playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Move to Heaven (Netflix) ธุรกิจเก็บกวาดข้าวของคนตายที่มีความหมายลึกซึ้งถึงคนเป็น (ไม่สปอยล์)

สรุป

ซีรีส์เกาหลีที่เน็ตฟลิกซ์สร้างเองและมีความแตกต่างจากปกติอยู่ไม่น้อย ไม่ขายตัวละครหล่อสวยเกินจริงแบบปกติ หรือยัดเยียดเรื่องรักเข้ามาแบบทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวของอาชีพเก็บกวาดสิ่งของคนตาย และส่งต่อของสำคัญให้คนที่ยังอยู่ ซึ่งเรื่องราวอ้างอิงมาจากเรื่องจริงของผู้เขียนเรื่องนี้โดยตรงด้วย แม้เรื่องจะเป็นแนวดราม่าสะเทือนใจทุกตอน แต่หัวใจของเรื่องคือพัฒนาการความสัมพันธ์ของตัวละครอากับหลานในเรื่องที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้งยังมีปมอาชญากรรมมวยเถื่อนในโลกใต้ดินมาเป็นเส้นเรื่องที่ดุเดือดและดิบมากๆ จนเป็นส่วนที่น่าติดตามที่สุดของเรื่องด้วย (แต่ซีรีส์ไม่จบในซีซั่นมีต่อ)

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • เรื่องราวของอาชีพเก็บกวาดที่เกิดเหตุมีคนตาย ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์จริง
  • ตัวเอกเป็นแอสเพอร์เกอร์ที่อัจฉริยะด้านการจดจำ และนำมาใช้เชื่อมต่อสิ่งของคนตายไปหาคนเป็น
  • โลกอาชญากรรมมวยเถื่อนที่ดุเดือดและเป็นปมใหญ่ของตัวละครอาพระเอก
  • เรื่องรักมีแซมมานิดๆ แต่เป็นธรรมชาติและน่ารักดีกว่ายัดเยียดมาตรงๆ
  • มีเสียงพากย์ไทยครบ

Cons

  • การแสดงของตัวเอกเป็นแอสเพอร์เกอร์ยังไม่ถึงขั้นดีสุดๆ อย่างที่ควรจะเป็นกับบทนำนี้
  • ช่วงครึ่งแรกของซีรีส์ดูเป็นดราม่าเนือยๆ ตามบททั่วไป ไม่มีอะไรเข้มข้นมาก

ADBRO

Move to Heaven  ซีรีส์เกาหลี Netflix 10 ตอนจบซีซั่น เรื่องราวของหนุ่มน้อยที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ (ออทิสติกส์แบบหนึ่ง) กับธุรกิจบริการจัดการเก็บกวาดที่เกิดเหตุคนตาย ที่ช่วยส่งต่อความตั้งใจของผู้ตายไปหาคนที่ยังมีชีวิตอยู่

 Move to Heaven (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Move to Heaven

“เราจะช่วยคุณจัดการภาระสุดท้ายของชีวิต” ทุกการตายมีเรื่องราวให้เล่าขาน เราจะสืบสานเรื่องราวที่ยังไม่ได้เล่าขานแทนคุณ”

ซีรีส์เกาหลี Original Netflix แท้ๆ ที่สร้างมาเพื่อฉายในระบบไม่ได้ลงช่องทีวีเกาหลี ทำให้มารวดเดียวจบ 10 ตอนซีซั่นแรก และด้วยความที่ไม่ได้อิงกับการฉายทางทีวี ทำให้ตัวเนื้อหาของซีรีส์เรียกว่าหลุดกรอบจากสูตรสำเร็จมาตรฐานเกาหลีไปได้หลายอย่าง เรียกว่าคนที่โหยหาซีรีส์เกาหลีที่แตกต่าง ควรจะต้องลองรับชมดูเลย แต่ด้วยความที่เนื้อหาเป็นเรื่องราวของอาชีพเก็บกวาดที่เกิดเหตุคนตายหรือเก็บข้าวของคนตายไปทิ้ง ทำให้เป็นซีรีส์ที่แปลกและเฉพาะทางในการรับชมอยู่มากเหมือนกัน

