รีวิว KALEIDOSCOPE แนวปล้นที่เล่าเรื่องสลับไปมาให้ดูวุ่นวายแบบไม่เข้าท่า (ไม่สปอยล์)
KALEIDOSCOPE
Summary
เรื่องแนวรวมตัวปล้นพันล้านเหมือนภารกิจระดับมิชชั่นอิมพอสซิเบิลที่พยายามทำให้ดูแปลกใหม่ ด้วยการตั้งชื่อเรื่องให้ดูเก๋ๆ เป็นกล้องสลับลาย แล้วก็เล่าเรื่องสลับไปมามากมายพร้อมกับชื่อตอนเป็นเฉดสีมีอารมณ์เปลี่ยนไป เพื่อหวังผลให้ตัวเรื่องดูเก๋ๆ สอดคล้องกับชื่อเรื่อง แต่ผลลัพธ์มันกลับทำให้เรื่องดูไม่สนุกเท่าไหร่ ขาดๆ เกินๆ เอาจุดพีคตอนปล้นไปไว้ตอนจบ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้ว้าวได้ด้วย ซึ่งถ้าเล่าเรื่องตรงๆ อาจจะสนุกกว่าด้วยซ้ำ เพราะจริงๆ เรื่องก็ไม่ได้แย่ (ครึ่งแรกดูสนุก แต่ครึ่งหลังบทแย่) แต่แค่ผู้กำกับอยากเล่าแบบติสๆ จนเป็นเหตุให้เรื่องดูลำบากเกินจำเป็นครับ
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- แนวปล้นระดับพันล้านกับตู้เซฟความปลอดภัยสูงเหมือนมิชชั่นอิมพอสซิเบิล
- ตัวเอกหัวหน้าทีมมีปมในอดีตไม่ได้ทำเพื่อเงิน
- บอสตัวร้ายทำได้น่าสนใจ
- มีพากย์ไทย
Cons
- เล่าเรื่องสลับไปมาแบบไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่
- มีจุดไม่สมเหตุผลหลายอย่าง
- มีตัวละครที่ดูน่ารำคาญ หัวร้อนแบบโง่ๆ จนน่าหงุดหงิดตลอดเรื่อง
- ฉากปล้นไม่ได้มีอะไรให้ว้าวเท่ากับตอนวางแผนที่ปูมาตลอดเรื่อง
KALEIDOSCOPE คาไลโดสโคป ส่องกล้องปล้น ลิมิเต็ดซีรีส์ Netflix 8 ตอนจบ ของอเมริกา เรื่องราวของกลุ่มโจรที่วางแผนปล้นพันธบัตร 7 พันล้านจากบริษัทตู้เซฟความปลอดภัยสูงสุดในโลก โดยมีเบื้องหลังเพื่อการแก้แค้นมากกว่าเงิน
รีวิว KALEIDOSCOPE ส่องกล้องปล้น Netflix (ไม่สปอยล์)
หลังจากทรชนปล้นโลกโด่งดัง เน็ตฟลิกซ์ก็พยายามเข็นซีรีส์แนวปล้นมาติดๆ กันหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นความพยายามอีกครั้ง แต่มาในแบบลิมิเต็ดซีรีส์ที่ว่าด้วยเรื่องราวโจรที่หวังปล้นทีเดียวรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีจากแก๊งโจรมาเฟียที่ฝากพันธบัตร 7 พันล้านไว้กับอดีตโจรที่หันมาสร้างธุรกิจตู้เซฟความปลอดภัยสูง โดยมีความแค้นของหัวหน้าแก๊งโจรอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับเรื่องราวการทรยศหักหลังตามสูตรสำเร็จทั่วไป
ซีรีส์ตั้งชื่อเรื่องแปลกๆ กล้องสลับลาย หรือคาไลโดสโคป ที่สะท้อนวัตถุในนั้นเป็นมุมต่อๆ กัน ซึ่งจริงๆ ชื่อเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าผู้สร้างต้องการเล่าเรื่องแบบสลับไปมา โดยไม่เรียงไทม์ไลน์เลย จึงคิดเอาชื่อกล้องนี้มาเล่นให้เข้ากับการลำดับเล่าเรื่องนี้เท่านั้น ซึ่งการเล่าเรื่องไม่เป็นไปตามลำดับนั้นไม่ได้แปลกอะไรเพราะก็มีหลายเรื่องนำมาใช้อยู่บ่อยๆ แต่กับเรื่องนี้คือจงใจสลับไปมาให้ดูวุ่นวายแบบงงๆ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นนั้นยังเข้าใจได้ว่าเป็นการเล่าแบบแฟลชแบ็ค >แต่พอต่อมากลับเล่าอนาคตใกล้วันปล้น แต่ก็ไม่ถึงการปล้น > แล้วตอนต่อมาก็ย้อนไปไกลกว่าวันใกล้ๆ > ก่อนตัดมาที่การเล่าตัวละครเดี่ยวเป็นคนของโจร > ของ FBI ที่ตามสืบแยกต่างหาก >แล้วก็กลับไปเล่าหลังปล้นจบไปเลย > แล้วก็เล่าจุดจบของตัวละครทั้งหมด > ก่อนจะกลับมาเล่าช่วงปล้นว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนท้ายอีกที ซึ่งมองเผินๆ มันก็ดูเหมือนทำให้เรื่องดูเก๋มีสไตล์ แต่ในความเป็นจริงกลับทำให้น่าหงุดหงิดรำคาญมาก เพราะแนวนี้จริงๆ คนดูต้องการดูช่วงปล้นแบบมิสชั่นอิมพอสซิเบิลว่าจะทำภารกิจผ่านได้ยังไงมากกว่า แต่ตัวเรื่องกลับไปโฟกัสที่จุดอื่นไปทั่วก่อนที่จะเก็บเอาช่วงปล้นไว้ตอนจบ และก็ไม่ได้มีฉากปล้นที่ชวนว้าวอะไรมากเท่ากับตอนวางแผนด้วยด้วย ซึ่งมันไม่เวิร์คเลยจริงๆ แม้จะมาเพื่อช่วยให้เราเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น แต่เรากลับได้รู้จุดจบของตัวละครทั้งหมดแล้วมันเลยไร้ซึ่งความพีคแบบที่แนวนี้ควรจะเป็นไปโดยปริยาย
เนื้อเรื่องพยายามทำให้เห็นว่าแก๊งนี้มีตัวละครเก่งๆ ฉลาดมารวมตัวกัน แต่เรื่องกลับไม่ค่อยสมเหตุผลหลายอย่างตั้งแต่การนัดพบพูดคุยกันกลางร้านอาหารพลุกพล่าน การพบเจอกันบ่อยๆ ในที่สาธารณะ โดยไม่สนใจกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ ซึ่งการวางแผนปล้นเงินขนาดนี้ แล้วยังมีตัวร้ายที่มีอิทธิพลมากขนาดนั้น ทำให้เรื่องมีช่องโหว่แบบคนดูคงไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าแก๊งนี้ฉลาดแบบที่พยายามทำให้เห็นจริงๆ
นอกจากนี้ตัวเรื่องยังพยายามสร้างตัวละครโง่แบบน่ารำคาญขึ้นมาประจำแก๊งให้เรื่องดูปั่นปวนแบบไม่เข้าท่า คือเราเข้าใจว่าบทพยายามวางให้มีการทรยศหักหลัง ก็เลยต้องใส่ตัวละครแบบนี้มา ให้มีปัญหากับภารกิจ แต่มันกลับลดความน่าเชื่อถือลงมากกว่า ว่าจำเป็นไหมที่ต้องมาใช้คนแบบนี้ร่วมแก๊งที่หวังปล้นระดับโลกแบบนี้ แต่กลับใช้ตัวละครที่ดูก็รู้เลยว่าเตรียมทรยศยัดใส่ไว้ในเรื่องแบบนี้
ที่แปลกๆ อีกอย่างคือครึ่งแรกของเรื่องทำออกมาแนวเข้มข้นค่อนข้างซีเรียส แม้จะมีจุดให้ดูตลกผ่อนคลายนิดๆ อยู่บ้าง แต่พอครึ่งหลังตัวเรื่องกลับพยายามทำอะไรตลกๆ หลายอย่างแบบตั้งใจให้เป็นมุกขำๆ เลย โดยเฉพาะตอน 7 ที่เป็นบทรวมจุดจบของแก๊งโจร กลับทำออกมาแนวตลกๆ ไม่ค่อยผสมเหตุผลทั้งเรื่อง เหมือนกับว่าผู้กำกับต้องการให้โทนเรื่องเปลี่ยนไปตามชื่อตอนที่เป็นสีชมพู จากกล้องสลับสลายที่มีหลายสี ก็เลยต้องพยายามฉีกให้เรื่องมาเป็นตลก แต่มันไม่เข้าท่าเลยจริงๆ แถมคนดูทั่วไปก็ไม่น่าเก็ทด้วยว่านี่เป็นไอเดียทำให้คล้องกับชื่อเรื่องชื่อตอนที่ว่า
แต่ทั้งนี้ยังดีที่ตัวเนื้อเรื่องจริงๆ ก็ยังมีดีตรงมีพล็อตลำดับความแค้นของตัวเอกหัวหน้ากลุ่มโจรที่มีปมในอดีตกับบอสตัวร้ายเจ้าของธุรกิจตู้เซฟ ซึ่งตัวเรื่องค่อยๆ สลับมาเล่าเป็นตอนๆ ว่าเรื่องราวในอดีตสองคนนี้ไปทำอะไรกันมา โดยมีลูกสาวของตัวเอกมาเกี่ยวข้องตั้งแต่เด็กจนโต และก็ทำให้เกิดดราม่าผูกโยงกันไปว่าสุดท้ายแล้วใครคือคนผิดในเหตุการณ์ ซึ่งจะไปโยงถึงตอนสุดท้ายของเรื่องเฉลยว่าใครคือคนทรยศที่แท้จริงของเรื่องนี้กันแน่ ซึ่งนี่เป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมยังสามารถทนดูอยากรู้เฉลยได้อยู่บ้าง
สุดท้ายนี่เลยกลายเป็นงานที่พยายามทำแนวปล้นให้ดูแปลกใหม่ แต่ผลลัพธ์มันกลับทำให้เรื่องดูไม่สนุก ขาดๆ เกินๆ ถ้าเล่าตรงๆ อาจจะสนุกกว่าด้วยซ้ำ เพราะจริงๆ เรื่องก็ไม่ได้แย่ แต่แค่ผู้กำกับอยากเล่าแบบติสๆ จนเป็นเหตุนั่นแหละครับ