จะเป็นเรื่องของ “ไลร่า” เด็กหญิงปริศนาที่ถูกนักสำรวจ “ลอร์ดแอสเรียล” นำมาฝากไว้กับอาจารย์ในอ็อกฟอร์ด และเธอถูกแม่มดในโลกนี้ทำนายว่าจะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลก เธอต้องไล่ตามหาเพื่อนที่โดนลักพาตัวไปยังขั้วโลกเหนือ ที่ซึ่งเกี่ยวพันกับศาสนจักรที่ทรงอำนาจมากที่สุดในโลกแห่งนี้ โดยมีเข็มทิศโบราณที่เรียกว่า “อะลิธีโอมิเทอร์” ที่สามารถบอกความจริงทุกอย่างในโลกนี้ได้ เป็นเครื่องมือช่วยเหลือเธอในการผจญภัยครั้งนี้
His Dark Materials ฝุ่นธุลี หรือธุลีปริศนา เป็นปริศนาหลักของนิยายชุดนี้ที่วางไว้ 3 เล่ม ซึ่งในซีรีส์นี้จะเป็นการเล่าถึงโลกแฟนตาซีนี้ให้เราได้รู้จัก ซึ่งต้องบอกว่ามีความแปลกและแตกต่างจากเรื่องราวแฟนตาซีเยาวชนเรื่องอื่นมาก เพราะแม้จะวางพื้นฐานไว้ให้เด็กอ่าน แต่เนื้อหาของเรื่องราวมีความลึกซับซ้อน เกี่ยวพันถึงความเชื่อของศาสนาคริสต์ แต่เป็นไปในแบบที่แตกต่างออกไป และก็เป็นการตั้งคำถามถึงอำนาจของศาสนาที่มีมายาวนานตั้งแต่ในอดีตว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแค่ไหน กับการที่หลายเรื่องเป็นเพียงบันทึกเรื่องเล่าให้คนเชื่อโดยไม่มีหลักฐานจับต้องได้แบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งในฉบับภาพยนตร์ไม่กล้าเล่าตรงจุดนี้นัก แต่ในซีรีส์นี้ถ่ายทอดเรื่องราวหักล้างความเชื่อศาสนาคริสต์อย่างตรงไปตรงมา ด้วยการพลิกให้เป็นนิยายแฟนตาซีต่างโลกแบบโลกคู่ขนาน จึงสามารถเล่าเรื่องศาสนาคริสต์ในแบบที่แตกต่าง และชวนให้คิดได้อย่างน่าสนใจ อย่างเรื่องมนุษย์มีบาปติดตัวมาแต่กำเนิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือ?
ซึ่งในโลกแห่งนี้ศาสนจักรมีอำนาจใหญ่สุดในโลก มีหน่วยทหารอารักขาของตัวเองที่ทรงพลัง และก็ห้ามนักวิชาการวิจัยศึกษาสิ่งที่ดูเป็นภัยค้านกับศาสนา ซึ่ง “อะลิธีโอมิเทอร์” ก็เป็นหนึ่งในของต้องห้ามในโลกนี้เพราะมันบอกความจริงให้แก่ผู้ใช้ได้ และฝุ่นธุลีก็เป็นสิ่งที่ศาสนจักรห้ามวิจัยสำรวจ เพราะความลับอย่างหนึ่งที่เกี่ยวพันกับมันคือประตูสู่โลกอื่น ซึ่งศาสนจักรไม่ต้องการให้ใครรู้เพราะจะบั่นทอนอำนาจของศาสนจักรไปในตัว
จุดแตกต่างของภาพยนตร์กับซีรีส์