เนื้อเรื่อง

Move to Heaven เล่าถึง “ฮันกือรู” หนุ่มวัย 20 ปีที่ทำงานเก็บกวาดที่เกิดเหตุคนตายกับพ่อ “ฮันจองอู” โดยที่เขาเป็นโรค แอสเพอร์เกอร์  (Asperger’s Disorder) ที่บกพร่องทางพัฒนาการกลุ่มเดียวกับออทิสติก มีลักษณะบกพร่องในการเข้าสังคมปกติ ไม่สามารถรับรู้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ ทำให้ตอบสนองกลับไปไม่ถูกต้องเหมือนคนปกติ คนที่เป็นโรคนี้มักหมกหมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่าคนปกติหลายเท่า ทำให้ฮันกือรูเองมีลักษณะพิเศษที่เหมาะสมกับงานนี้โดยตรง เนื่องจากพ่อของเขาไม่ได้แค่ทิ้งของผู้ตายแบบที่อื่นๆ แต่กลับรวบรวมสิ่งสำคัญของคนตายเพื่อส่งต่อไปยังจุดหมายที่ผู้ตายยังค้างคาไว้ทำไม่สำเร็จ ซึ่งเป็นการปะติดปะต่อสิ่งของที่เหลือเพื่อตามหาคีย์สำคัญที่ทิ้งไว้ให้เจอ ซึ่งพ่อของฮันกือรูสอนเขาไว้ก่อนที่จะเป็นโรคหัวใจล้มเหลวฉับพลัน  (ในตอนแรกของเรื่องนี้) และเขียนพินัยกรรมฝากฝังให้ทนายไปพบกับน้องชายต่างพ่อ “โจซังกู” นักโทษต้องหาคดีฆ่าคนตายที่พึ่งออกคุก และในพินัยกรรมนั้นมอบหมายให้เขามาดูแลหลานคนนี้ในฐานะผู้ปกครอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องทดสอบ 3 เดือนเพื่อดูว่าโจซังกูสามารถดูแลช่วยเหลือฮันกือรูได้จริงหรือไม่ ในขณะที่โจซังกูเองกลับคิดถึงแต่เงินในพินัยกรรม และเขาเองยังเกลียดชังพี่ชายสุดขั้ว แต่การได้มาทำหน้าที่กลับค่อยๆ เปลี่ยนเขาไป พร้อมกับอดีตเรื่องราวทั้งหมดที่ค้างคากับพี่ชายก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้น

 

ที่มาของโปรเจ็กต์เรื่องนี้จาก Netflix

เรื่องนี้เป็นงานสร้างของ Netflix โดยตรง ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2019 แต่ติดปัญหาโควิดจนต้องหยุดพักไปในปี 2020 ก่อนจะมาถ่ายทำใหม่ในปี 2021 โดยมาจากต้ยฉบับ บทความชื่อ  “Things Left Behind” ของผู้เขียน Kim Sae-byul ที่เขียนจากประสบการณ์ในสายงานอาชีพทำความสะอาดที่เกิดเหตุโดยตรง ซึ่งเขาถือเป็นสเปเชียลลิสต์ในสายงานนี้ มีความพิเศษกว่าปกติ และถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเห็นอย่าง คนสันโดษ กักตัวอยู่ในบ้าน ผู้ป่วยติดเตียงเพียงลำพัง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสะเทือนใจและมีปัญหาที่ผู้ตายคั่งค้างไว้เสมอ ซึ่งความพิเศษเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครรู้ในด้านนี้ ก็ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์เรื่องนี้ลงโดยผู้กำกับ Kim Sung-ho ที่ผ่านงานทำภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เป็นซีรีส์ยาวเรื่องแรกของเขา

