รีวิวซีรีส์ Into the Night (Netflix) บินสู่ความมืดมิดหนีแสงอาทิตย์ล้างโลก (ไม่สปอยล์)
Into the Night
สรุป
ถือว่าเป็นซีรีส์แนวทริลเลอร์กึ่งไซไฟที่กล้าฉีกแนวทางเดิมๆ ของการเล่นที่จำกัดโดยทั่วไปมาอยู่บนเครื่องบิน หนังมีโปรดักชั่นที่ลงทุนสูงพอตัว ทำหลายๆ อย่างออกมาได้น่าเชื่อ แต่ก็ไม่ได้เผยให้เห็นฉากสเกลใหญ่ของโลกสักเท่าไหร่เลย ทุกอย่างถูกบีบมาอยู่บนเครื่องเป็นส่วนใหญ่ 80% ของเรื่อง ที่อุดมไปด้วยดราม่าปัญหาคนทะเลาะกันบ่อยมากจนแอบเบื่อบ้าง แต่ยังดีที่พวกอุปสรรคทางเทคนิคด้านอื่นๆ น่าติดตาม ลุ้นระทึกสนุกได้จริง แม้เรื่องจะตัดจบแล้วยังไม่เคลียร์อะไรสักเท่าไหร่เลยก็ตามที
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตเรื่องฉีกแนว เดินเรื่องได้น่าติดตาม
- ตอนสั้นแค่ 30 นาทีมี 6 ตอนจบ
- งานโปรดักชั่นเกี่ยวกับเครื่องบินทำได้สมจริง
- ใส่อุปสรรคปัญหาเชิงเทคนิคกับผลกระทบของแสงอาทิตย์มาได้แปลกใหม่หลายอย่างสอดคล้องกันดี
- ตัวละครมีเอกลักษณ์หลากเชื้อชาติจดจำแบ่งแยกได้ง่าย
Cons
- ดราม่าคนทะเลาะกันใส่มาเยอะจนน่ารำคาญตลอดเรื่อง
- นิสัยตัวละครเปลี่ยนกลับไปมาไวจนดูไม่สมเหตุผลนัก
- เรื่องถูกจำกัดไม่ให้เห็นเหตุการณ์ฉากผลกระทบที่เกิดจากโลกในวงกว้างเลย
- เรื่องถูกตัดจบแบบยังไม่เผยอะไรมากเพื่อไปต่อซีซั่น 2
Into the Night อินทู เดอะ ไนท์ ซีรีส์ Netflix จากเบลเยียมขนาดสั้นๆ 6 ตอนจบซีซั่นแรก เรื่องแนวทริลเลอร์กึ่งไซไฟพล็อตแปลกแนววันสิ้นโลกที่มาฉับพลันจากแสงอาทิตย์ หนังโฟกัสไปที่กลุ่มผู้เหลือรอดบนเครื่องบิน ที่ถูกจี้นำขึ้นบินโดยทหารจากนาโตที่ได้ยินข่าวว่าแสงอาทิตย์กำลังไล่ฆ่าคนบนโลก พวกเขาจึงต้องเดินทางร่วมกันเพื่อไปหาจุดหมายปลายทางที่ซ่อนตัวจากแสงอาทิตย์ให้ได้
ตัวอย่าง Into the Night อินทู เดอะ ไนท์
บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาจุดสำคัญของเรื่อง
ต้องถือว่าพล็อตเรื่องนี้น่าสนใจเอามากๆ แม้ว่าหนังวันสิ้นโลกแนวๆ นี้ อย่างเรื่องการโดนแสงอาทิตย์ล้างโลกจะเคยมีมาก่อนแล้ว (ที่จำได้เรื่องหนึ่งคือ Next ของนิโคลาจ เคจ) ซึ่งก็พยายามยกทฤษฎีเปลวสุริยะผิดปกติจนทำให้รังสีจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกรุนแรงกว่าเดิม เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กัน แต่ตัดเรื่องความร้อนเผาไหม้โลกออกไป กลายเป็นมนุษย์โดนรังสีจนทำให้ตายฉับพลัน แม้จะซ่อนตัวในบังเกอร์หลุมหลบภัยใต้ดินก็ยังไม่รอด แล้วที่ไหนจะรอดได้ล่ะ หนังใช้จุดนี้มาเดินเรื่องโดยผ่านเครื่องบินไปยังที่มืดตลอดเวลา นี่จึงคล้ายๆ เป็นหนังแนวสถานที่ปิดไปในตัว แต่ว่าก็มีช่วงเปิดให้ลงพื้นได้เป็นระยะๆ จากข้อจำกัดเรื่องการหาน้ำมันมาเติมให้บินต่อไปได้ ซึ่งเรื่องแทบจะ 80% อยู่ในเครื่องบินตลอดเวลา คนเขียนบทก็เก่งที่พยายามหาเรื่องให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยแบ่งเป็น อุปสรรคทางเทคนิคกับปัญหาจากคนในเครื่องด้วยกันเอง
ในส่วนอุปสรรคทางเทคนิคทั้งจากเครื่องบินและผลกระทบของแสงอาทิตย์ต้องขอชมเลยว่าหนังคิดมาหลายอย่างแปลกใหม่ เริ่มตั้งแต่การบินยังไงให้หนีพ้นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องบนโลกตลอดเวลา อาหารและน้ำที่ไม่ใช่แค่หมด แต่ถูกแปรเปลี่ยนโมเลกุลไปจากรังสีดวงอาทิตย์จนกินไม่ได้ การที่ขาดอินเตอร์เน็ตใช้หรือข้อมูลในโลกไม่อัพเดทเลยจะเกิดผลกระทบยังไง ซึ่งหลายจุดอ้างอิงทฤษฎีวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าเชื่อถือ ตัวเรื่องเดินเรื่องไวตั้งแต่ตอนแรก พร้อมกับก็ใส่ปัญหาใหม่มาแทบทุกตอน และก็เดินทางไปแก้ไขไปทีละจุดได้อย่างน่าติดตาม มีความสมเหตุผลให้เราเชื่อถือได้ว่า ถ้าโลกเป็นแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และจะเอาตัวรอดกันได้ยังไงกับหายนะล้างโลกขนาดนี้
