รีวิว In the Shadow of the Moon ไล่ล่าฆาตกรย้อนเวลา
In the Shadow of the Moon ย้อนรอยจันทรฆาต
สรุป
พล็อตล้ำแต่ทุนไม่พอสร้างให้ใหญ่โตได้ ดูได้เพลินพอตัว แต่อาจจะไม่ถึงกับว้าวอะไรอย่างที่พล็อตเริ่มต้นวางไว้ กลายเป็นหนังสายดราม่าสำรวจลึกไปยังตัวละครมากกว่าหนังแอ็กชั่นทริลเลอร์อย่างที่ควรจะเป็น
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตเรื่องดี
- วางปมคลายปมสมเหตุผล
- ฆาตกรดูลึกลับน่าสนใจ
Cons
- ฉากแอ็กชั่นน้อยไป
- สเกลหนังเล็กและแคบกว่าเนื้อเรื่องมาก
- เปิดประเด็นตำรวจผิวขาวสังหารคนผิวสีแล้วก็ทิ้งหายไป
In the Shadow of the Moon ย้อนรอยจันทรฆาต (คลิกรับชมผ่าน Netflix ที่นี่) โทมัส ล็อคฮาร์ท ตำรวจนักสืบผู้ต้องมาพบกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่โผล่มาทุก 9 ปี เหยื่อทุกรายมีรอยถูกแทงที่หลังคอ แถมฆาตกรยังรู้จักเขาเป็นอย่างดี และบอกทิ้งไว้ว่า ถ้าฆ่าเธอโลกใบนี้ในอนาคตจะสูญสลายไป!
“ย้อนรอยจันทรฆาต In the Shadow of the Moon“ เป็นหนังไซไฟพล็อตที่พล็อตโดดเด่นเกี่ยวกับเวลาอีกเรื่อง เอาแค่ตัวอย่างที่รู้ว่าฆาตกรมีพลังย้อนเวลาได้ก็ถือว่าได้ก็เป็นไอเดียที่เจ๋งมากแล้ว แต่หนัง Netflix จำนวนมากมักขึ้นต้นด้วยคอนเซ็ปต์ดี แต่พอดูจริงก็กลายเป็นจบไม่ลง เหมือนคิดได้แต่พล็อตเริ่มโดยที่ยังหาฉากจบดีๆ ไม่ได้ ก็เริ่มทำไปก่อนแล้วเพราะเดี๋ยวนายทุนจะไม่ให้ตังทำอะไรแบบนั้น (อันนี้แซว Netflix เล่นนะ) แต่กับเรื่องนี้โดยรวมถือว่าคอนเซ็ปต์เรื่องราวผ่านตั้งแต่ต้นจนจบเลย จนรู้สึกแอบเสียดายที่หนังคงมีทุนทำได้เพียงเท่านี้ ทั้งๆ ที่พล็อตล้ำใหญ่โตพร้อมมีเนื้อเรื่องที่รองรับฉากแอ็กชั่นใหญ่ๆ ได้มากมาย แต่พอทุนไม่มีอะไรก็หดหายตามกันไป จนเป็นเรื่องธรรมชาติของคนดูหนังเน็ตฟลิกซ์ที่ต้องจำใจยอมรับครับ
In the Shadow of the Moon เล่นกับเวลาได้น่าสนใจโดยเริ่มในปี 1988 พระเอกโทมัส ล็อคฮาร์ทตอนนั้นยังเป็นตำรวจสายตรวจธรรมดา ได้มาพบกับคดีฆาตกรรม 3 จุดพร้อมกันในเมืองที่มีลักษณะการตายแบบเดียวกัน และก็ได้พบกับฆาตกรจังๆ ในการไล่ล่าครั้งนั้น เขาได้แมสเซจสุดท้ายจากฆาตกรว่าเดี๋ยวเราได้เจอกันอีก ก่อนที่ฆาตกรที่เป็นสาวผิวสีสวมฮู๊ดสีฟ้าจะโดนรถไฟใต้ดินชนตาย จากการขัดขวางไม่ให้เธอหนีของพระเอก เรื่องดูเหมือนจะจบเพียงแต่นั้น แต่กลายเป็นว่าอีก 9 ปีต่อมาเธอมาปรากฎตัวอีกครั้ง ซึ่งคดีเมื่อ 9 ปีก่อนกลายเป็นจุดชนวนความรุนแรงระหว่างตำรวจผิวขาวกับประชาชนผิวสีขึ้นมา เนื่องจากทางการไม่เคยให้คำอธิบายว่าเธอเป็นใครในครั้งก่อนเลย เรื่องราวจึงค่อยๆ บานปลายใหญ่โตขึ้น และลุกลามไปถึงชีวิตส่วนตัวของพระเอก ที่เริ่มหมกหมุ่นกับการไขคดีนี้จนกลายเป็นเหมือนคนบ้า แม้แต่พี่เขยของเขา (เล่นโดย ไมเคิล ซี. ฮอลล์ พระเอก Dexter) ที่ร่วมสืบคดีมาตั้งแต่ครั้งแรกก็ไม่เชื่อเขาสักนิด
