รีวิว จอง_อี (JUNG_E) โปรโมทเหมือนแอ็กชั่นจัดเต็ม แต่กลายเป็นบิ้วดราม่าแทบทั้งเรื่อง
Jung_E
Summary
หนังเกาหลีที่โปรโมทตัวเองเหมือนหนังแอ็กชั่นบู๊ระห่ำ แต่ตัวหนังจริงกลับเป็นแนวดราม่าซะแทบทั้งเรื่อง แอ็กชั่นมีแค่ตอนต้นนิดหน่อยกับตอนท้ายแปะห้อยไว้ก่อนจบ นอกนั้นคือวนเวียนกับความพยายามบิ้วดราม่าให้ผู้ชมน้ำตาแตกตามสไตล์เกาหลี แต่กลับส่งอารมณ์นั้นได้ไม่ถึงด้วยบทตัวร้ายนิสัยเพี้ยนๆ บ้าบอจนทำลายส่วนนั้นไปเสียเอง แต่ถึงตัวหนังจะมีปัญหาดราม่าไปไม่ถึง แอ็กชั่นก็หลอกตาเป็นแค่น้ำจิ้ม แต่ตัวเรื่องก็ยังพอดูได้ไม่ถึงกับแย่อะไรมาก และด้วยความยาวแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรกับการทดลองรับชมกันดูครับ
Overall
5.5/10User Review
( vote)Pros
- หนังดราม่าไซไฟสไตล์เกาหลี
- CG อยู่ในขั้นดีพอตัว
- มีพากย์ไทย
Cons
- บทวนเวียนกับดราม่าไม่ไปไหน
- ฉากแอ็กชั่นน้อยมาก
- ตัวร้ายนิสัยเพี้ยนๆ ไม่เข้ากับเรื่อง
- บทนางเอกแทบไม่ได้ใช้ความสามารถอะไรเลย
จอง_อี JUNG_E หนังแอ็กชั่นไซไฟดราม่า Netflix บนโลกที่ย่อยยับในอนาคตอันใกล้ นักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นกลไกสำคัญในการยุติสงครามกลางเมือง ด้วยการโคลนมันสมองของสุดยอดนักรบ… ซึ่งเป็นแม่เธอเอง
รีวิว จอง_อี JUNG_E
หนังเกาหลีที่โปรโมทตัวเองเหมือนหนังแอ็กชั่นบู๊ระห่ำ แต่ตัวหนังจริงกลับเป็นแนวดราม่าซะแทบทั้งเรื่อง จนกลายเป็นเหมือนการโปรโมทหลอกคนดู
ตัวหนังเองสร้างโดยทุน Netflix จากผู้กำกับ ยอน ซังโฮ ที่ได้เครดิตจากหนังเทรนทูปูซาน แล้วผลงานหนังต่อจากนั้นเองก็เริ่มฝีมือตกวูบ (มีมาทำซีรีส์ Hellbound ของเน็ตฟลิกซ์แทรกด้วย) ซึ่งเรื่องนี้ความจริงถ้าโปรโมทไปเลยว่าเป็นแนวดราม่าจัดๆ ไซไฟแค่น้ำจิ้มในเรื่อง ปัญหาอย่างที่ว่าก็คงไม่เกิด เพราะผู้ชมเองก้คงเข้าใจดีว่าเกาหลีชอบแนวดราม่า แต่กับเรื่องนี้จริงๆ คือผู้กำกับก็คงรู้ว่างบไม่ถึงทำแอ็กชั่นไซไฟแบบนั้นได้แต่แรก ตัวบทจึงเน้นไปที่ดราม่าของตัวละครแม่ลูกที่คนเป็นแม่ตายจากไปแล้วถูกถอดความทรงจำมาใส่หุ่นดรอยด์ แล้วลูกเป็นคนทดลองโปรเจ็กต์อาวุธนี้เพื่อหยุดยั้งสงครามใหญ่ในเรื่อง แต่ทั้งเรื่องก็วนเวียนอยู่แต่ในห้องทดลองเล็กๆ ที่บทแทบไม่ไปไหนเลย นอกจากค่อยๆ ทำให้เห็นว่าลูกสาวค่อยๆ มีความรู้สึกผูกพัน จนเริ่มคิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของแม่จริงๆ ของเธอหรือไม่ ระหว่างที่หุ่นดรอยด์ก็ถูกกระทำเหมือนเป็นแค่ของเล่นทดสอบ ซึ่งเป็นบทที่ตั้งใจเน้นเร้าอารมณ์ผู้ชมโดยตรงตามสไตล์เกาหลีเป๊ะๆ
แต่ปัญหาก็คือดราม่าที่ตั้งใจบิ้วกันทั้งเรื่องมันวนเวียนแทบไม่ไปไหน ผนวกกับบทของตัว ผอ.โปรเจ็กต์ (รับบทโดย รีว คยอง-ซู) ที่ออกมาแนวบ้าบอขัดกับอารมณ์ซีเรียสจริงจังที่เรื่องพยายามบิ้ว จนโผล่ออกมาทีไรก็รู้สึกว่าไม่เข้าท่า ไม่ตลก ดูแย่ แม้จะพยายามทำให้ดูโรคจิตเพื่อเป็นตัวร้ายของเรื่องแบบมีความลับของตัวเองซ่อนอยู่ ก็ยังดูไม่เข้ากับโทนเรื่องราวที่ดำเนินอยู่เลย ซึ่งถือว่าผิดพลาดมากที่ความตั้งใจดราม่าบิ้วอารมณ์ให้น้ำตาแตกของผู้กำกับเองต้องมาถูกทำลายด้วยบทของตัวละครนี้ (ที่ผู้กำกับก็เขียนบทเรื่องนี้เองด้วย)
ในส่วนของแอ็กชั่นไซไฟเองก็เป็นน้ำจิ้มมากๆ ของเรื่อง คือโผล่มาแค่ตอนแรกเหมือนโชว์ของหลอกคนดูสั้นๆ จากนั้นก็หายยาววว ไปโผล่อีกทีตอนใกล้จบแปะไว้นิดหน่อย พอให้รู้ว่านี่เป็นหนังแอ็กชั่นไซไฟด้วยนะเออ (แต่ CG ค่อนข้างดูดีเลย) แล้วบทตัวเอกจองอีที่แสดงโดย คิม ฮยอนจู เองก็แทบไมได้ใช้อารมณ์หรือความสามารถทางการแสดงทั้งแอ็กชั่นกับดราม่าเลย เธอเป็นแค่หุ่นที่ติดอยู่กับที่นิ่งๆ ในฉากห้องทดลอง ส่วนฉากแอ็กชั่นตอนหลังก็กลายเป็นหุ่นดรอยด์ที่ใช้ CG ทั้งหมด จนไม่เหลืออารมณ์อะไรให้นักแสดงได้เล่นผ่านสีหน้า ทั้งๆ ที่บทตอนหลังคือการบิ้วส่งอารมณ์แม่ลูกกันแท้ๆ ซึ่งนี่คือส่วนที่ทำให้ซีนดราม่าตอนท้ายไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ถึงตัวหนังจะมีปัญหาดราม่าไปไม่ถึง แอ็กชั่นก็หลอกตาเป็นแค่น้ำจิ้ม แต่ตัวเรื่องก็ยังพอดูได้ไม่ถึงกับแย่อะไรมาก และด้วยความยาวแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรกับการทดลองรับชมกันดูครับ
ปล.นักแสดงที่รับบทลูก คัง ซู ยอน เสียชีวิตหลังถ่ายทำเรื่องนี้จบ