ซีรีส์นี้ยังเริ่มเรื่องและเดินตามนิยายตรงกับภาพยนตร์ โดยเริ่มจากไลร่าได้ตามหาโรเจอร์เพื่อนสนิทที่หายไปและก็ได้ “อะลิธีโอมิเทอร์” จากอาจารย์ในอ็อกฟอร์ด ก่อนจะเดินทางไปกับคุณนายโคลเตอร์ และก็เข้าร่วมกับยิปซีเดินทางสู่ขั้วโลกเหนือ และก็ได้พบกับหมีขั้วโลกที่เป็นราชาตกอับ ซึ่งไลร่าจะได้เข้าไปช่วยกู้บัลลังค์ให้เขา และเขาก็ได้ช่วยไลร่ากลับคืนในตอนท้ายเรื่อง แต่ในซีรีส์จะมีต่อไปอีกเป็นการเดินทางไปหา “ลอร์ดแอสเรียล” ซึ่งเป็นบทสรุปสุดท้ายของเรื่องที่จะเฉลยว่าเขาคือใครกันแน่
สปอยล์ความลับของลอร์ดแอสเรียลและแม่ของไลร่า
ในซีรีส์จะเฉลยเรื่องของพ่อแม่ไลร่าตั้งแต่ EP2-3 เลยว่าคือใคร ซึ่งลอร์ดแอสเรียลก็เป็นพ่อของไลร่าที่โกหกตัวเองว่าเป็นลุงมาตลอด แต่ความลับจริงๆ ของเขาคือ ลอร์ดแอสเรียลไม่ได้เป็นคนดีและเป็นตัวร้ายสุดของเรื่องในตอนจบ ส่วนแม่ของไลร่าที่เป็นคุณนายโคลเตอร์เองกลับเป็นแม่ที่ตั้งใจห่วงไลร่าจริงๆ แต่เธอมีปัญหาทางจิต (น่าจะไบโพล่าร์) จากการที่ชื่อเสียงเธอเสียหายไปหลังจากคบชู้กับลอร์ดแอสเรียลจนตั้งท้องไลร่าขึ้นมา ตรงนี้จะถูกอธิบายไว้ใน EP ต้นๆ เลยต่างกับภาพยนตร์ที่มาอธิบายเอาตอนจบบางส่วน
แต่แม้เรื่องราวจะเหมือนกันมาก แต่ในซีรีส์มีความแตกต่างตรงใส่เรื่องศาสนจักรมาเข้มข้นกว่าตั้งแต่แรก โดยเกี่ยวพันกับการห้ามศึกษาการมีอยู่ของฝุ่นธุลีที่ในภาพยนตร์ไม่ได้ลงลึก และมีตัวละครใหม่ Carlo Boreal นักฆ่าของศาสนจักรส่งมาติดตามไลร่า มีภูติประจำตัวเป็นงู และเขายังมาที่โลกปกติของเราได้ผ่านช่องว่างมิติ โดยมาอาศัยอยู่ในโลกนี้สลับกับโลกภูติเพื่อสืบหาความลับบางอย่างที่เชื่อมถึงกัน ซึ่งบทเรื่องราวตรงนี้เพิ่มมาแบบที่ทันสมัย มีการใช้สมาร์ทโฟน แฮ็กเกอร์ และหน่วยงานตำรวจเข้าสืบความลับ แต่ยังไม่มีการอธิบายว่าเขาอยู่ที่โลกนี้มาแค่ไหน ทำไมถึงมีอำนาจในโลกนี้ได้ ซึ่งเขาคนนี้จะมีบทบาทสำคัญเชื่อมต่อไปถึงซีซั่น 2 โดยเกี่ยวพันกับตัวละครใหม่อีกตัวที่ในภาพยนตร์และนิยายเล่มแรกยังไปไม่ถึง ซึ่งซีรีส์ได้จับนำมารวมไว้ในซีซั่นแรกนี้เลย และก็เป็นเรื่องราวคู่ขนานไปกับไลร่าตั้งแต่ EP7 เป็นต้นไป
สปอยล์ตัวละครใหม่ต่อจากนิยายและภาพยนตร์
ตัวละครที่ Carlo Boreal มาตามหาในโลกปกติคือ วิลล์ แพร์รี่ (Will Parry) เป็นตัวเอกในเล่ม 2 ที่ครอบครอง “มีดนิรมิตร” และต้องเดินทางผจญภัยไปกับไลร่าในโลกใหม่ที่ทั้งคู่ไม่รู้จัก ซีรีส์ทำเรื่องราวของวิลขยายจากนิยายช่วงแรกมาไว้หมด ซึ่งก็มีเรื่องของแม่และพ่อลึกลับที่หายไปในคณะสำรวจขั้วโลก แต่ในนิยายจะยังไม่มี Carlo Boreal มาตามล่าเขาเท่านั้น