“Things Left Behind” ผู้เขียน Kim Sae-byul

อาชีพเก็บกวาดที่เกิดเหตุที่มีจริงและส่วนที่เพิ่มขึ้นมา

ซีรีส์นำเสนออาชีพที่แปลก แต่มีจริง และก็มีความสำคัญพอๆ กับอาชีพในสายงานเดียวกันอย่างกู้ภัย ซึ่งตัวเรื่องในตอนแรกเป็นการบอกเล่าถึงรายละเอียดขั้นตอนการทำงานของบริษัท Move to Heaven (เคลื่อนย้ายสู่สวรรค์) ที่พ่อของพระเอกตั้งขึ้นมา ซึ่งเราจะได้เห็นรายละเอียดจริงๆ ของขั้นตอนการเก็บกวาดสิ่งต่างๆ แม้ไม่มีศพเละๆ อะไรให้เห็น แต่คนปกติก็ไม่อยากหรือไม่กล้าจะเข้ามาทำ การเก็บกวาดมีทั้งเลือด นำ้หนอง ขยะ กำจัดสิ่งสกปรกทุกอย่างในห้องให้กลับมาปกติ รวมถึงกลิ่นก็ต้องไม่ให้เหลือ ซึ่งอาชีพนี้จะมาทำงานหลังจากตำรวจเก็บหลักฐานไปหมดแล้ว หรืองานหลายครั้งก็เป็นห้องของผู้ตายที่อื่นไม่ใช่ที่เกิดเหตุ แต่คนในบ้านไม่ต้องการเก็บเอง ซึ่งนั่นคืองานทั้งหมดของอาชีพนี้

แต่สิ่งที่ซีรีส์ใส่เพิ่มเข้ามาคือ เรื่องราวการค้นหาส่งต่อของสำคัญของผู้ตายไปยังจุดหมายปลายทางที่ค้างคาไว้ ซึ่งฮันกือรูเป็นแอสเพอร์เกอร์ที่หมกหมุ่นกับการค้นหาคาดเดาเรื่องราวที่ผู้ตายคัางคาไว้ สำหรับตัวเขาเหมือนเป็นการต่อจิ๊กซอว์ปริศนา ซึ่งอาการของคนเป็นโรคนี้เมื่อตั้งใจทำอะไรจะต้องทำให้สำเร็จจนเกินคนปกติ ซึ่งซีรีส์เองหยิบเอาความพิเศษตรงนี้มาสอดรับเข้ากับเรื่องราว และทำให้ตัวเอกเป็นเหมือนอัจฉริยะด้านการปะติดปะต่อสิ่งของที่เหลืออยู่ให้เป็นเรื่องราวบอกเล่ากลับมาได้ ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นการช่วยงานสืบสวนตามจับคนร้ายไปในตัวด้วย แต่จุดนี้ไม่ใช่เรื่องราวหลักของซีรีส์ เรื่องนี้เน้นหนักไปที่ดราม่าการคลี่คลายปมที่เหลืออยู่ของผู้ตายเป็นสำคัญ แต่ไม่ได้เป็นแบบจบในตอน แต่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันยาวๆ เหมือนหนังขนาดยาวเกือบ 10 ชั่วโมงจบมากกว่า (มี 10 ตอน) ส่วนใหญ่แต่ละเคสจะใช้เวลาเกือบสองตอนถึงจบคลี่คลายหมด

 

นักแสดงหลักกับอาการแอสเพอร์เกอร์สมบทบาทหรือไม่?