แต่ส่วนอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากคนด้วยกันเองกลับเป็นปัญหา โอเคเราเข้าใจล่ะว่าหนังแนวที่ปิดแบบนี้มันไม่พ้นต้องหาเรื่องดราม่าคนกับคนใส่เข้ามา ซึ่งหนังก็พยายามทำให้ดราม่าหลายอย่างสมเหตุผล และเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องไปในทิศทางที่คู่กับการเอาตัวรอดได้ดี อย่างการหาสถานที่บนโลกที่ปลอดภัย แต่สิ่งที่รับรู้ได้ตอนนั้นคือไม่มีข่าวสารที่แน่นอนอีกต่อไปแล้ว ก็ทำให้คนในกลุ่มต้องแตกคอกันว่าจะเอายังไงกันแน่ แต่อย่างดราม่าพวกนิสัยเสียทะเลาะเบาะแว้งพูดไม่เข้าหูแล้วทำร้ายกัน หรือพวกดราม่าแบ่งแยกคนดีคนไม่ดี พวกนี้ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จที่น่าเบื่อ แถมหนังมักใช้ตัวละครแบบเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย สลับไปมา ซึ่งอาจจะต้องการให้เรื่องดูมีลับลมคมในว่าใครเชื่อได้หรือไม่ได้ แต่ด้วยเวลาต่อตอนที่สั้นเพียง 30 นาทีจำนวน 6 ตอนจบซีซั่น 1 ทำให้การเปลี่ยนนิสัย (หรือสันดาน) ของตัวละครหลายตัวดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องมันไวมากแค่ผ่านไปวันกว่าเองๆ (เรื่องนี้นับเวลายากเพราะมีการบินคร่อมโซนให้มืดตลอดเวลา) แม้จะมีความพยายามให้ทุกตอนเริ่มเรื่องมีฉากแฟลชแบ็คกลับไปเล่าเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนสั้นๆ แต่มันก็ไม่พอที่จะทำให้คนดูเข้าใจบุคลิกนิสัยที่เปลี่ยนไปบนเครื่องได้มากนัก ซึ่งหนังจงใจยัดเข้ามาเยอะมากเพื่อลากเรื่องให้มีอุปสรรคเล่นอะไรกันได้นานๆ แต่ก็กลายเป็นความน่าเบื่อที่ต้องเห็นดราม่าคนทะเลาะกันเป็นตัวเดินเรื่อง แทนที่จะเป็นอุปสรรคจากทางด้านอื่นที่พอเรื่องหยอดมาแต่ละครั้งสนุกกว่ามากมายหลายเท่า
ด้วยความที่เล่นกับที่จำกัด ดาราตัวหลักจึงมีหลายคนมาก หนังก็คัดนักแสดงมาได้ดี มีเอกลักษณ์หลากเชื้อชาติความเชื่อแตกต่างกันชัดเจน แต่แอร์ไทม์ที่ให้เวลาเยอะสุดจะอยู่ที่บทในห้องนักบิน ผ่านอดีตทหารสาว “ซิลวี” ที่รับหน้าที่เป็นนักบินผู้ช่วยกับตันที่โดนยิงที่มือตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง ซึ่งเธอก็ทำได้ดีดูแล้วเป็นตัวละครหลักที่มีความเป็นผู้นำจนกลายเป็นตัวเอกฝ่ายดีอย่างชัดเจน ส่วนฝ่ายร้ายบทก็ตกไปอยู่กับ “แทแรนซิโอ” ทหารนาโตชาวอิตาลีที่บุกมาจี้เครื่องบินในตอนเริ่ม ซึ่งบทก็ให้หมอนี่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสลับไปมา เหมือนต้องการสับขาหลอกคนดู ซึ่งนักแสดงก็หน้าเหมือนโจรจี้เครื่องบินตามสูตรหนังแนวนี้อยู่แล้ว คนดูก็ปักใจเชื่อได้ง่ายๆ ว่าหมอนี่แหละตัวร้ายของเรื่องนี้
ก็ต้องถือว่าเป็นซีรีส์ที่กล้าฉีกแนวทางเดิมๆ ของการเล่นที่จำกัดโดยทั่วไปมาอยู่บนเครื่องบิน หนังมีโปรดักชั่นที่ลงทุนสูงพอตัว ทำหลายๆ อย่างออกมาได้น่าเชื่อ แต่ก็ไม่ได้เผยให้เห็นฉากสเกลใหญ่ของโลกสักเท่าไหร่เลย ทุกอย่างถูกบีบมาอยู่บนเครื่องเป็นส่วนใหญ่ 80% ของเรื่อง ที่อุดมไปด้วยดราม่าปัญหาคนทะเลาะกันบ่อยมากจนแอบเบื่อบ้าง แต่ยังดีที่พวกอุปสรรคทางเทคนิคด้านอื่นๆ น่าติดตาม ลุ้นระทึกสนุกได้จริง แม้เรื่องจะตัดจบแล้วยังไม่เคลียร์อะไรสักเท่าไหร่เลยก็ตามที