รีวิว Inventing Anna แอนนา มายา ลวง เรื่องจริงของสาวนักต้มตุ๋นสุดเว่อร์วังอลังการ (ไม่สปอยล์)
Inventing Anna
สรุป
ลิมิเต็ดซีรีส์ 9 ตอนจบที่เวลาในตอนยาวมาก และเต็มไปด้วยดราม่าจากความตอแหลของตัวเอกตลอดเวลา เรื่องราวดูสนุกทันสมัยไปกับโครงเรื่องจริงของแอนนานักต้มตุ๋นสาวที่เว่อร์วังอลังการที่สุดของยุคนี้ แต่ซีรีส์ก็ไม่ได้ตั้งใจทำออกมาแนวจริงจัง ออกเป็นแนวติดตลกร้ายนิดๆ กับการแสดงโอเว่อร์แอคติ้งของตัวละคร อาจจะดูขัดใจคนที่ไม่ชอบสไตล์นี้อยู่บ้าง
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- สร้างจากโครงเรื่องจริงคดีต้มตุ๋นครั้งใหญ่ของอเมริกาในยุคสมัยปัจจุบัน
- เน้นเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานสกู๊ปข่าวบทความของสื่อ
- เกาะติดปมปัญหาสังคมชายเป็นใหญ่ในโลกธุรกิจ
- สะท้อนวงการสตาร์ทอัพที่เต็มไปด้วยมิจฉาชีพ
- นักแสดงแอนนาเล่นสมบทบาทจนต้องเกลียด
- เน้นแฟชั่นสวยหรูไฮโซกันตลอดเวลา
- มีพากย์ไทย
Cons
- แอนนาโกงกับปลอมเอกสารง่ายแบบไม่มีการอธิบายรายละเอียดจนดูเว่อร์ๆ ไม่น่าเชื่อได้เหมือนกัน (แต่เรื่องจริงแอนนาก็ทำหลายอย่างแบบนั้นจริง)
- ใช้เวลาไปกับชีวิตไฮโซของแอนนากับเพื่อนค่อนข้างเยอะโดยไม่จำเป็น
- การแสดงโอเวอร์แอคติ้งค่อนข้างเยอะ
- เสียงดนตรีประกอบใส่มาดังมากจนกลบเสียงพูดในหลายฉาก
Inventing Anna แอนนา มายา ลวง ลิมิเต็ดซีรีส์ 9 ตอนจบของ Netflix ที่สร้างจากเรื่องจริงของนักต้มตุ๋นสาวที่อ้างโปรไฟล์ว่าตัวเองเป็นทายาทเศรษฐีเว่อร์วังอลังการ เพื่อหลอกนักลงทุนมาสร้างเมกะโปรเจ็กต์ในฝันของเธอจนเกือบสำเร็จ
ตัวอย่าง Inventing Anna แอนนา มายา ลวง
เรื่องย่อ Inventing Anna
วิเวียน เคนท์ นักข่าวสาวท้องใกล้คลอดเกิดสนใจในคดีของสาวน้อยวัย 25 ปี แอนนา เดลวีย์ ผู้ถูกตั้งข้อหาว่าพยายามฉ้อโกงคนในวงการแฟชั่น นายทุน ตลาดหุ้น โรงแรมที่พัก ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนสนิท โดยเธออ้างว่าตัวเองเป็นทายาทเศรษฐีชาวเยอรมันมีมรดกมูลค่าหลายสิบล้านรอโอนกรรมสิทธิ์ให้เธออยู่ และต้องการหาทุนมาทำมูลนิธิศิลปะในชื่อตัวเอง เมื่อทุกคนกล่าวหาว่าเธอเป็นนักต้มตุ๋น แต่วิเวียนกลับสนใจว่าสาวน้อยคนนี้เธอทำได้อย่างไร เธอจึงเกาะติดเจาะลึกหาความจริงในเรื่องนี้จนถึงที่สุด
รีวิว Inventing Anna
