รีวิว Joy (Netflix 2024) กำเนิดเด็กหลอดแก้วคนแรกของโลกที่ต้องฝ่าฟันปัญหาสังคมมากมาย
Joy
Summary
หนังสร้างจากเรื่องจริงของการกำเนิดเด็กหลอดแก้วคนแรกในโลก ด้วยประเด็นการเล่าเรื่องปัญหาทางวิทยาศาสตร์ร่วมกับปัญหาสังคมวงกว้างต่อต้านอย่างหนัก จนถึงขั้นวงการวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองก็ไม่เว้น แต่ตัวเอกของเรื่องกลับเป็นพยาบาลหญิงที่กลายมาเป็นตัวหลักของทีมวิจัยที่ต้องแบกรับปัญหานี้ไว้มากกว่าใคร ทั้งประเด็นส่วนตัวและความคาดหวังจากแม่ที่เธอตอบสนองให้ไม่ได้ ซึ่งหนังเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผสมกลมกล่อมทั้งประเด็น วิทยาศาสตร์การแพทย์ ศาสนา สังคม การเมืองและชีวิตรัก รวมเข้ากันได้อย่างดีไปกับช่วงเวลาประวัติศาสตร์ในตอนท้ายที่ Joy เด็กหลอดแก้วคนแรกเกิดขึ้นบนโลกครับ
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- เรื่องจริงของการกำเนิดเด็กหลอดแก้วคนแรกในโลก
- เบื้องหลังของผู้หญิงคนสำคัญในทีมที่ถูกตัดชื่อออกไป
- ประเด็นปัญหาสังคมศาสนากับวิทยาศาสตร์ในยุค 70
- นักแสดงสมบทบาทเหมือนตัวจริงมาก
- มีพากย์ไทย
Cons
- เรื่องเล่าแบบเรียบๆ ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นมาก
Joy ภาพยนตร์ Original Netflix แนวดราม่า สร้างจากเรื่องจริงของกลุ่มนักวิยาศาสตร์ที่ร่วมกันบุกเบิก IVF หรือการทําเด็กหลอดแก้ว ในยุค 60- 70 ที่ทุกคนในทีมต้องร่วมกันฝ่าฟันปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่มีเสียงต่อต้านจากสังคมรุมเร้าโจมตีอย่างหนัก
รีวิว JOY (Netflix 2024)
หนังเรื่องนี้กำกับโดย Ben Taylor ผู้กำกับจาก Sex Education (กำกับ 12 ตอน) ซึ่งก็ดูเหมาะมากเพราะเป็นเรื่องราวที่มีประเด็นเรื่องเพศทางสังคมเหมือนกัน เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่มี Bob Edwards เป็นคนริเริ่มความคิดการปฏิสนธิเด็กนอกร่างกาย เรียกว่า IVF โดยมี Patrick Steptoe หมอสูตินารีสูงวัยที่มีเทคนิคการส่องกล้องในร่างกายมาร่วมด้วย แต่ตัวเอกของเรื่องนี้คือ Jean Purdy เธอเป็นพยาบาลที่มารับหน้าที่ดูแลแล็ปนี้และอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทีม แต่ชื่อของเธอกลับไม่ได้รับการยอมรับ ซึ่งนี่คือเรื่องราวอุปสรรคเบื้องหลังของเธอควบคู่ไปกับขั้นตอนการคิดค้น IVF ครับ
ตัวเรื่องอยู่ในยุค 60-70 ซึ่งการแพทย์เจริญรุดหน้าไปมากแล้วถึงขั้นตัดต่อพันธุกรรมได้ แต่ว่าการทำเด็กหลอดแก้วกลับต่างออกไป หนังนำเสนอปัญหาทั้งทางวิทยาศาสตร์ที่มีประเด็นการทดลองควบคู่ไปกับประเด็นทางสังคมซึ่งดูจะหนักกว่า เพราะนี่ไม่ใช่แค่ผู้คนโจมตีว่าเป็นการกระทำนอกรีต จากยุคที่เคร่งศาสนาคริสต์ แต่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองที่มองไม่เห็นว่าเด็กหลอดแก้วจะมีประโยชน์อะไรมากมายนอกจากช่วยแค่กลุ่มคนมีปัญหาในวงแคบ ในวงการที่นักวิทย์ยังมีแค่เสียงผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งนั่นทำให้การวิจัยนี้มีปัญหาไม่สามารถหาเงินทุนมาได้ จนต้องทำการทดลองด้วยตัวเองมาตลอด ซึ่งหนังนำเสนอภาพของการต่อต้านนี้ผ่านสื่อที่ทีมพยายามต่อสู้ด้วยหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พวกเขาถูกตั้งฉายาว่า แฟรนเกนสไตน์ไปจนถึงหมอนาซีจากสื่อ ซึ่งทำให้คู่รักที่เข้าร่วมโครงการนี้ก็ต้องถูกปกปิดตัวตนตามไปด้วย ซึ่งหนังถ่ายทอดปัญหาเหล่านี้ออกมาได้ดีจนแทบไม่น่าเชื่อว่าประเด็นเรื่องการมีบุตรยากกลับถูกบิดจนกลายเป็นหายนะร้ายต่อโลกขนาดนี้ได้ยังไง ในประเทศอังกฤษที่วิทยาศาสตร์เจริญแล้วด้วยซ้ำ