บทฮันกือรูกับอาการแอสเพอร์เกอร์คือส่วนสำคัญที่สุดของเรื่องราวนี้ ทั้งในแง่ความสมจริงของบุคลิกท่าทาง ความสามารถพิเศษที่เป็นไฮไลท์ของเรื่อง อีกทั้งยังต้องมีบทดราม่าเรียกความสงสารตามมาด้วย (แต่ที่จริงตัวละครนี้แค่พิการบกพร่องทางสมองในแบบหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตหลักตามปกติมากนัก) นักแสดงที่รับบทนี้จึงถูกจับตามองและถูกคาดหวังมากที่สุด ซึ่งก็เป็นดาราเด็กวัย 18 Tang Joon-Sang ที่เคยเล่น Crash Landing on You มาก่อน แม้ว่าการมาแสดงบทนี้ได้คงต้องถูกคัดเคี่ยวมาอย่างหนัก ต้องบอกว่าผู้เขียนให้ผ่านในภาพรวมของการแสดง แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นดีงามอะไรมากนัก อาจจะเพราะเคยดูซีรีส์แนวนี้อย่าง Atypical ที่นักแสดงรับบทได้เหมือนจริงกว่านี้มาก (ถือเป็นซีรีส์ที่ตัวเอกเป็นออทิสติกส์ที่ดังที่สุดเลยก็ได้ของเน็ตฟลิกซ์ แต่ในไทยอาจจะไม่ได้รู้จักมาก แต่ถ้าใครชอบแนวนี้แนะนำเลยว่าห้ามพลาด อ่านรีวิวได้ที่นี่) หรือ The Victims’ Game ซีรีส์ไต้หวันที่ตัวเอกเป็นแอสเพอร์เกอร์เช่นกัน และถ้าเทียบซีรีส์เกาหลีด้วยกันอย่าง It’s Okay to Not Be Okay ในบท “มุนซังแท” (รับบทโดย โอจองเซ) ซึ่งถือว่าขึ้นหิ้งไปแล้วในบทนี้ ตัว Tang Joon-Sang เองยังแสดงออกแบบเหมือนพยายามเป็นแอสเพอร์เกอร์ เน้นนิ่งๆ ก้มหน้าพูดเยอะ แต่ไม่ค่อยมีอาการหลุกหลิกในหลายๆ ส่วนของร่างกายที่คนแบบนี้จะเป็นไปเองแทบตลอดเวลา การแสดงอารมณ์ที่ไม่ตรงหรือแปลกกว่าคนปกติ (อย่างการยิ้มให้เป็นธรรมชาติจะทำได้ยากมาก) รวมถึงอาการทำร้ายตัวเองที่เราเห็นกันบ่อยๆ จากคนเป็นออทิสติกส์ก็ดูไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปมาก นอกจากเอาหัวโขกผนัง (เทียบกับมุนซังเทที่มีหลากหลายอาการพร้อมกรีดร้องบ้าคลั่งได้สมจริงกว่ามาก) ทำให้ตัวละครฮันกือรูยังดูไม่เนียนเหมือนจริง หรือมีเสน่ห์ให้รู้สึกอินอะไรมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ผ่าน ก็ต้องเรียกว่าโอเคเลยกับภาพรวม ถ้าไม่ได้คิดมากอะไร ก็ไม่รู้สึกติดใจอะไรส่วนนี้มากครับ

ที่จริงการที่ตัวเอกใส่หูฟังเวลาทำงานมาจากเด็กที่เป็นออทิสติกส์หรือแอสเพอร์เกอร์มักจะมีหูฟังช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างเพื่อให้มีสมาธิ หรือช่วยทำให้อาการผิดปกติสงบลง เพราะเด็กที่เป็นโรคพวกนี้มักได้ยินเสียงต่างๆ เร้าเข้าตรงกับสมองมากกว่าคนปกติ แต่ในเรื่องยังแค่ใส่ฟังเพลงตอนทำงานเฉยๆ