His Dark Materials HBO ได้นักแสดงมีชื่อลำดับต้นๆ ของยุคนี้มาเล่น โดยไลร่าได้ Dafne Keen จากหนัง Logan ที่เล่นเป็น X-23 มาเล่น ซึ่งดูอาจจะไม่สวยน่ารักเท่าฉบับภาพยนต์ แต่ว่าด้านการแสดงผ่านฉลุย เพราะบทไลร่านี้มีความสามารถแค่ 2 อย่างนอกจากเข็มทิศ “อะลิธีโอมิเทอร์” ก็เป็นความสามารถด้าน “โกหก” ที่ไลร่าขึ้นชื่อมาก ซึ่งความแก่แดดจากบุคลิกปกติของเวอร์ชั่นนี้ก็เหมาะกับนักแสดงดีครับ
ลอร์ดแอสเรียล ก็ได้ James McAvoy ที่คุ้นตากันดีจากโปรเฟสเซอร์ X ใน X-Men: First Class แต่บทอาจจะน้อยเพราะออกมาแค่ EP1 หลักๆ แล้วก็หายยาวไปโผล่เอาตอนจบ ส่วนคุณนายโคลเตอร์ที่เป็นเหมือนตัวร้ายหลักของเรื่องได้ Ruth Wilson นักแสดงสาวชาวอังกฤษที่คนไทยคงไม่คุ้นกันนัก แต่บทบาทของเธอในเรื่องนี้มีมากกว่าบทเดียวกันในฉบับภาพยนตร์ เพราะไม่ใช่แค่บทร้ายด้านเดียวแบบเก่า แต่ในเวอร์ชั่นนี้เราจะได้เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาเป็นแบบนี้ และก็จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงอีกด้านของเธอในตอนจบด้วย (อ่านได้ในสปอยล์ด้านบนสุดอันแรก)
สรุปเรื่องราว His Dark Materials HBO season 1
เรื่องนี้เป็นซีรีส์คุณภาพงานผลิตสูงมาก ในส่วนงาน CG ไร้ที่ติ ส่วนตัวภูติประจำตัวทำออกมาได้เนียนไปกับนักแสดงแบบไม่มีทางจับผิดได้เลย แถมโลกยังกว้างไกลกว่าของเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ซึ่งเปิดมาก็ดูอลังการตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องราวก็เดินตรงตามนิยายมากกว่า ซึ่งต้นฉบับขึ้นชื่อว่ากล้าเล่นเรื่องหักล้างศาสนาคริสต์ก็ยังคงอยู่ และก็ขยายจุดนี้ว่าสำคัญแค่ไหนออกมาให้เห็นชัด แต่แค่เอาเรืองแฟนตาซีมาครอบไว้เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กดูได้ แต่ผู้ใหญ่ก็อาจจะดูสนุกและเข้าใจมากกว่าเด็กด้วย ถือเป็นหนังดูกันทั้งครอบครัวก็ได้ เพราะถ้าดูแบบไม่คิดอะไรก็เป็นเรื่องราวแฟนตาซีเด็กๆ ดี แม้เรื่องราวจะมีการฆ่ากันตาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เห็นตรงๆ ไม่มีเลือดให้เห็น แต่เรื่องราวถือว่าลึกและหนักพอสมควรในส่วนของการพูดถึงศาสนจักรที่มีบทบาทตลอดเรื่องนี้ครับ