รีวิว Leave The World Behind หายนะโลกทางไซเบอร์ในสเกลเล็กที่น่าผิดหวังในตอนจบ
Leave The World Behind
Summary
โดยรวมนี่เป็นหนังที่ใช้พลังของดารานักแสดงมาดึงผู้ชมไว้ ผ่านบทสนทนาของตัวละคร 2 ครอบครัวที่แตกต่างและไม่ไว้ใจกัน ภายใต้เหตุการณ์ที่เหมือนวันหายนะโลกในรูปแบบทางไซเบอร์ตัดการสื่อสารทั้งหมด มีฉากหายนะสั้นๆ ขนาดสเกลเล็กๆ ประกอบเรื่องเท่านั้น ซึ่งหนังทำสำเร็จตรงให้อารมณ์เรียบๆ ในเรื่องราวที่แอบน่าเบื่อ แต่ก็กดดันเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างดี และก็ไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านการใบ้มาตลอดเรื่องได้ลงตัว เพียงแต่ฉากจบสุดท้ายผู้สร้างตั้งใจกระชากอารมณ์ผู้ชมให้เป็นแนวตลกร้ายตามชื่อเรื่องจนน่าผิดหวังเท่านั้นครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- หนังหายนะโลกทางไซเบอร์ผ่านมุมมองครอบครัวเล็กๆ
- รวมนักแสดงชื่อดัง
- อารมณ์กดดันของตัวละครที่ไม่ไว้ใจกัน
- ให้คำตอบของเหตุการณ์ได้ดี
- มีพากย์ไทย
Cons
- เรื่องเล่าผ่านบทสนทนาเรียบๆ จนดูน่าเบื่อ
- ฉากจบสุดท้ายเป็นตลกร้ายที่น่าผิดหวัง
Leave The World Behind ภาพยนตร์ Original Netflix เรื่องราวของทริปครอบครัวในวันหยุดพักผ่อนแสนสงบกลายเป็นเหมือนวันหายนะของโลก การสื่อสารในโลกถูกตัดขาดทั้งหมด ไม่มีข้อมูลใดๆ มาให้พวกเขารับรู้ นอกจากชายผิวดำที่มาเคาะประตูบ้านและเหมือนจะซ่อนความลับนี้ไว้กับตัว
Leave The World Behind รีวิว ไม่สปอยล์
หนังจากนิยายของอเมริกาปี 2020 ของ Rumaan Alam สร้างโดย Sam Esmail ผู้สร้างซีรีส์ Mr.Robot นำแสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์, มาเฮอร์ชาลา อาลี, อีธาน ฮอว์ค,และเควิน เบคอน ซึ่งทั้งผู้กำกับและการรวมดาราชื่อดังมาทำให้เรื่องนี้ดูเหมือนหนังฟอร์มใหญ่ในเรื่องราวโลกหายนะ แต่ความจริงแล้วแทบจะตรงข้ามกัน เพราะนี่เป็นหนังที่เล่าเรื่องในมุมเล็กๆ ของครอบครัวธรรมดาที่มาพักผ่อนและกำลังเจอกับหายนะที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเท่านั้น
ถ้าคุณคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะมีฉากหายนะใหญ่โตพร้อมฉากทำลายล้างมากมายก็บอกเลยว่าผิดหวังแน่ๆ เพราะนี่คือหนังฟอร์มกลางๆ ทุนไม่ได้สูงมาก หนังมีฉากพวกนี้หลายอย่างจริง เป็นเรื่องวันหายนะของโลกจริง แต่เป็นไปในแบบสเกลเล็กๆ เรียบๆ อย่างฉากเครื่องบินตกก็คือแค่เห็นเครื่องบินพุ่งลงมา ฉากเรือน้ำมันเกยชายหาดก็ลอยมาเกยตื้นแบบเรียบง่าย หรือฉากฝูงสัตว์แตกตื่นอย่างผิดปกติ หนังแทบจะไม่มีฉากหายนะใหญ่โตให้น่าตื่นเต้นมากนัก แต่ใช้สไตล์การเล่าเรื่องของ Sam Esmail ผู้สร้างซีรีส์ Mr.Robot ที่เล่าเรื่องด้วยบทสนทนาแบบเรียบๆ ก่อนเอาฉากพวกนี้มาแทรกคั่นเพื่อผลักดันให้เกิดอารมณ์ตื่นเต้นกดดันขึ้นมากกว่าใส่ CGI ทำลายล้างลงไปตรงๆ ซึ่งมันค่อนข้างได้ผลดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรมาก เป็นเพียงแค่ฉากตื่นเต้นสั้นๆ คั่นจบเรื่องในแต่ละบทเท่านั้น
