รีวิว His Dark Materials SS3 บทสรุปสุดท้ายของแฟนตาซีท้าทายศาสนาคริสต์ (ไม่สปอยล์)
His Dark Materials ss3
Summary
ถือว่าเป็นภาคจบที่ทำออกมาได้ดีในระดับที่น่าพอใจอยู่ แม้ตัวเรื่องจะมีปัญหาเยิ่นเย้อความรักของตัวละครกับความพยายามตีความบอกเล่าท้าทายไบเบิลแบบงงๆ แต่ก็ยังถือว่าเป็นซีรีส์แฟนตาซีที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่ใช่ซีรีส์แฟนตาซีตามสูตรสำเร็จทั่วไปจนอยากให้ทดลองรับชมกันดูครับ
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- โปรดักชั่นงานสร้าง CG อยู่ในขั้นดีมาก
- เรื่องราวแฟนตาซีท้าทายศาสนาคริสต์
- นำตัวละครเก่ากลับมาทั้งหมด
Cons
- ฉากความรักของไลร่ากับวิลเยอะจนดูเยิ่นเย้อ
- บทสนทนาเต็มไปด้วยศัพท์แปลกๆ จนดูงงๆ
- พาร์ทของไลร่าแทบไม่มีฉากแอ็กชั่นเลย
รีวิว His Dark Materials ss3
ซีซั่นจบที่ได้ทุนกลับมาสร้างครบ 8 ตอน หลังจากซีซั่น 2 มีปัญหาการถ่ายทำช่วงโควิดจนต้องลดจำนวนตอนลงเหลือ 7 ตอน ทำให้เนื้อหาดูข้ามๆ จนทำให้ตัวซีรีส์ดูดรอปลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับซีซั่นแรกที่ทำไว้ดีมาก แต่มาในซีซั่นนี้ความรู้สึกว่าตัวเรื่องกระโดดๆ ก็ยังคงมีอยู่ คงเพราะการดัดแปลงจากนิยายต้นฉบับมีความยาก เพราะซีซั่นนี้ความแฟนตาซีของเรื่องถูกผูกมัดแน่นเข้ากับเรื่องราวของศาสนาที่ดัดแปลงมาจากไบเบิลของคริสต์อย่างชัดเจน โดยเป็นการตีความท้าทายศาสนาพระเจ้าใหม่แบบแอนตี้คริสต์ ซึ่งถ้าใครคิดว่าเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีเยาวชนก็คงเข้าใจผิด เพราะตั้งแต่นิยายแล้วที่ตัวเรื่องต้องการท้าทายความเชื่อศาสนาแบบนี้
เนื้อเรื่องเล่าถึงศึกสุดท้ายของพ่อไลร่า ลอร์ดแอสเรียล ผู้ซึ่งเชื่อว่าพระเจ้าคือสิ่งมีชีวิตจอมปลอมที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นผู้สร้าง แล้วก็ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือบงการชีวิตมนุษย์ทุกโลกไม่ต่างกัน ทำให้มนุษย์ขาดความเป็นอิสระในแนวทางชีวิต ทำให้เขาพยายามรวบรวมผู้คนมาทำสงครามกับผู้สร้าง โดยมีไลร่ากับวิล ผู้ครอบครองมีดนิรมิตที่เป็นอาวุธที่ฆ่าผู้สร้างได้ และทั้งคู่เป็นอดัมกับอีฟที่ถูกทำนายโดยแม่มดว่าจะเป็นคนชี้ชะตาศึกสุดท้าย
ตัวเรื่องดำเนินแบบแยกการผจญภัยเป็นฝั่งไลร่าวิลกับลอร์ดแอสเรียล โดยฝั่งไลร่าคือการเดินทางไปยังโลกแห่งความตายกลับไปช่วยโรเจอร์เพื่อนเด็กที่ตายตอนจบซีซั่น 1 และทำให้ตัวละครเก่าๆ ที่ตายไปตั้งแต่ซีซั่น 1-2 ได้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งตัวเรื่องใช้เวลาในส่วนนี้ค่อนข้างมากแทบจะค่อนเรื่องเลย โดยมีประเด็นโลกความตายที่ต้องแยกจากภูตถึงจะเข้าไปได้มาเกี่ยว ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับแพนถูกตัดขาดลงไป และก็เป็นการผจญภัยกับวิลที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มรักกัน ตัวเรื่องของไลร่าค่อนข้างยืดเยื้อกับฉากความรักของทั้งคู่มาก ยิ่งตอน 8 นี่คือทั้งตอนเต็มๆ ใช้เวลาไปกับตรงนี้ ซึ่งเข้าใจว่าผู้สร้างต้องการทำให้เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีที่ตัวละครเติบโตจนมีความรักแบบเรียลๆ สำหรับคนที่จิ้นเรื่องนี้ก็คงไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบอยากดูแฟนตาซีต่อสู้ก็กลายเป็นว่าเนื้อเรื่องของทั้งคู่แทบไม่มีการต่อสู้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งค่อนข้างผิดหวังที่ตัวเรื่องเน้นแค่ดราม่าชีวิตจิตใจของตัวละครล้วนๆ เท่านั้น
