รีวิว Homecoming ดราม่าทริลเลอร์ที่ค่อยๆ ระทึกกับความทรงจำที่หายไป (ไม่มีสปอยล์)
Homecoming
-
รีวิว SS1 - 7/10
7/10
-
รีวิว SS2 - 8/10
8/10
Summary
ซีรีส์ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการสูญเสียความทรงจำได้อย่างลึกลับชวนติดตามเรื่อยๆ ก่อนค่อยๆ พีคขึ้นๆ ในแต่ละตอนทั้งสองซีซั่นทำมาดีทั้งคู่ แต่ผู้ชมอาจจะต้องอดทนในการดูสักนิดกับการปูเรื่องในซีซั่นแรกเพราะเรื่องเน้นใช้บทสนทนาขับเคลื่อนเรื่องราวเป็นหลัก ร่วมกับภาพนัยยะสิ่งของที่เชื่อมโยงกับเรื่อง (อย่างปลาทองในปก) โดยไม่มีฉากแอ็กชั่นหรือฉากระทึกให้เห็นตรงๆ แต่เป็นความระทึกว่าตัวละครที่สูญเสียความทรงจำกำลังจะไปเจอกับอะไรมากกว่า แต่เวลาในตอนก็สั้นแค่ตอนละ 30 นาทีทำให้ใช้เวลาไม่นาน ส่วนซีซั่น 2 จะไม่มีการปูแล้วเข้าเรื่องหลักทันที ดูสนุกกว่าซีซั่นแรก เป็นการเล่าเรื่องซ้อนทับเคลียร์ปมทั้งหมดจากซีซั่นแรกได้อย่างหมดจรด และจบเรื่องราวที่ลุกลามไปใหญ่โตได้อย่างสวยงามและสะใจมาก ซึ่งถ้าดูจบ 2 ซีซั่นรับรองเลยว่านี่จะเป็นซีรีส์ที่มีดีชวนให้ขบคิดติดหัวเรื่องหนึ่งเลยแน่นอนครับ
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- ดราม่าทริลเลอร์ที่เล่นกับตัวละครสูญเสียความทรงจำเป็นหลัก
- จูเลีย โรเบิร์ดเล่นเป็นตัวเอกในซีซั่นแรก
- ใช้ภาพไวด์สกรีนกับ 4;3 เป็นตัวบอกความทรงจำปัจจุบันกับอดีตได้อย่างเก๋ๆ
- ใช้บทสนทนาเล่าเรื่องให้ระทึกได้
- เรื่องราวเน้นไปที่วงการทหารผ่านศึก
- เวลาต่อตอนสั้นแค่ 30 นาที
- มีซับไทย
Cons
- ซีซั่นแรกเล่ากับปูเรื่องแบบติสๆ มีเอื่อยๆ อาจจะดูไม่น่าติดตาม (แต่ซีซั่น 2 ไม่ติสสนุกเข้าเรื่องทันที)
Homecoming SS1-2 ซีรีส์แนวดราม่าทริลเลอร์ของ Amazon Prime ที่นำเรื่องราวจากพอดแคสต์มาทำเป็นซีรีส์ ได้จูเลีย โรเบิร์ตมานำแสดง เรื่องราวของศูนย์ช่วยเหลือทหารผ่านศึก โฮมคัมมิ่ง ที่ช่วยฟื้นฟูเยียวยาจิตใจให้กลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ แต่กลายมาเป็นเรื่องราวลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน ผ่านตัวละครที่สูญเสียความทรงจำแล้วค่อยๆ ตามหาประกอบความจำที่ขาดหายไปกลับขึ้นมาใหม่
รีวิว Homecoming SS1-2 (ไม่มีสปอยล์)
ซีรีส์นี้มี 2 ซีซั่นจบแบบเชื่อมต่อกัน เป็นเรื่องเล่าที่มีตัวเอกสูญเสียความทรงจำเป็นตัวดำเนินเรื่องแยกกัน ซีซั่นแรกคือตัวละครชื่อไฮดี้ แสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ต ดารามากฝีมือของวงการ โดยเธอเป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารที่ถูกผู้ตรวจสอบจากกลาโหมมาสอบถามถึงงานในอดีตที่เธอทำกับโฮมคัมมิ่งเพื่อช่วยเหลือทหารผ่านศึก แต่กลายเป็นว่าเธอกลับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ตัวเรื่องซีซั่นแรกจะมีความแปลกกว่าซีซั่น 2 หลักๆ คือการเล่นกับสัดส่วนภาพเต็มจอแบบไวด์สกรีน กับภาพ 4:3 มีขอบดำซ้ายขวา ซึ่งภาพทั้งสองแบบนี้เป็นตัวบอกว่าตอนไหนคือปัจจุบันกับอดีต