จุดเด่นสุดของเรื่องคือความสัมพันธ์ของอากับหลาน

ก่อนดูอาจจะคิดว่าเรื่องราวคงเป็นตอนๆ กับงานเก็บกวาด และต้องเน้นดราม่าในแต่ละเคสหนักๆ ซึ่งโดยรวมก็ยังเป็นแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าเรื่องราวของอาพระเอก “โจซังกู” ที่ออกมาจากคุก โดยเกลียดแค้นพี่ชายตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ และยังไม่สนใจไยดีหลาน มาอยู่ด้วยเพียงแค่ต้องการมรดกที่พี่ชายทิ้งไว้ให้ฮันกือรูเท่านั้น ส่วนนี้กลับเป็นส่วนที่ค่อยๆ ขยายลงลึกเรื่องราวลงไปหลายส่วนใหญ่โต ทั้งปมในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตัวนิสัยแย่ๆ ของโจซังกูในตอนแรกก็ค่อยๆ มีพัฒนาการเป็นผู้เป็นคนดีขึ้นเรื่อยๆ แถมด้วยความน่ารักอย่างคาดไม่ถึงจากการเป็น คนดีที่น่าสับสน ซึ่งฮันกือรูให้ความเห็นถึงอาของตัวเองไว้ อีกทั้งตัวละครโจซังกูคือนักมวยเก่าที่มีชีวิตในอดีตกับมวยเถื่อนใต้ดิน เป็นส่วนอาชญากรรมของเรื่องราวที่แม้ไม่เยอะ แต่เข้มข้นมากๆ เรียกว่าเป็นอีกด้านของซีรีส์ที่ดุเดือด รุนแรง ดาร์ค และยังพ่วงด้วยดาราสมทบ อีแจอุค (LEE JAE WOOK) พระเอกหน้าใหม่จากซีรีส์ Do Do Sol Sol La La Sol  Extraordinary You, ซึ่งเชื่อเลยว่าคนที่เคยดูผลงานของเขาต้องทึ่งกับการแสดงที่สมบาทและมีเสน่ห์สุดๆ และในเรื่องนี้แม้เป็นบทสมทบที่กว่าจะออกมาก็ตอน 6 ไปแล้ว แต่พอได้แอร์ไทม์เต็มๆ ควบคู่กับโจซังกู ในบทเด็กที่ถูกรังแกและกลายมาเป็นนักมวยโดยมีโจซังกูเป็นคนฝีกสอน กลายเป็นตอนที่เรียกน้ำตาและกระชากอามณ์ของเรื่องมาก คนดูจะได้เห็นชะตากรรมของโจซังกูที่รันทดยิ่งกว่าหลานซะอีก และยังกลายเป็นตราบาปกัดกินใจเขามาถึงปัจจุบัน และยังตามมาทำลายชีวิตช่วงที่เขากำลังพยายามเป็นผู้ปกครองให้หลานอีกด้วย

นอกจากนี้ปมเรื่องราวอาชญากรรมวงการใต้ดินที่โจซังกูไปเกี่ยวยังไม่จบในซีซั่นนี้ ต้องไปต่อกันที่ซีซั่นสอง และน่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่ขึ้นอีกมากด้วย ถ้าไม่มีจุดนี้ไปซีรีส์เรื่องนี้คงกลายเป็นแนวดราม่าธรรมดาไปเลย

สูตรเส้นเรื่องเลิฟไลน์ยังมี แต่ไม่ได้ต้องเน้นและเป็นธรรมชาติน่ารักมาก

ซีรีส์นอกจากตอนที่จับเอาเรื่องราวคนรักที่ตายไปมาใช้เป็นปกติอยู่แล้ว (มีตอนความรักของเกย์หนุ่มนักดนตรีกับหมอด้วย) เส้นเรื่องหลักมีตัวละครแยกคู่กันอย่าง ฮันกือรูกับ “นามู” รับบทโดย Hong Seung-Hee ที่พึ่งเล่นซีรีส์เรื่อง Navillera ดั่งผีเสื้อร่ายระบำ ของ Netflix ไปเช่นกัน เธอเป็นสาวบ้านตรงข้ามเพื่อนวัยเด็กตั้งแต่ 6 ขวบของพระเอก และก็แอบชอบมาเรื่อยๆ พยายามทำตัวติดกับพระเอกทั้งที่บ้านจนถึงการไปร่วมงานเก็บกวาดด้วย เป็นตัวเอกนำอีกคนที่มีบทบาทตลอดเรื่อง แต่ไม่เชิงออกเป็นชู้สาวหรือมีหวานๆ อะไรทั้งสิ้น เพราะฮันกือรูเป็นแอสเพอร์เกอร์ แต่เรื่องราวในแต่ละตอนที่นางห่วงใยพระเอกมากกว่าใคร ก็ทำให้รู้ว่ามีเรื่องรักจางๆ ปะปนอยู่ในเรื่อง โดยมีเพื่อนตำรวจอีกคนที่เป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนทำงานตำรวจมาชอบนามูอยู่ด้วย นอกจากนี้ในตอนจบของซีซั่นยังมีตัวละครใหม่เปิดขึ้นมา ซึ่งอาจจะกลายเป็นนางเอกอีกคนในซีซั่นต่อไปก็ได้ (สนใจอ่านจากสปอยล์ด้านล่างหัวข้อ ฉากจบซีซั่นที่ค้างคาไว้หลายเรื่อง)

