รีวิว Kissing Game ซีรีส์แนวทริลเลอร์โรคระบาดวัยรุ่นที่เนื้อหายำเละเทะป่นปี้เอามากๆ
Kissing Game
สรุป
นี่เป็นซีรีส์ที่พยายามอย่างมากที่จะเป็นทุกอย่างตามสูตรหนังซีรีส์วัยรุ่นของ Netflix จนเกินพอดีไปมากๆ และก็แทบจะไม่ได้เล่นเรื่องโรคประหลาดอย่างจริงจังอะไรอีกด้วย หลายๆ อย่างดูไม่สมเหตุผลจนถึงขั้นตลกกับความคิดของผู้สร้างเรื่องนี้เลยว่าทำออกมาได้ยังไงกันครับ (อาจจะถือว่าเป็นหนังคัลท์อย่างไม่ตั้งใจเลยก็ว่าได้)
Overall
2/10User Review
( vote)Pros
- โรคระบาดแบบใหม่ที่ตัวเรื่องพยายามทำให้ดูแปลกพิสดาร
Cons
- การยัดอะไรไม่รู้เยอะแยะเข้ามามากมายในเรื่องจนเกินไปมากๆ
- ตัวเรื่องขาดเหตุผลรองรับแบบที่ควรจะเป็นกับหนังโรคระบาดทุกจุด
- เฉลยปมที่มาของโรคที่แบบโยงมั่วซั่วแค่กะให้ดูฉีกแนว
- แสงสีเรืองแสงที่ยัดเข้ามาแทบทั้งเรื่องจนดูมั่ว
- ตัดฉากใส่ภาพหน้าจอมือถือโซเชียลแทรกเข้ามาแบบแย่ๆ
Kissing Game ปากต่อปาก ซีรีส์ 6 ตอนจบจากบราซิล เรื่องราวของโรคระบาดที่เกิดในหมู่วัยรุ่นในเมืองชนบท ที่มีต้นตอการติดเชื้อมาจากการจูบ
ตัวอย่าง Kissing Game
บทความมีสปอยล์เนื้อหาอยู่ด้านล่างสุดของงาน
ซีรีส์ที่พยายามขายความแปลกแหวกแนวที่อาจจะได้ไอเดียมาจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในตอนนี้อยู่บ้าง เพราะเรื่องพยายามดำเนินไปในทำนองของการติดเชื้อจากโรคประหลาดชนิดใหม่ และผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ก็ถูกรังเกียจ เข้าสังคมไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องไปลงเอยอยู่ในสถาณกักกันโรคของโรงพยาบาล ทรมานจากการใช้ชีวิตโดดเดี่ยว เหมือนผู้ป่วยโควิดที่ต้องโดนกักตัวในตอนนี้
ตัวเรื่องเปิดมาก็เข้าเรื่องโรคนี้ตั้งแต่แรกว่ามาจากการที่เหล่านักเรียนไปมั่วสุมปาร์ตี้ในป่า และก็เมาเละเทะแลกจูบกันอย่างดูดดื่มทั้งงาน พอกลับมาก็มีคนเริ่มเป็นโรคประหลาดที่เกิดรอยดำที่ปาก พร้อมกับเส้นประสาทเรืองแสงในที่มืด ก่อนที่จะค่อยๆ หลอนจนไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป และจบลงด้วยอาการเปลือกตากลายเป็นสีขาวขุ่นปิดกั้นการมองเห็นแทบทั้งหมด