ซีรีส์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ “แอนนา เดลวีย์” หรือชื่อจริง “แอนนา โซโรคิน” สาวนักต้มตุ๋นลูกครึ่งเยอรมัน-รัสเซีย วัย 28 ปี แต่ในเรื่องจริงนี้ก็มีการดัดแปลงเติมแต่งรายละเอียดเข้ามามากมาย ซึ่งในตอนต้นเรื่องจะมีตัวบรรยายในรูปแบบต่างๆ ขึ้นชี้แจงไว้แบบตลกๆ ว่าเป็น “เรื่องราวนี้เป็นจริงอย่างที่สุด ยกเว้นส่วนที่แต่งขึ้นทั้งหมด” ซึ่งพอไปอ่านประวัติแล้วทางผู้สร้างนำมาแค่โครงเรื่องหลัก แต่นอกจากนั้นแทบจะเป็นการแต่งเติมขึ้นทั้งหมด โดยที่เพิ่มขึ้นมาชัดเจนคือตัวละคร วิเวียน เคนท์ (รับบทโดย Anna Chlumsky) ที่อ้างอิงมาจาก เจสสิก้า เพรสเลอร์ (Jessica Pressler) ผู้เขียนบทความเรื่องราวของแอนนาตัวจริง ก่อนที่บทความจะดังระเบิดจนกลายมาเป็นซีรีส์ในตอนนี้
ตัวเอกของเรื่องอาจจะเป็นแอนนาก็จริง แต่นางเอกในเรื่องตัวจริงคือวิเวียน เรื่องราวโฟกัสไปที่การทำงานรวบรวมข้อมูลของเธอ ที่พบกับความยากลำบากมากมายตั้งแต่เริ่ม อย่างการที่หัวหน้างานคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญและเธอขัดคำสั่งเขาในการทำงานอื่น ทำให้วิเวียนต้องแอบทำงานนี้ลับๆ กับทีมนักเขียนสูงวัยที่นั่งโต๊ะติดกัน ก่อนเรื่องจะแดงในภายหลังแล้วก็ถูกเส้นตายภายในสองอาทิตย์ให้เขียนบทความเรื่องนี้แบบละเอียด พร้อมทั้งมีการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องให้ชัดเจน ซึ่งเป็นพื้นฐานของงานเขียนข่าวปกติอยู่แล้ว แต่กรณีของวิเวียนมีปมเรื่องรองซ่อนอยู่คือ สถาภาพตอนนี้เธอคือนักเขียนตกอับจากกรณีเขียนข่าวผิดพลาดในอดีตสมัยที่เธอมีชื่อเสียงโด่งดัง แล้วการที่คดีของแอนนาเองลึกลับซับซ้อนสุดๆ อย่างแค่เริ่มต้นว่า แอนนาคือใครกันแน่ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการสัมภาษณ์ นั่นทำให้งานนี้ของเธอเหมือนเจอทางตันตั้งแต่แรก และอาจจะเป็นการจบอนาคตของเธอลงด้วยก็ได้ ซึ่งในแต่ละตอนจะเป็นการตามสัมภาษณ์ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับแอนนาที่เธอสืบค้นเจอเองจากเบาะแสต่างๆ เป็นการเล่าเรื่องตั้งแต่จุดเริ่มต้นของแอนนาในคดีนี้ที่เกิดในแมนแฮตตัน เขตปกครองของนครนิวยอร์ค ว่าแอนนาได้เจอใครมาเรื่อยๆ และมีความสัมพันธ์กันแบบไหนกับแต่ละคน ทั้งอดีตกับปัจจุบันตัดสลับกันไปมา 8 ตอน (ยกเว้นตอน 9 ที่เป็นว่าความในศาลล้วนๆ จะเป็นอีกแนวต่างออกไปเลย) ซึ่งตัวเรื่องเน้นให้รายละเอียดดีเทลไว้เยอะ บวกกับดราม่าการใช้ชีวิตแบบไฮโซของทุกคนที่เกี่ยวกับเธอ จึงทำให้แต่ละตอนของซีรีส์ยาวมากถึงชั่วโมงกว่าแทบทุกตอน บางตอนปาไปเกือบชั่วโมงครึ่ง และคนดูไม่สามารถสคิปข้ามเรื่องราวได้ด้วย เพราะดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องจะถูกจุดไฟไปเป็นดราม่าทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่มีผลกับเรื่องราวต่อไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา นี่จึงเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างยืดเยื้อมาก จนถ้าใครไม่ชอบการเล่าเรื่องแบบนี้แต่แรก ก็อาจจะทนดูต่อจนจบไม่ไหวแน่นอน แต่ถึงจะยาวมากแบบดูจนเหนื่อยก็จริง ก็ยังมีความสนุกไปเรื่องราวดราม่าตอแหลของแอนนาไหลไปได้เรื่อยๆ