หนังพล็อตใหญ่โตแต่เล่นกับเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในวงจำกัด โดยมุ่งเน้นไปที่ชีวิตส่วนตัวพระเอกที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มากกว่าจะเป็นฉากแอ็กชั่นไล่ล่าระทึก ที่ตอนเปิดเรื่องมาถือว่าทำได้ใหญ่โตดี แต่ทุกช่วง 9 ปีต่อไปคดีจะเล็กลงเรื่อยๆ ซึ่งถ้าดูไม่จบก็อาจจะเพราะแบบนี้ รู้สึกว่าหนังเนือยๆ เหมือนโหมตอนแรกจนทุนหมด แต่ที่จริงหนังมีคำตอบไว้ทั้งหมดที่ปลายทางของเรื่องราว ซึ่งถือว่าเป็นการเขียนบทคุมหนังให้มีสเกลเล็กตามงบไปในตัว แต่ก็กลายเป็นจุดอ่อนใหญ่ของเรื่องที่ช่วงกลางไปจนปลายเรื่องไม่มีความสนุกลุ้นระทึกใหญ่โตเหมือนช่วงแรก ก่อนจะไปเฉลยจบแบบเงียบๆ เรียบๆ ในตอนท้าย ซึ่งแม้จะเป็นเหตุเป็นผลกัน มีหักมุมดราม่าซึ้งนิดๆ แถมมาด้วย แต่ก็ยังไม่น่าประทับใจพอเท่ากับตอนเริ่มเรื่องที่ทำไว้สนุกตื่นเต้นกว่ามาก
ฆาตกรผิวสีสาวคือ หลานของพระเอกเอง ที่ย้อนเวลามาทีละ 9 ปีตามการเกิดของ Super Moon ที่ในหนังใช้เป็นตัวส่งพลังให้เครื่องย้อนเวลากลับมา และเป็นการเดินทางเที่ยวเดียวจนจบที่เกิดเหตุครั้งแรก สาเหตุที่ย้อนเวลามาก็เพื่อจัดการกับคนที่ก่อการร้ายโดยมีแรงจูงใจทางการเมืองในอนาคต จนลุกลามกลายเป็นสงครามใหญ่โต การจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ก็ต้องไล่เก็บจุดเชื่อมต่อที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนแรกที่ก่อการร้ายทั้งหมด นั่นคือเธอต้องเดินทางไล่ฆ่าผู้เกี่ยวข้องในเรื่องราวนี้ตั้งแต่อดีต โดยย้อนเวลาถอยลงไปเรื่อยๆ ทำให้เหยื่อยิ่งมากขึ้นในอดีต เพราะเริ่มจากความคิดเล็กๆ ที่เริ่มก่อตัว ก่อนจะเหลือแค่ผู้ลงมือก่อการร้ายหลักในยุคหลังเท่านั้น
หนังมีฉากแอ็กชั่นไล่ล่าที่สนุกแบบหอมปากหอมคอ ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร งานสร้างโดยรวมถือว่าโอเค แม้จะดูลงทุนน้อยไปนิดกับฉากไซไฟต่างๆ ที่หนังแนวนี้ควรมี แต่ก็เข้าใจได้ ถึงคิดว่าที่จริงถ้าหนังได้ทุนสร้างมากกว่านี้เพื่อทำให้เป็นหนังแอ็กชั่นไล่ล่าดีๆ ก็คงมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ เพราะบทเปิดให้มีเรื่องราวในแต่ละยุคได้มากมาย เนื่องจากพระเอกเตรียมพร้อมรับการมาของฆาตกรทุกๆ 9 ปี แถมยังผูกโยงไปถึงคดีที่เกิดขึ้นจริงบ่อยๆ ในอเมริการะหว่างตำรวจผิวขาวกับคนที่ถูกยิงตายผิวสี ทั้งๆ ที่ไม่มีอาวุธ จนกลายเป็นการประท้วงทางการเมืองใหญ่โต ซึ่งประเด็นนี้ในตอนแรกก็เหมือนจะให้ความสำคัญมาก แต่พอผ่านยุคไปอีก 9 ปีประเด็นเหล่านี้ก็หายไปเฉยๆ จนน่าเสียดายว่าถ้าต่อยอดให้มีผลตามมาเรื่อยๆ น่าจะผูกปมเข้ากับเรื่องเวลาและแรงจูงใจของประเด็นในอนาคตที่โลกล่มสลายได้มากกว่านี้
สรุปโดยรวมถือว่าเป็นหนัง Netflix ที่ดูได้ และก็เพลินอยู่ในระดับพอตัว แต่อาจจะไม่ถึงกับว้าวอะไรอย่างที่พล็อตเริ่มต้นวางไว้ ออกจะเป็นหนังสายดราม่าสำรวจลึกไปยังตัวละครมากกว่าหนังแอ็กชั่นทริลเลอร์อย่างที่ควรจะเป็น ถ้ารู้ก่อนแล้วดูก็คงไม่ผิดหวังอะไรนักครับ
รีวิว ย้อนรอยจันทรฆาต In the Shadow of the Moon
ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นคลิกที่นี่