คู่เด็กไปแล้วก็มีคู่ผู้ใหญ่ของโจซังกูกับ “ซนยูริม” รับบทโดย ซู-ย็อง สมาชิกของวงเกิร์ลกรุปเกาหลีใต้ เกิลส์เจเนอเรชัน ที่พึ่งเล่นเป็นนางเอกสมทบอีกเรื่อง Run On ในบทประธานสาวสวย มาในเรื่องเป็นสาวนักสังคมสงเคราะห์ที่มักพบเจอกับฮันกือรูกับโจซังกูจากบริการเก็บกวาดของ Move to Heaven ที่เธอเรียกใช้บ่อยจากความพิเศษใส่ใจที่แตกต่างต่างจากที่อื่น ซึ่งในเรื่องนี้อาจจะไม่สวยเด่นอะไรมาก แต่ก็ดูสมบทบาทกับนักสังคมสงเคราะห์ที่มีอุดมการณ์ช่วยคนจริงๆ และมองโลกแบบสวยงามแตกต่างจากโจซังกูที่ติดคุกมา ทำให้ทั้งคู่ฉะกันตั้งแต่ฉากแรกที่ออก และก็กลายเป็นกัดกันเล็กๆ อยู่เรื่อยเมื่อความเห็นไม่ตรงกัน แต่เรื่องก็ทำให้ดูออกเลยว่าโจซังกูที่ดูเถื่อนๆ ซกมก กลับแอบปิ๊งเธอเต็มๆ ซึ่งมีแค่ฮันกือรูสสังเกตุเห็น และก็พูดอธิบายอาการเขินของอาออกมาตรงๆ แบบคนเป็นแอสเพอร์เกอร์ที่มักคิดอะไรก็พูดออกมาเลย ทำให้เรื่องราวในส่วนนี้แม้จะผิวเผิน แต่ก็น่ารักน่าติดตามมากว่าจะมีพัฒนาการยังไงต่อไป ซึ่งเรื่องไม่มีทิ้งส่วนนี้ไปแน่นอน เพราะเป็นตัวละครที่ต้องมาร่วมงานกันในเรื่องต่อไปเรื่อยๆ

 

ฉากจบซีซั่นที่ค้างคาไว้หลายเรื่องเพื่อไปต่อ SS2 (มีสปอยล์)

ซีรีส์เดินเรื่องซีซั่นแรกเป็นการเคลียร์ปมในอดีตของอากับหลาน กับภารกิจการเป็นผู้ปกครอง ซึ่งเรื่องก็เคลียร์พวกนี้ได้จบหมดแล้ว แต่ตัวเรื่องยังค้างคาปมอาชญากรรมวงการมวยใต้ดินของโจซังกูไว้ชัดเจน ซึ่งมาดามในเรื่องคือตัวร้ายของซีซั่นที่ทั้งบงการใช้งานโจซังกูให้ทำตามตัวเองต้องการ จนถึงขั้นจับฮันกือรูมาเป็นตัวประกันกดดันให้โจซังกูทำตาม แต่เธอกลับหายไปหลังจากโดนกวาดล้างจากอัยการที่ฮันกือรูเรียกมาช่วย ซึ่งดูจากเรื่องราวไม่จบเพียงแค่นี้แน่นอนครับ

อีกเรื่องคือตอนจบซีซั่นทีการเปิดตัวละครใหม่ เป็นสาวน้อยน่ารักที่มาพร้อมออร่ารอบตัวกับผีเสื้อเหมือนเป็นนางเอกตัวจริงของเรื่องไม่ใช่นามู แต่เธอมาพร้อมกับการว่าจ้างฮันกือรูให้มาเก็บกวาดของเธอที่ใกล้ตาย ซึ่งตัวเรื่องตัดจบค้างไว้ แต่ด้วยดีกรีนักแสดงของน้อง Lee Re ที่มารับบทนี้ ถ้าใครเคยได้ดูผลงานที่ผ่านมาของเธอ โดยเฉพาะ Hello Me! ที่รับบทนางเอกวัยเด็ก คงต้องซูฮกเลยว่าไม่ธรรมดา ไม่ว่าเธอจะมาในบทนางเอกคนใหม่หรือแค่บทสมทบในเคสเก็บกวาดซีซั่นตอนต่อไป นี่คือบทที่จะพลิกผันเรื่องราวและเป็นปมสำคัญต่อในซีซั่นสองแน่นอนครับ