แต่ทั้งหมดนั้นคือการบอกเล่าจากฝั่งตัวละครอื่นๆ ส่วนฝั่งแอนนาเองจะเป็นการตัดแทรกมาตรงๆ เพราะในเรื่องแอนนาเองก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการงานเขียนของวิเวียนสักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่ได้เล่าความจริงอะไรให้ฟังเลยก็ว่าได้ แต่ก็มีฉากการพบกันของคู่จากการเข้าเยี่ยมในคุก ซึ่งแอนนาเองก็ติสสุดๆ ทั้งทดสอบกับเรียกร้องอะไรหลายอย่างไปยังวิเวียนจนแทบสติแตกกับสาวโรคจิตคนนี้ แต่นี่คือตัวตนจริงๆ ของเธอที่แอนนาบอกวิเวียนว่าเธอเป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ใช่แบบในหนังซีรีส์ที่มีการพัฒนาตัวละคร ฉันเป็นยังไงก็เป็นแบบนั้น เธอต้องทนฉันให้ได้เป็นพอ ซึ่งบอกเลยว่าผู้ชมคงต้องหงุดหงิดไปกับคาแรกเตอร์โรคจิตนี้แน่ๆ และนี่ก็ไม่ใช่ตัวละครที่ตั้งใจเขียนบทมาให้ผู้ชมมาหลงรักอะไรด้วย แม้ตอนจบอาจจะรู้สึกเข้าใจเธออยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการทำตามแอนนาตัวจริงที่มีนิสัยแบบนี้จริงๆ ซึ่งก็ถือว่าซีรีส์ยังซื่อตรงต่อเรื่องราวจริงส่วนนี้อยู่ แม้จะช่วยทำให้เธอดังขึ้นมาอีกระดับสมใจอย่างที่เธอต้องการ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกหลงไหลไปกับอาชญากรรมที่เธอก่อขึ้น แต่เชื่อว่าก็จะมีบางส่วนชมชอบเธอได้เช่นกัน เพราะความที่เธอจู่โจมไปยังจุดอ่อนของสังคมชายเป็นใหญ่ในโลกทุนนิยมเป็นหลัก ซึ่งเป็นประเด็นที่เรื่องนี้พยายามสื่อถึงการใช้เส้นสายคอนเน็คชั่นระหว่างอภิสิทธิ์ชนกับอำนาจเงินที่มักถูกกำหนดบทบาทไว้ให้ผู้ชายเป็นผู้กุมไว้ส่วนใหญ่ แต่กับแอนนาที่เป็นสาววัย 25 ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรพวกนี้เลย นี่จึงเป็นเหมือนการตีแสกหน้าที่เธอสามารถล่อหลอกพวกเขาเหล่านี้จนเกือบได้เงินมหาศาลมาทำตามฝันเมกะโปรเจ็กต์ของเธอ ซึ่งเธอยืนยันตลอดเวลาว่าเธอไม่ได้หลอกใคร แต่กำลังสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาต่างหาก เธอดื้อด้านเชื่อตามที่ตัวเองคิดจนถึงที่สุดแม้อยู่ในคุกเหมือนสะกดจิตตัวเอง ส่วนผู้ชมจะเชื่อเธอแค่ไหนก็ต้องลองดูกันเอาเองครับ
ในเรื่องนี้ยังมีการสอดแทรกเรื่องการโกงเรื่องอื่นๆ มาประกอบด้วย อย่างกรณีของ FYRE festival ที่เป็นงานเทศกาลดนตรีปาหี่ระดับโลก ก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมห้องแอนนาซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง หรือแฟนหนุ่มของเธอที่หาทุนทำแอปในฝันหลอกเงินนักลงทุนก็ไม่ได้มีตัวตนจริง แต่ถูกผูกเรื่องให้เห็นกลโกงขายฝันผ่านสตาร์ทอัพของยุคนี้ที่มีมิจฉาชีพเข้าไปแฝงตัวมากมายไม่ต่างไปจากแอนนา โดยกลโกงทั้งหมดก็มีแพทเทิร์นเดียวกันคือพยายามสร้างภาพตัวเองให้ดูดีที่สุด เพียงแต่ช่องทางวิธีการหลอกลวงต่างกันไปคนละแบบคนละทางเท่านั้น (ของแอนนานี่เรียกว่าสมจริงสุดๆ กว่าคนอื่นมาก)