ตัวหนังให้อารมณ์ไปในทางปริศนาสงสัยว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้ยังไงมากกว่า ซึ่งหนังก็ทำสำเร็จด้วยบทสนทนาบอกใบ้เรื่องราวออกมาทีละนิด เพื่อให้ผู้ชมค่อยๆ ประกอบเบื้องหลังของเรื่องนี้ขึ้นมาเอง โดยมีตัวละคร 2 ฝั่ง ครอบครัวคนธรรมดาที่เล่นโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์ กับ อีธาน ฮอว์ค มาในบทคนทั่วไปที่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุในแต่ละอย่าง และพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ผ่านการอธิบายของตัวละครผิวดำที่เล่นโดย มาเฮอร์ชาลา อาลี กับลูกสาวที่มาเคาะประตูบ้านโดยอ้างว่าเขาคือเจ้าของบ้าน ซึ่งดูไม่น่าเชื่อและไม่น่าไว้วางใจ และพยายามอธิบายสิ่งๆ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแบบคนที่เหมือนกุมความลับของเรื่องนี้ไว้ ซึ่งแทบทั้งเรื่องคือการสนทนาของตัวละครสองครอบครัวนี้ที่มีมุมมองที่แตกต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้น และค่อยๆ ยกระดับไปสู่การทดสอบความเชื่อใจของกันและกัน โดยที่มีตัวละครของ เควิน เบคอน ปรากฎขึ้นมาในช่วงท้ายเรื่องและบีบคั้นกดดันให้อารมณ์ตรึงเครียดพุ่งขึ้นสูงสุด พร้อมทั้งไขปริศนาความลับของเรื่องทั้งหมดว่าคืออะไรไปพร้อมกัน ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็ไม่ถึงกับเซอร์ไพรส์ เป็นแค่การอธิบายเรื่องราวให้กระจ่างหลังจากใบ้มาตลอดเรื่องแล้วนั่นเอง แต่ก็เป็นคำตอบที่ดีตามที่ควรจะเป็นเช่นกันครับ
///เนื้อหาย่อหน้านี้มีสปอยล์ฉากจบสุดท้าย////
แต่สิ่งที่หนังทำได้ไม่ดีนักคือการพยายามเล่าเรื่องราวเสริมของตัวละครลูกสาวตัวน้อยที่ติดซีรีส์ในตำนาน Friends และดูผ่านแท็บเล็ตไม่ได้เนื่องจากอินเตอร์เน็ตขัดข้อง ซึ่งทั้งเรื่องเธอพยายามพูดวกเข้าเรื่องนี้ตลอดเวลา ย้อนแย้งกับเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นจนเหมือนเป็นมุกตลกร้ายของเรื่องนี้ ก่อนที่จะนำเรื่องการหาทางดูซีรีส์ Friends ให้ได้มาเป็นตอนจบสุดท้ายที่ทำเอาผู้ชมก็คงเซ็งไปตามๆ กัน (โดยที่ก่อนหน้านั้นก็มีฉากที่จบเรื่องได้แล้วด้วย)
//////////
โดยรวมนี่เป็นหนังที่ใช้พลังของดารานักแสดงมาดึงผู้ชมไว้ ผ่านบทสนทนาของตัวละคร 2 ครอบครัวที่แตกต่างและไม่ไว้ใจกัน ภายใต้เหตุการณ์ที่เหมือนวันหายนะโลกในรูปแบบทางไซเบอร์ตัดการสื่อสารทั้งหมด มีฉากหายนะสั้นๆ ขนาดสเกลเล็กๆ ประกอบเรื่องเท่านั้น ซึ่งหนังทำสำเร็จตรงให้อารมณ์เรียบๆ ในเรื่องราวที่แอบน่าเบื่อ แต่ก็กดดันเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างดี และก็ไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านการใบ้มาตลอดเรื่องได้ลงตัว เพียงแต่ฉากจบสุดท้ายผู้สร้างตั้งใจกระชากอารมณ์ผู้ชมให้เป็นแนวตลกร้ายตามชื่อเรื่องจนน่าผิดหวังเท่านั้นครับ