ในด้านการออกสื่อพูดคุยประเด็นทางวิทยาศาสตร์คือเรื่องราวของบ็อบ นักวิทย์ชายเป็นคนแบกหน้ารับ แต่ในด้านการทำงานกับชีวิตส่วนตัว หนังเลือกเล่าเรื่องของ จีน เพอร์ดี้ มาเป็นเรื่องราวหลัก เพราะเธอคือผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมด้วยอาชีพพยาบาลที่ดีอยู่แล้ว แต่กลับเลือกมาทำงานที่โดนสังคมต่อต้าน จนถึงขั้นแม่ของเธอยื่นคำขาดว่าให้เลือกงานหรือแม่ แต่เธอเลือกงานและถูกแม่ตัดขาดไป ด้วยความที่แม่เป็นคริสต์ที่เคร่งด้วย และก็มองว่าลูกสาวควรมีครอบครัวแต่งงานมีลูกไปตามปกติ แต่หนังก็ซ่อนปมไว้ว่าเธอมีบางอย่างที่ผิดปกติในเรื่องนี้เช่นกัน ตั้งแต่การมีเฟรนด์วิทเบเนฟิต (FWB) ในยุคนั้น ก็คือเป็นได้แค่เพื่อนที่มี SEX หลับนอนด้วยกันแต่ไม่ผูกมัด ซึ่งหนังค่อยๆ ไล่ปมนี้ให้ลึกขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่เพื่อนร่วมทีมก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ จนไปเฉลยในตอนท้ายที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าทำไมเธอถึงทนมาทำงานนี้ได้อย่างไร ในประเด็นที่ผู้หญิงถูกคาดหวังจากสังคมไว้ตั้งแต่เกิดว่าเธอต้องมีลูกได้ โดยที่เรื่องก็ยังทำให้เห็นว่าด้านวิทยาศาสตร์เธอสำคัญยังไงกับความสำเร็จของทีมนี้ จากวิธีที่เธอคิดแก้ไขปัญหาที่ทั้งทีมนี้ยอมแพ้ไปแล้วด้วยเช่นกันครับ
ตัวนักแสดงทั้ง 3 คนเล่นได้อย่างสมบทบาท James Norton ในบทบ็อบนักวิทย์ที่ฉีกกรอบความคิดนักวิทย์ด้วยกันจนไม่มีใครเอาด้วย แต่เขาก็พยายามออกสื่อโน้มน้าวให้สังคมหันมามองงานวิจัยของเขาใหม่ในแง่ที่ดีที่ถูกบิดเบือนจนเสียหาย เขาเหมือนกำลังสนุกตั้งใจกับงานที่ทำด้วยเจตนาที่ดี แต่อีกด้านก็ต้องเสียชีวิตส่วนตัวไปจนหมด Bill Nighy ในบทหมอสูตินารีสูงวัยที่เป็นคนคอยช่วยซัพพอร์ททีมให้ทุกคนไปต่อได้ Thomasin McKenzie ตัวเอกของเรื่องที่ต้องแบกรับปัญหามากสุด เธอมีความสวยเด่น สดใส มีเสน่ห์ด้วยความที่อายุน้อยสุดในทีม แต่ก็ทำให้เห็นว่าเธอมีด้านที่มีปมปัญหาเก็บซ่อนไว้ลึกๆ เสมอ และทั้ง 3 คนนี้มีรูปลักษณ์หน้าตาก็ใกล้เคียงตัวจริงมากจนแทบจะแยกไม่ออกเลยด้วยครับ (เป็นการแคสต์ที่ไร้ที่ติจริงๆ)
สรุป หนังสร้างจากเรื่องจริงของการกำเนิดเด็กหลอดแก้วคนแรกในโลก ด้วยประเด็นการเล่าเรื่องปัญหาทางวิทยาศาสตร์ร่วมกับปัญหาสังคมวงกว้างต่อต้านอย่างหนัก จนถึงขั้นวงการวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองก็ไม่เว้น แต่ตัวเอกของเรื่องกลับเป็นพยาบาลหญิงที่กลายมาเป็นตัวหลักของทีมวิจัยที่ต้องแบกรับปัญหานี้ไว้มากกว่าใคร ทั้งประเด็นส่วนตัวและความคาดหวังจากแม่ที่เธอตอบสนองให้ไม่ได้ ซึ่งหนังเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผสมกลมกล่อมทั้งประเด็น วิทยาศาสตร์การแพทย์ ศาสนา สังคม การเมืองและชีวิตรัก รวมเข้ากันได้อย่างดีไปกับช่วงเวลาประวัติศาสตร์ในตอนท้ายที่ Joy เด็กหลอดแก้วคนแรกเกิดขึ้นบนโลกครับ