แต่ฝั่งลอร์ดแอสเรียลนี่คือศึกการต่อสู้กับผู้สร้างเต็มๆ ตลอดเวลา เรื่องราวโฟกัสไปที่การท้าทายพระเจ้าเพื่อให้เขาปรากฎตัวออกมา ก่อนที่ลอร์ดจะหาทางลากพระเจ้าให้เข้าแผนการที่วางไว้เพื่อกำจัดให้สิ้นไปจากโลก โดยมีตัวละครใหม่ปรากฎ 2 ตัวหลักๆ คือโอกุนเวที่เป็นแม่ทัพฝ่ายมนุษย์จากโลกหนึ่งที่ลอรืดไปเจรจาพามาร่วมรบ แล้วก็ตัวเผ่าแมลงที่เหมือนภูตเล็กๆ บินคอยช่วยสอดแนมและต่อสู้แบบลับๆ ซึ่งสองตัวละคนี้มีบทบาทมากในซีซั่นนี้ ร่วมกับแม่มดที่ยังคงทรงอำนาจอยู่ ตัวเรื่องฝั่งนี้ถือว่าทำได้สนุก มีฉากแอ็กชั่น มีฉากกึ่งไซไฟอย่างเครื่องจักรที่เดินทางตามความคิดของผู้ขับ ซึ่งมีถูกนำมาใช้ตลอดเรื่อง โดยมีแม่ของไลร่ามาร่วมเป็นตัวแปรของศึกนี้ในเรื่องด้วย ซึ่งจะมีช่วงที่กลับไปต่อสู้กับศาสนจักรตัวร้ายพร้อมกับการปรากฎตัวของฑูตสวรรค์ที่รับใช้ผู้สร้างกับแบ่งฝ่ายส่วนน้อยมาช่วยลอร์ดแอสเรียล ทำให้เรื่องราวส่วนนี้ดูมีอะไรมากมายให้คาดไม่ถึง แต่อาจจะมีปัญหาก็ตรงที่ตัวเรื่องค่อนข้างใช้ศัพท์ในบทสนทนาถึงศาสนาแบบใช้ศัพท์เฉพาะขึ้นมาใหม่ค่อนข้างเยอะ ก็อาจจะทำให้ดูแล้วงงๆ กับบทสนทนาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าต้องเข้าใจอะไรมากเพราะตัวเรื่องก็เน้นไปในแนวแอ็กชั่นรบกับพระเจ้าตรงๆ อยู่แล้ว
ตัวเรื่องยังมีพาร์ทสมทบเล็กๆ เป็นเรื่องของ ดร.แมรี่ ที่ปรากฎตัวในซีซั่น 2 ศึกษาเรื่องฝุ่น พาร์ทนี้เป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ของเรื่องที่ไร้ทิศทางแบบงงๆ โดยไม่ไปเกี่ยวกับเส้นเรื่องหลักของซีซั่นเลย แต่เป็นส่วนเติมเต็มเฉลยปริศนาว่าฝุ่นคือะไรมากกว่า ซึ่งคำเฉลยก็เป็นแนวจินตนาการสูงยากที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เหมือนกัน ซึ่งจริงๆ ก็คงเพราะตัวเรื่องพยายามทำลายหลักความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาคริสต์ลง อย่างอีฟ งู บาปของมนุษย์ชาติในไบเบิล แล้วใส่สิ่งใหม่ๆ เข้าไปจนทำให้มันดูแปลกประหลาดเข้าใจยากกว่าเรื่องราวตามปกติที่เรารับรู้กันมา
งานสร้างภาคนี้ถือว่าใหญ่โตอลังการมาก มีหลายโลกที่โผล่มาใหม่ ปราสาทลอยฟ้าของผู้สร้างก็อลังการ หลายอย่างนี่เรียกว่าล้ำเกินจินตนาการไปมากด้วย ซึ่งตัวงาน CG โปรดักชั่นถือว่าออกมาดีมาก สวยจนนึกว่านี่เป็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์เลยก็ว่าได้ (แต่จริงๆ ไม่ใช่ แค่ระดับกลาง)
รวมแล้วก็ถือว่าเป็นภาคจบที่ทำออกมาได้ดีในระดับที่น่าพอใจอยู่ แม้ตัวเรื่องจะมีปัญหาเยิ่นเย้อความรักของตัวละครกับความพยายามตีความบอกเล่าท้าทายไบเบิลแบบงงๆ แต่ก็ยังถือว่าเป็นซีรีส์แฟนตาซีที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่ใช่ซีรีส์แฟนตาซีตามสูตรสำเร็จทั่วไปจนอยากให้ทดลองรับชมกันดูครับ