ส่วนตัวผู้เขียนเดาว่ามีเรื่องความรักครั้งแรกของฮันกือรูที่เป็นแอสเพอร์เกอร์มาเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะซีรีส์วัยรุ่นที่เป็นออทิสติกส์อย่าง Atypical ก็เล่นเรื่องความรักครั้งแรกกับการแสดงออกของเด็กออทิสติกส์ครั้งแรกเหมือนกัน (มีเรื่องการไม่เข้าใจ SEX มาเกี่ยวด้วย) ซึ่งมันน่ารักน่าลุ้นมากว่าเขาจะผ่านไปได้อย่างไร เมื่อรู้ว่าปลายทางมันต้องมีความเจ็บปวดแน่นอน แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้เติบโตในสังคมต่อไปด้วย ซึ่งพ่อของพระเอกคงยังไม่ได้สอนตรงนี้ไว้


แถมท้ายซีรีส์แนวออทิสติกส์เรื่องอื่นๆ

ถ้าใครชอบซีรีส์แนวตัวเอกออทิสติกส์แต่มีความพิเศษใน Netflix มีอีก 3 เรื่อง แนะนำเลยว่าดีขนาดการันตีเลยว่าห้ามพลาดทั้งหมดครับ

Atypical เรื่องราวครอบครัวเด็กออทิสติกที่ผิดแปลกแตกต่าง แต่สุดแสนน่ารักประทับใจ

ในเรื่องนี้ตัวพระเอกชื่อแซมเป็นออทิสติกส์วัยรุ่นที่พยายามรับผิดชอบตัวเองให้ได้ในช่วง ม.ปลายจนถึงมหาวิทยาลัย โดยมีพ่อแม่น้องสาวดูแลอย่างห่วงๆ แต่ไม่เข้ามาช่วยมาก แซมมีความสามารถพิเศษในการจดจำอะไรต่างๆ นาๆ ได้แม่นยำ โดยเฉพาะสัตว์ทะเลแบบเดียวกับใน ฮันกือรู เป๊ะ จนเหมือนอ้างอิงกันมาเลย (เรื่องนี้มี 4 ซีซั่น กำลังถ่ายทำซีซั่นสุดท้ายจบในปีนี้)

The Victims’ Game สืบสวนสะเทือนขวัญ สั่นอารมณ์ด้วยจิตวิญญาณลึกซึ้งคมคายแบบเอเชีย ห้ามพลาด!

ซีรีส์ไต้หวันที่ตัวเอกเป็นเจ้าหน้าที่นิติเวชที่เป็นแอสเพอเกอร์เข้าสังคมไม่ได้ เลยหมกหมุ่นกับงานพิสูจน์ศพจนเก่ง จนวันหนึ่งเจอคดีฆาตกรรมพิสดารที่มีหลักฐานบางอย่างสาวไปถึงลูกสาวที่แยกกันตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาต้องแอบสืบคดีพร้อมกับพยายามปกป้องลูกสาวตัวเองไปด้วย จุดเด่นของเรื่องนี้ไม่ใช่การตามหาฆาตกร แต่เป็นการลงลึกถึงเหยื่อแต่ละคนในแบบที่ลึกซึ้งมาก และก็เกี่ยวพันกับการเป็นแอสเพอร์เกอร์ของพระเอกโดยตรง เรื่องนี้ดังมากในไต้หวัน แถมเข้าชิง 6 รางวัลม้าทองคำ ตอนนี้กำลังถ่ายทำซีซั่น 2 อยู่ฉายต้นปีหน้า (ซีซั่น 1 จบในตัว)

It’s Okay to Not Be Okay

บท “มุนซังแท” ตัวละครออทิสติกส์ที่มีความสามารถพิเศษในการวาดรูป คงไม่ต้องสาธยายอะไรมาก เพราะนี่คือบทกับนักแสดงที่เรียกว่าสุดยอดที่สุดแล้ว

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!