โดยภาพ 4:3 คืออดีต โทนภาพจะดูเก่าลงด้วย ส่วนปัจจุบันคือไวด์สกรีนกับภาพสีสดตามปกติ โดยตัวเรื่องจะเล่าเรื่องอดีตกับปัจจุบันสลับไปมาในแต่ละตอน ก่อนที่ช่วงท้ายเรื่องภาพทั้งสองแบบจะผสานเข้ามาเป็นไวด์สกรีน นั่นก็คือสิ้นสุดการเล่าเรื่องแบบติสๆ นี้แล้ว ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะเป็นอะไรที่แปลกเหมือนหนังอินดี้ชวนงงอยู่พอสมควร แต่ในอีกมุมมันก็เป็นการเล่นกับภาพคู่กับความทรงจำที่เป็นคีย์หลักของเรื่องได้เก๋ดีมาก แต่ในซีซั่น 2 การเล่นกับภาพแบบนี้จะไม่มีอีกแล้ว เรื่องถูกเล่าโดยใช้ภาพไวด์สกรีนทั้งหมด แต่ก็ยังมีช่วงอดีตกับปัจจุบันสลับไปมาเช่นเดิม แต่จะแยกเป็นตอนเลยว่าตอนนี้คือย้อน ตอนนี้คือปัจจุบัน จึงดูง่ายกว่าซีซั่นแรกมาก
ในส่วนของเนื้อเรื่องซีซั่นแรกจะเป็นการค่อยๆ ปูพื้นฐานเรื่องว่า อะไรคือโฮมคัมมิ่ง นางเอกที่เป็นพึ่งจบมหาวิทยาลัยมาไม่นานทำไมถึงกลายมาเป็นผู้ดูแลโครงการ แล้วความทรงจำของเธอหายไปไหนในตอนที่ออกจากโฮมคัมมิ่งมาแล้ว ตัวเรื่องมีความลึกลับซับซ้อนมาก เหมือนจะเดาได้ แต่ก็เดาได้ยากเพราะชั้นเชิงการเล่าเรื่องเป็นแบบใช้อดีตกับปัจจุบันเดินหน้ามาหากัน ผู้ชมต้องปะติดปะต่อเรื่องทั้งจากปัจจุบันกับอดีตมารวมกันถึงจะเข้าใจเรื่องในที่สุด แต่เรื่องก็ไม่ได้ดูแล้วงงปวดหัวอะไร เพราะสุดท้ายปริศนาเกือบทั้งหมดก็ถูกเคลียร์ให้เข้าใจได้ง่ายๆ แต่ว่าตัวเรื่องจะใช้บทสนทนาเป็นการเดินเรื่องหลักแทบทั้งเรื่อง ถ้าใครไม่ชอบแนวดราม่าที่เน้นบทพูดก็อาจจะเกลียดไปเลยก็ได้ แต่ตัวซีรีส์ก็เป็นตอนสั้นๆ 30 นาทีต่อตอนเท่านั้น จึงสามารถดูจบได้ไม่ยากเหมือนกัน และตอนท้ายเรื่องก็ขมวดเรื่องราวได้สนุกมาก ต่างจากช่วงแรกที่ปูเรื่องจนดูยืดมากพอตัวเลย
ในส่วนของซีซั่น 2 เปลี่ยนตัวเอกมาเป็นทหารผ่านศึกหญิงที่ฟื้นมาบนเรือแล้วความทรงจำหายไป ซึ่งตัวเอกของเรื่องซีซั่น 2 จะมีจุดเชื่อมโยงกลับไปซีซั่น 1 ได้อย่างเนียนๆ แล้วก็ใช้ตัวละครบางส่วนทับซ้อนกัน โดยมีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามาอีก และด้วยความที่เรื่องเล่าไปแบบปกติกว่าซีซั่นแรกจึงดูง่ายกว่ามาก และเรื่องก็ไม่เสียเวลาอธิบายว่าโฮมคัมมิ่งคืออะไรอีกแล้ว เป็นแนวทริลเลอร์สืบสวนหาตรงๆ พุ่งเป้าไปยังต้นกำเนิดของเรื่องนี้พร้อมกับปิดฉากเรื่องราวที่เริ่มใหญ่โตลงได้อย่างสวยงาม เป็นการแก้แค้นของตัวละครที่ชวนสะใจมาก
ถือเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องได้อย่างลึกลับชวนติดตามเรื่อยๆ ก่อนค่อยๆ พีคขึ้นๆ ในแต่ละตอนทั้งสองซีซั่นทำมาดีทั้งคู่ แต่ผู้ชมอาจจะต้องอดทนในการดูสักนิดเพราะเรื่องเน้นใช้บทสนทนาขับเคลื่อนเรื่องราวเป็นหลัก โดยไม่มีฉากแอ็กชั่นหรือฉากระทึกให้เห็นตรงๆ แต่เป็นความระทึกว่าตัวละครที่สูญเสียความทรงจำกำลังจะไปเจอกับอะไรมากกว่า ซึ่งถ้าดูจบ 2 ซีซั่นรับรองเลยว่านี่จะเป็นซีรีส์ที่ชวนให้ขบคิดติดหัวเรื่องหนึ่งเลยแน่นอน