นอกจากนี้ซีรีส์ยังเพิ่มปมปัญหาครอบครัวของวิเวียนกับทอดด์ ทนายของเธอเข้ามาด้วย ซึ่งตัววิเวียนเองอยู่ในสถานะใกล้คลอดเต็มแก่ แต่ต้องมานั่งตามสืบค้นทำข่าวลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เธอจึงมีปากเสียงกับสามีอยู่เรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นความสำคัญของงานมากกว่าลูกที่กำลังจะเกิดขึ้นมา ซึ่งซีรีส์พยายามขยายปมตรงนี้เชื่อมไปถึงอดีตที่เธอเคยผิดพลาดครั้งใหญ่ ว่างานนี้จะเป็นใบเบิกทางให้เธอกลับมาสำเร็จให้ลูกดูในอนาคตได้ และการที่เธอท้องแก่แบกภาระหนักก็ทำให้ตัวละครของเธอถูกเห็นใจจากคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ยกเว้นแอนนาคนเดียวที่ยังปากร้ายและไม่เห็นความลำบากใดๆ ตรงนี้เลย แต่ทั้งคู่ก็มีความผูกพันกันลึกๆ จากเรื่องนี้อยู่ด้วย ซึ่งสามีของวิเวียนก็สังเกตุได้ว่าไม่ใช่แค่ภรรยาบ้างานเพื่อชื่อเสียง แต่เป็นการทำเพื่อเด็กสาวต่างชาติคนหนึ่งที่เหลือไม่กี่คนที่ยังยอมช่วยเหลือเธอแม้จะรู้ว่าเธอร้ายกาจแค่ไหนก็ตาม ซึ่งก็รวมถึงทอดด์ด้วยที่ให้เวลากับแอนนามากจนละเลยครอบครัว แทบจะทำให้เขาหย่าร้างกับภรรยาได้เลย แต่เขาก็ยังเลือกให้ความช่วยเหลือกับแอนนาจนถึงที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าซื่อตรงกับเรื่องราวของทนายตัวจริงเช่นกัน เป็นอีกมุมมองที่ทำให้คนนอกได้เข้าใจว่าทำไมทนายดีๆ ถึงยอมไปช่วยคนที่ทั้งสังคมตราหน้าว่าเป็นมิจฉาชีพได้ขนาดนั้น
ซีรีส์ยังให้น้ำหนักกับมิตรภาพของกลุ่มเพื่อนสาวแอนนา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีตัวตนอ้างอิงจริงๆ เริ่มจาก “เนิฟฟ์” สาวผิวดำพนักงานโรงแรมที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทมิตรแท้จนถึงการต่อสู้คดีอย่างไม่น่าเชื่อ เคซีย์โค้ชออกกำลังกายที่แอนนาจ้างมาช่วยจนสนิทกลายมาเป็นก๊วนเดียวกัน และเรเชลพนักงานสื่อวาไรตี้ที่พยายามเกาะเธอเพื่อเติบโต แต่ก็กลายมาเป็นคนที่หลงเชื่อเธออย่างหนักจนเจอแอนนาหักหลังแล้วนำมาสู่คดีความที่เธอถูกจับในที่สุด ซึ่งเคสหลังนี้เป็นประเด็นในการฟ้องร้องของเรื่องราวช่วงท้ายของเรื่องว่าแอนนาผิดจริงหรือไม่กับกรณีใช้บัตรของเธอรูดค่าที่พักโรงแรมไปจนกลายเป็นหนี้กว่า 65,000 ดอลลาร์ ซึ่งกลายมาเป็นดราม่าแตกหักมิตรภาพระหว่างเพื่อนทั้งแก๊งแบ่งเป็น 2 ฝ่าย และทำให้แอนนาดูเป็นตัวร้ายมากที่สุดของเรื่อง เพราะคดีอื่นๆ เกี่ยวข้องกับทางสถาบันการเงินกับโรงแรมในเชิงหนี้สินทั่วไปเท่านั้น