ต้องบอกว่าตัวพล็อตเรื่องดูมีความแปลกแหวกแนวน่าสนใจอยู่บ้าง ถ้าเน้นไปที่โรคระบาดนี้ตรงๆ แต่ตัวเรื่องกลับพยายามยำใหญ่ทุกอย่างเข้ามาในเรื่องจนเละเทะ และก็ไม่ใช่การยำแบบแปลกใหม่ด้วย แต่เป็นการยำทุกอย่างตามสูตรแนวซีรีส์วัยรุ่นของ Netflix ชอบทำกัน อย่างเช่นเรื่อง LGTB เลสเบี้ยน เกย์ SEX ยาเสพติด ปัญหาพ่อแม่ไม่รัก ปัญหาความรักวัยรุ่น การบูลลี่ในโรงเรียน ซึ่งแต่ละอย่างที่ยัดใส่มาก็มีความพยายามปรับให้มันไปกันได้กับตัวเรื่องโรคระบาดแบบถูลู่ถูกังบทจะให้มันไปกันให้ได้ อย่างเรื่อง การจูบไม่ได้หลังเป็นโรคจนต้องมีถุงยางปากใส่กันไว้ ซึ่งมันดูตลกมากกับไอเดียตรงนี้ (ดูภาพประกอบด้านล่าง) แล้วก็ยังใส่ปัญหาเด็กเป็นเกย์กับความรักต้องห้ามกับผู้ใหญ่เข้ามาแบบจริงจังมากๆ ขนาดมีฉาก SEX หรือใกล้เคียง SEX อย่างการบดไข่หรือช่วยตัวเองอยู่หลายครั้ง หรืออย่างการบูลลี่คนที่ต้องสงสัยว่าป่วยในแบบฝืนๆ ไม่สมเหตุผล แทนที่จะพาเพื่อนไปหาหมอรักษา กลับมาบูลลี่กัน แถมยังมีความพยายามโยงใยหาที่มาว่าโรคว่ามาจากยาเสพติดชนิดใหม่ที่มาจากกลุ่มลัทธิประหลาดในป่า จนพาเตลิดไปถึงเรื่องปัญหาวัยรุ่นหนีออกจากบ้านเพราะขัดแย้งกับพ่อแม่
แทบทุกอย่างในเรื่องที่ยัดมาล้วนแล้วแต่เป็นตัวพาให้เรื่องออกนอกจุดที่คนดูสนใจเรื่องโรคระบาดทั้งสิ้น และตัวเนื้อหาของโรคระบาดที่ใส่มาก็ไม่ได้เยอะ แค่มีเป็นระยะๆ แล้วก็ไม่ได้มีจุดขายอะไรแปลกใหม่ หรือความสมเหตุผลของเหตการณ์ที่เกิดในเมืองแห่งนี้ อย่างมีคลิปคนเป็นโรคนี้ผ่านโซเชียล แต่ก็ไม่มีหน่วยงานไหนหรือสำนักข่าวที่ไหนจะมาสนใจอะไรเลย ซึ่งความสมเหตุผลในเรื่องนี้ต่ำมากจนถึงมากที่สุด แม้จะพยายามสร้างวิธีรักษา หรือที่มาของโรคระบาดให้ดูเว่อร์ในภายหลัง (อ่านจากสปอยล์ด้านล่างสุดได้ครับ) จนทำให้ตัวเรื่องมีแต่ความน่าเบื่อที่เส้นเรื่องหลักก็ทำไม่ได้ดี ตัวเรื่องรองทั้งหลายที่ยัดมายังช่วยพาให้เรื่องหมดความน่าสนใจเข้าไปอีก
ความแย่ของตัวเรื่องว่าเยอะมากแล้ว แต่ที่ซ้ำเติมให้เรื่องดูแย่หนักเข้าไปอีกคือ การพยายามเล่นสีสะท้อนแสงแบบจัดจ้านใส่เข้ามาเยอะแยะไปหมดในเรื่อง เพียงแค่ต้องการให้ดูสอดคล้องกับอาการของโรคประหลาดที่ตัวผู้ป่วยจะมีแสงเรืองรองออกมาจากเส้นเลือดในร่างกายได้ ซึ่งเรื่องพยายามยัดไอ้แสงเรืองๆ นี้เข้ามาทุกโอกาสที่ทำได้ ทำให้ตัวเรื่องดูเยอะไปจนกลายเป็นเหมือนหนังคัลท์อย่างไม่ตั้งใจ และก็ออกมารบกวนคนดูอย่างน่ารำคาญเอามากๆ ยิ่งรวมกับการพยายามตัดแบ่งใช้หน้าจอมือถือให้เห็นเป็นโซเชียลมีเดียจนเกร่อ เพียงแค่ให้ดูเป็นซีรีส์วัยรุ่นเก๋ๆ แบบไม่เข้าท่าเข้าไปอีก
สปอยล์ที่มาของโรคประหลาดที่ชวนอึ้งจากการยำมั่วเข้าไปอีก!
ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่