นักแสดงหลักในเรื่องนี้ที่รับบทแอนนาคือ จูเลีย การ์เนอร์ (Julia Garner) โดยก่อนนี้รับบทลูกสาวในซีรีส์โอซาร์ก ของ Netflix ทำให้เธอได้รับรางวัลไพรม์ไทม์เอมมี สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งแคสมาได้เหมาะมีความคล้ายตัวจริงอยู่ แต่สวยกว่าเท่านั้น เธอก็สวมบทบาทนังตัวร้ายโรคจิตได้สมบูรณ์แบบจนคนดูต้องเกลียดเธอแน่นอน แต่ด้วยความที่เรื่องนี้ออกจะติดตลกร้ายนิดๆ การแสดงของเธอก็เลยโอเว่อร์แอคติ้งมากตามไปด้วย ก็อาจจะเป็นอะไรที่ขัดใจคนดูด้วยเช่นกัน
งานโปรดักชั่นเรื่องนี้ด้วยความที่ผู้สร้างคือ Shonda Rhimes ที่มีผลงานล่าสุดอย่าง Bridgerton ของ Netflix อะไรหลายอย่างจึงออกมาดูดีมีสไตล์สุดๆ ซึ่งเรื่องราวนี้ของแอนนาก็เกี่ยวข้องกับวงการชนชั้นสูงไฮโซแฟชั่นล้วนๆ ชุดเสื้อผ้าทุกอย่างที่แอนนากับเพื่อนใส่คือดูดีสุดๆ เหมือนเป็นซีรีส์ขายแฟชั่นกันเต็มๆ รวมถึงความเว่อร์วังอลังการของนางในแบบต่างๆ ด้วย อย่างการพักโรงแรมหรูเว่อร์ๆ หลายที่ รวมถึงมีการยกกองไปถ่ายทำที่เยอรมันด้วยเพื่อตามรอยบ้านเกิดแอนนาในตอน 8 แต่อาจจะไม่ได้มีเนื้อหาอะไรลึกมาก แค่เป็นการคลายปมชีวิตวัยเด็กของแอนนาเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ในตอน 9 จะเป็นการว่าความในศาล ตัวเรื่องจะเน้นไปที่การทำงานทอดด์กับแอนนา ซึ่งมีประเด็นหลักคือการต่อสู้กับข้อกล่าวหาใหญ่ๆ ของเฮดจ์ฟันกับเรเชล ซึ่งฉากในศาลมีประเด็นเรื่องราวใหญ่ที่ดึงมาจากเรื่องจริงคือ การแต่งชุดแฟชั่นของแอนนาต้องสวยเป๊ะเสมอ ซึ่งเธอไม่ยอมใส่ชุดที่ศาลนำมาให้ จนกลายเป็นเรื่องราวดราม่าที่สื่อนำไปขายต่อจนทำให้คนมาสนใจชุดของเธอมากกว่าคดีซะอีก ซึ่งก็เป็นตอนส่งท้ายที่สนุกกับเรื่องราวตรงนี้มากกว่าผลการตัดสินซะอีก เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าแอนนาต้องติดคุกแน่นอนจากประวัติจริงที่ลงเป็นข่าวไว้ และก็เป็นตอนจบซีรีส์เรื่องนี้เลยไม่มีต่อเพราะเป็นลิมิเต็ดซีรีส์จบในตัว
เรื่องนี้มีเสียงพากย์ไทยที่ดีเลย บทสนทนาในเรื่องค่อนข้างแรงในภาษาพูดเหน็บแนมด่าทอกันบ่อยๆ แม้ต้นฉบับอาจจะให้อารมณ์มากกว่า แต่ซับเติลหลายจุดก็แปลออกมาแปลกๆ เพียงแต่คนที่ฟังเสียงไทยอาจจะมีปัญหาดนตรีประกอบกลบเสียงบางช่วงอยู่บ้าง (มีฉากที่ใช้ดนตรีประกอบดังเยอะ)
สรุป Inventing Anna สนุกและดีไหม
ถ้าไม่นับเรื่องดราม่าเยอะแยะจนทำให้กินเวลาไปมากของเรื่องก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ดูสนุกไปเรื่อยๆ ได้เลย แต่อาจจะไม่ถึงกับดีมากเพราะมีส่วนที่ขัดใจแปลกๆ อยู่หลายอย่างเหมือนกัน